พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. โลมสกังคิยเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระโลมสกังคิยเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ย. 2564
หมายเลข  40425
อ่าน  410

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 179

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๓

๗. โลมสกังคิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโลมสกังคิยเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 179

๗. โลมสกังคิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโลมสกังคิยเถระ

[๑๖๔] ได้ยินว่า พระโลมสกังคิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

เราจักเอาอุระแหวกป่าหญ้าแพรก หญ้าคา หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย พอกพูนวิเวก.

อรรถกถาโลมสกังคิยเถรคาถา

คาถาของท่านพระโลมสกังคิยเถระ เริ่มต้นว่า ทพฺพํ กุสํ. เรื่องราว ของท่านเป็นอย่างไร?

ได้ยินว่า ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี มีใจเลื่อมใส บูชาด้วยดอกไม้ต่างๆ ด้วยบุญกรรมนั้น บังเกิดในเทวโลก การทำบุญแล้วท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวโลกนั่นเองอีก บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ แล้วบำเพ็ญสมณธรรม. ก็โดยสมัยนั้น เมื่อพระบรมศาสดาตรัสภัทเทกรัตตปฏิปทาแล้ว ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง สนทนากับท่านด้วยเรื่องภัทเทกรัตตสูตร. ท่านไม่เข้าใจ (ไม่สันทัด) ภัทเทกรัตตสูตรนั้น เมื่อไม่เข้าใจ จึงตั้งปณิธานว่า ในอนาคต เราพึงเป็นผู้สามารถ เพื่อจะกล่าวภัทเทกรัตตสูตรแก่ท่าน ภิกษุนอกนี้พึงถาม ดังนี้. ในบรรดาภิกษุ ๒ รูปนี้ รูปแรกท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 180

ตลอดพุทธันดรหนึ่ง แล้วเกิดในตระกูลแห่งศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ ใน กาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย.

โดยความเป็นสุขุมาลชาติของท่าน จึงมีขนเกิดที่ฝ่าเท้า ดุจพระโสณะ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงขนานนามท่านว่า โลมสกังคิยะ.

อีกรูปหนึ่ง เกิดในเทวโลก ปรากฏนามว่า จันทนะ เมื่อศากยกุมาร ทั้งหลาย มีเจ้าอนุรุทธะเป็นต้น บวชอยู่ ส่วนโลมสกังคิยะไม่ปรารถนาจะบวช.

ลำดับนั้น เทพบุตรชื่อว่า จันทนะ เข้าไปหาเขาแล้วถามถึง ภัทเทกรัตตปฏิปทา เพื่อจะให้เขาสลดใจ. เขาตอบว่า ไม่รู้. เทพบุตรจึงท้วงขึ้นอีกว่า ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉน ท่านจึงทำความผัดเพี้ยนไว้ว่า เราพึงกล่าวภัทเทกรัตต ปฏิปทา (ในอนาคต) แต่บัดนี้ แม้แต่ชื่อก็จำไม่ได้.

โลมสกังคิยมาณพ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับจันทนเทพบุตรนั้น แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า ข้าพระองค์กระทำความผัดเพี้ยนไว้ในภพก่อนว่า เราจักกล่าวภัทเทกรัตตปฏิปทา แก่เทพบุตรนี้หรือ พระเจ้าข้า? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ใช่แล้วกุลบุตร ท่านทำความผัดเพี้ยนไว้อย่างนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ.

ความเรื่องนี้นั้น บัณฑิตพึงทราบโดยพิสดาร โดยนัยอันมาแล้ว ใน อุปริปัณณาสก์. ลำดับนั้น โลมสกังคิยมาณพ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์จงทรงยังข้าพระองค์ให้บวชเถิด ดังนี้. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสห้ามว่า พระตถาคตทั้งหลาย จะไม่ยังบุตรที่มารดาบิดา ยังไม่อนุญาตให้บรรพชา. เขาไปยังสำนักของมารดาแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่แม่ ขอแม่จงอนุญาตให้ฉันบวชเถิด เมื่อมารดาพูดว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นสุขุมาลชาติ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 181

จักบวชอย่างไรได้ ดังนี้ เมื่อจะประกาศความที่ตนอดกลั้นอันตรายได้ จึง กล่าวคาถาว่า

เราจักเอาอุระแหวกป่าหญ้าแพรก หญ้าคา หญ้าดอกเลา แฝก หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย พอกพูน วิเวก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น ท่านเรียกหญ้าแพรกว่า ทัพพะ ซึ่งบางท่านก็ เรียกว่า สัททุละ.

บทว่า กุสํ ได้แก่ หญ้าคา ซึ่งบางท่านเรียกว่า กาส. บทว่า โปฏกิลํได้แก่ กอหญ้า ทั้งที่มีหนาม และไม่มีหนาม แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอาเฉพาะที่มีหนามเท่านั้น ติณชาติมีหญ้าคมบางเป็นต้น รู้ได้ง่าย. หญ้าทั้งหลาย มีหญ้าแพรกเป็นต้น จัดเป็นหญ้าคมบาง แม้เมื่อเหยียบด้วย เท้าทั้งสองก็จะยังทุกข์ให้เกิด ทั้งจะกระทำอันตรายในเวลาเดินไป ก็แต่ว่า ตัวเราจะเอาอกต้านหญ้าเหล่านั้น คือแหวกหญ้าเหล่านั้นไปด้วยอุระ. ท่านแสดงถึงว่า เมื่อต้องเอาอกแหวกหญ้า ต้องกดกลั้นทุกข์ อันมีหญ้านั้นเป็นเหตุ ได้อย่างนี้ ก็จักสามารถเข้าไปสู่พุ่มไม้ในราวป่า บำเพ็ญสมณธรรมได้.

บทว่า วิเวกมนุพฺรูหยํ ความว่า เพิ่มพูน กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. อธิบายว่า จิตตวิเวกย่อมมีแก่ผู้ที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ แล้วเพิ่มพูนกายวิเวกอยู่อย่างเดียว ยังจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในบรรดาอารมณ์ ๓๘ ประการ ไม่มีแก่ผู้ที่ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่. การบรรลุอุปธิวิเวก ด้วยการยังกิเลสให้สิ้นไป ย่อมมีแก่ผู้มีจิตเป็นสมาธินั่นแหละ ผู้บำเพ็ญวิปัสสนา กระทำสมถะและวิปัสสนาให้เป็นคู่ๆ ไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีจิตเป็นสมาธิ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า บทว่า วิเวกมนุพฺรูหยํ ได้แก่ เพิ่มพูน

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 182

กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. ก็เมื่อโลมสกังคิยมาณพ ผู้เป็นบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาจึงยอมอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงบวชเถิดพ่อคุณ ดังนี้.

เขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาแล้ว พระศาสดาให้เขาบวชแล้ว. ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านพระโลมสกังคิยะผู้บวชแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว เรียนกรรมฐานแล้ว จะเข้าไปสู่ป่าว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ จะสามารถเข้าไปอยู่ในป่าได้อย่างไร?

ท่านกล่าวคาถานั้นแหละ แม้แก่ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่า หมั่นประกอบภาวนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ต่อกาลไม่นานนัก. สมด้วยคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เราได้เอาดอก (กากะทิง) บูชาพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดังทองคำ ผู้สมควรรับเครื่องบูชา กำลังเสด็จดำเนินไปในถนน ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ด้วยการที่เราได้เอาดอกไม้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ก็ได้กล่าวคาถานั้นแหละ ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาโลมสกังคิยเถรคาถา