พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. สุปปิยเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสุปปิยเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ย. 2564
หมายเลข  40432
อ่าน  509

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 198

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๔

๒. สุปปิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสุปปิยเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 198

๒. สุปปิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสุปปิยเถระ

[๑๖๙] ได้ยินว่า พระสุปปิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

บุคคลผู้มีความเพียร ถึงจะแก่ แต่เผากิเลสให้ เร่าร้อน พึงบรรลุนิพพานอันไม่รู้จักแก่ ไม่มีอามิส เป็นธรรมสงบอย่างยิ่ง เกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม.

อรรถกถาสุปปิยเถรคาถา

คาถาของท่านพระสุปปิยเถระเริ่มต้นว่า อชรํ ชีรมาเนน. เรื่องราว ของท่านเป็นอย่างไร?

ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านเกิดในเรือนมีตระกูล บวชเป็นดาบส อยู่ในราวป่า เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ในราวป่านั้น มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลาผล แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และแก่ภิกษุสงฆ์.

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ ได้ความสังเวช โดยอาศัยคบหากัลยาณมิตร บวชในพระศาสนา ได้เป็นพหูสูต ท่านทั้งยกตน ทั้งข่มผู้อื่น เพราะความเมาในชาติ และเพราะความเมาในสุตะ อยู่แล้ว.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 199

ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านเกิดในตระกูลคนเฝ้าป่าช้า อันเป็นตระกูลที่คนเหยียดหยาม ในพระนครสาวัตถี ด้วยผลแห่งกรรมนั้น. ท่านได้มีนามว่า สุปปิยะ ครั้งนั้น ท่านถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เข้าไปหาพระโสปากเถระผู้เป็นสหายของตน ฟังธรรมในสำนักของพระโสปากเถระนั้น แล้วได้ความสังเวช บวชแล้ว บำเพ็ญสัมมาปฏิบัติ ได้ภาษิตคาถาว่า

บุคคลผู้มีความเพียร ถึงจะแก่ แต่เผากิเลสให้เร่าร้อน พึงบรรลุนิพพาน อันไม่รู้จักแก่ ไม่มีอามิส เป็นธรรมสงบอย่างยิ่ง เกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชรํ ได้แก่ เว้นจากชรา. ท่านกล่าว หมายถึงพระนิพพาน. อธิบายว่า พระนิพพานนั้น ชื่อว่า ไม่แก่ เพราะเหตุที่ พระนิพพานนั้นไม่มีเกิด จึงไม่มีแก่ หรือชื่อว่าไม่แก่ แม้เพราะเหตุที่ไม่มีความแก่ เพราะเมื่อบุคคลบรรลุพระนิพพานนั้นแล้ว ชรานั้นย่อมไม่มี.

บทว่า ชิรมาเนน ความว่าแก่อยู่ คือถึงความแก่เข้าไปทุกๆ ขณะ.

บทว่า ตปฺปมาเนน ความว่า เผากิเลสให้เร่าร้อน คือ ยังไฟ ๑๑ กองมีราคะเป็นต้นให้ไหม้อยู่.

บทว่า นิพฺพุตึ ได้แก่พระนิพพาน อันชื่อว่า มีการดับกิเลสเป็นสภาพ เพราะไม่มีความเร่าร้อน ตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า นิมิยํ ความว่า พึงให้เป็นไป คือ พึงเลือกสรร.

บทว่า ปรมํ สนฺตึ ความว่า ชื่อว่า สงบอย่างสูง เพราะเข้าไป สงบความกระวนกระวายแก่อภิสังขาร คือ กิเลสที่เหลือได้เป็นธรรมดา.

ชื่อว่าเกษมจากโยคะ เพราะไม่ถูกผูกพันด้วยโยคะทั้ง ๔.

ชื่อว่ายอดเยี่ยม เพราะไม่มีธรรมอะไรๆ ที่จะเหนือกว่าตนไปได้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 200

