๘. ควัมปติเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระควัมปติเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 224
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๔
๘. ควัมปติเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระควัมปติเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 224
๘. ควัมปติเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระควัมปติเถระ
[๑๗๕] ได้ยินว่า พระควัมปติเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลส และตัณหาไรๆ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งอะไรทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนีผู้ถึงฝั่งแห่งภพ.
อรรถกถาควัมปติเถรคาถา
คาถาของท่านพระควัมปติเถระเริ่มต้นว่า โย อิทฺธิยา สรภุํ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ ก่อนๆ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เห็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าสิขี มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยดอกไม้. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญไว้มากอย่าง ให้สร้างฉัตร และไพรที ไว้บนเจดีย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ. ก็ท่านบังเกิดในเรือนมี ตระกูลแห่งใดแห่งหนึ่ง ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ. ก็ในตระกูลนั้น ได้มีฝูงโคเป็นอันมาก. พวกนายโคบาลก็เฝ้ารักษา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 225
ฝูงโคนั้น ถึงมาณพผู้นี้ ก็เที่ยวตรวจดูกิจกรรมที่พวกนายโคบาลขวนขวายประกอบแล้ว ทุกซอกมุมในฝูงโคนั้น. เขาเห็นพระเถระผู้ขีณาสพรูปหนึ่ง เที่ยวบิณฑบาตในบ้าน แล้วทำภัตกิจนอกบ้าน ณ ประเทศแห่งหนึ่งทุกๆ วัน คิดว่า พระคุณเจ้าจักลำบากด้วยความร้อนของแดด ดังนี้ จึงให้ยกท่อนซึก ๔ ท่อน มาวางซ้อนกิ่งซึก ๔ กิ่ง บนต้นซึกเหล่านั้น ได้กระทำสาขามณฑป ถวายแล้ว. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปลูกต้นซึกไว้ใกล้มณฑป. เพื่อจะอนุเคราะห์เขาพระเถระจึงนั่งใต้ต้นซึกนั้นทุกๆ วัน.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว บังเกิดในวิมานชั้นจาตุมหาราชิกะ. ป่าไม้ซึกใหญ่อันระบุถึงกรรมเก่าของเขาเกิดใกล้ประตูวิมาน มีดอกไม้เหล่าอื่นที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น เข้าไปช่วยเสริมความงามทุกฤดูกาล ด้วยเหตุนั้น วิมานนั้นจึงปรากฏนามว่า " เสรีสกวิมาน". เทวบุตรนั้นท่องเที่ยว ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ เป็นผู้มีชื่อว่า ควัมปติ ในบรรดาสหายผู้เป็นคฤหัสถ์ทั้ง ๔ ของพระยสเถระ สดับว่า ท่านพระยสบวชแล้ว จึงได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อม ด้วยสหายของตน. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว ในเวลาจบพระธรรมเทศนา เขาดำรงอยู่ในอรหัตตผล พร้อมด้วยสหายทั้งหลาย. สมดังคาถา ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อก่อนเราเป็นพรานเนื้อเที่ยวอยู่ในป่า ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เรามีจิตเลื่อมใส โสมนัสในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประกอบไปด้วยพระมหากรุณา ทรงยินดีในประโยชน์ เกื้อกูลสรรพสัตว์ จึงได้บูชาด้วยดอกอัญชันเขียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 226
ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้า ด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ในอัญชนวัน เมืองสาเกต. ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน เสนาสนะไม่พออาศัย. ภิกษุเป็นอันมากพากันนอนที่เนินทราย ริมน้ำสรภู ใกล้ๆ พระวิหาร ครั้งนั้น เมื่อห้วงน้ำหลากมาในเวลาเที่ยงคืน พวกสามเณรเป็นต้น ส่งเสียงร้อง ดังลั่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นแล้ว สั่งท่านพระควัมปติไปว่า ดูก่อนควัมปติ เธอจงไปจงสะกด (ข่ม) ห้วงน้ำไว้ ทำให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ อย่างสบาย. พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วสะกดกระแสน้ำให้หยุดด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ ห้วงน้ำนั้นได้หยุดตั้งอยู่ดุจยอดเขา แต่ไกลทีเดียว. จำเดิมแต่นั้นมา อานุภาพของพระเถระ ได้ปรากฏแล้วในโลก. ครั้นวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ นั่งท่ามกลางเทวบริษัทจำนวนมาก แล้วแสดงธรรมอยู่ เมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระ เพื่อประกาศคุณของท่าน ด้วยความอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาไรๆ ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนี เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 227
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทฺธิยา ได้แก่ ฤทธิที่สำเร็จด้วยอธิษฐาน. บทว่า สรภุํ ได้แก่ แม่น้ำที่มีนามอย่างนี้ว่า สรภู ตามที่กล่าวขานเรียกกัน ในโลก. บทว่า อฏเปสิ ความว่า บังคับไม่ให้น้ำไหล คือให้ไหลกลับ ให้ ตั้งอยู่เป็นกองน้ำใหญ่ ดุจยอดเขา.
บทว่า อสิโต ตัดบทเป็น น สิโต แปลว่าไม่ติดอยู่ คือเว้นจาก กิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหาและทิฏฐิ หรือไม่ผูกพัน ด้วยกิเลสเครื่องผูกพัน แม้ไรๆ เพราะถอนสังโยชน์กล่าวคือกิเลสเป็นเครื่องผูกพันทั้งหมดได้ ต่อแต่นั้นเทวดาและมนุษย์แม้ทั้งปวง ก็พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ชื่อว่า ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีกิเลสเครื่องหวั่นไหวทั้งหลาย ผู้ผ่านพ้นเครื่องข้อง ทั้งปวง นั้นคือผู้เช่นนั้น ชื่อว่าผู้พ้นเครื่องข้องทั้งปวง เพราะก้าวล่วงธรรม เป็นเครื่องข้องคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทิฏฐิเสียได้แล้วตั้งอยู่ ชื่อว่าเป็นมหามุนี เพราะเป็นมุนีผู้อเสกขะ ต่อแต่นั้น ชื่อว่า เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ เพราะถึงพระนิพพาน อันเป็นฝั่งแห่งภพ แม้ทั้งสิ้น อันต่างด้วย กามภพ และกรรมภพเป็นต้น. บทว่า เทวา นมสฺสนฺติ ความว่า แม้เทวดาทั้งหลาย ยังนอบน้อม จะป่วยกล่าวไปไยถึงสัตว์นอกนี้.
ในเวลาจบพระคาถา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่หมู่ชนเป็นอันมาก. พระเถระเมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ก็ได้กล่าวคาถานี้แหละ ด้วยคิดว่า เราจักบูชาพระศาสดา ดังนี้.
จบอรรถกถาควัมปติเถรคาถา