ก็ในคาถานี้ มีความสังเขปดังต่อไปนี้ บุคคลชื่อว่าแก่ เพราะความเป็นผู้อันชราครอบงำอยู่ทุกๆ ขณะ อนึ่ง ชื่อว่าถึงความชรา เพราะถูกไฟ คือ ราคะเป็นต้นเผาผลาญ ชื่อว่า มีอุปัทวะ. เพราะความเป็นผู้ยังไม่เข้าไปสงบระงับโดยประการทั้งปวง โดยความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และไม่มีสาระอย่างนี้ พึงบรรลุพระนิพพานที่ชื่อว่า ไม่แก่ เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อชรานั้น อันเป็นแดนเข้าไปสงบระงับอย่างยิ่ง อันอะไรๆ เข้าไปประทุษร้ายไม่ได้ ยอดเยี่ยม ไม่มีอามิส กลับได้คิดว่า ลาภก้อนใหญ่ โผล่ขึ้นอยู่ในเงื้อมมือเรามากมายจริงหนอ ดังนี้. เปรียบเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย แลกเปลี่ยนสินค้า อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สนใจ (ไม่เพ่งเล็ง) ย่อมได้รับความพอใจสินค้าที่ตนได้มา ฉันใด พระเถระนี้ก็ฉันนั้น เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่. เมื่อจะประกาศความที่ตน ไม่เพ่งเล็งในกายและชีวิตของตน และความที่ตนมีใจอันส่งไปสู่พระนิพพาน จึงกล่าวว่า พึงบรรลุพระนิพพานอันไม่รู้จักแก่ ไม่มีอามิส เป็นธรรมสงบอย่างยิ่ง เกษมจากโยคะ ยอดเยี่ยม ดังนี้ เพิ่มพูนข้อปฏิบัติ นั้นแลอยู่ ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ มีนามว่า วรุณ เป็นผู้เรียนจบมนต์ ทิ้งบุตร ๑๐ คนเข้าไปกลางป่า สร้างอาศรมอย่างสวยงาม สร้างบรรณศาลจัดไว้เป็นห้องๆ น่ารื่นรมย์ใจ อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ทรงพระประสงค์จะช่วยเหลือเรา พระองค์จึงได้เสด็จมายังอาศรมของเรา พระรัศมี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 201

ได้แผ่กว้างใหญ่ตลอดไพรสณฑ์ ครั้งนั้น ป่าใหญ่โพลงไปด้วยพุทธานุภาพ เราเห็นปาฏิหาริย์ของ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้คงที่ ได้เก็บเอาดอกไม้ มาเย็บเป็นกระทง แล้วเอาผลไม้ใส่จนเต็มหาบเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ถวายพร้อมทั้งหาบ เพื่อทรงอนุเคราะห์เรา พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่เราว่า ท่านจงถือเอาหาบเดินตามหลังเรามา เมื่อสงฆ์บริโภคแล้ว บุญจักมีแก่ท่าน เราได้เอาหาบผลไม้ไปถวายแด่ภิกษุสงฆ์ เรายังจิตให้เลื่อมใสในภิกษุสงฆ์แล้ว ได้เข้าถึงสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นผู้ประกอบด้วยการฟ้อน การขับ การประโคมอันเป็นทิพย์ เสวยยศในสวรรค์ชั้นดุสิต นโดยบุญกรรม เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ เป็นเทวดา หรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราไม่มีความบกพร่อง ในเรื่องโภคทรัพย์เลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เพราะได้ถวายผลไม้ แด่พระพุทธเจ้า เราจึงได้เป็น ใหญ่ตลอดทวีปทั้ง ๔ พร้อมด้วยสมุทร พร้อมทั้งภูเขา ถึงฝูงนกมีเท่าใดที่บินอยู่ในอากาศ นกเหล่านั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ยักษ์ ภูต รากษส กุมภัณฑ์ และครุฑ เท่าที่มีอยู่ในไพรสณฑ์ ต่างก็บำรุงบำเรอเรา ถึงพวกเต่า หมาไน ผึ้ง และเหลือบยุง ก็ตกอยู่ในอำนาจของเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ แม้เหล่าสกุณปักษีที่มีกำลัง ชื่อ สุบรรณ ก็นับถือเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ถึงพวกนาคที่มีอายุยืน มีฤทธิ์ มียศใหญ่ ก็ตกอยู่ใน

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 1 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 202

อำนาจของเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หมาป่า หมาจิ้งจอก ก็ตกอยู่ในอำนาจของเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ผู้ที่อยู่ ณ ต้นโอสถ และต้นหญ้า กับผู้ที่อยู่ในอากาศ ล้วนนับถือเราทั้งหมด นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ธรรมที่เห็นได้ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง ซึ่งพระศาสดาทรงประกาศไว้ดีแล้ว เราถูกต้องแล้วอยู่นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราถูกต้องวิโมกข์ ๘ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส และมีปัญญารักษาตนอยู่ นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราเป็นผู้หนึ่งในจำนวนโอรสของพระพุทธเจ้า ที่ดำรงอยู่ในผล สิ้นโทสะ มียศใหญ่ นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราถึงความบริบูรณ์ ในอภิญญา อันกุศลมูลตักเตือน กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราเป็นผู้หนึ่งในจำนวนพระโอรสของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ได้วิชชา ๓ บรรลุฤทธิ์ มียศใหญ่ สมบูรณ์ด้วยทิพโสต ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระแม้บรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้กล่าวคาถานั่นแหละ โดย นับเป็นการพยากรณ์พระอรหัตตผล.

จบอรรถกถาสุปปิยเถรคาถา