๘. สัญชยเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสัญชยเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 264
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๕
๘. สัญชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสัญชยเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 264
๘. สัญชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสัญชยเถระ
[๑๘๕] ได้ยินว่า พระสัญชยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ตั้งแต่เราออกบวช เป็นบรรพชิต เราไม่รู้สึกถึง ความดำริ อันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย.
อรรถกถาสัญชยเถรคาถา
คาถาของท่านพระสัญชยเถระเริ่มต้นว่า ยโต อหํ. เรื่องราวของท่าน เป็นอย่างไร?
แม้ท่านก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ได้รวบรวมสิ่งของที่เรี่ยราดกระจัดกระจายอยู่ในที่ประชุมใหญ่ๆ กระทำบุญอุทิศพระรัตนตรัย ตัวเองเป็นคนจน จึงได้เป็นผู้ขวนขวายในการบำเพ็ญบุญของหมู่คณะเป็นต้นเหล่านั้น ท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตามกาลเวลา ถวายบังคมแล้ว มีจิตเลื่อมใส ได้ทำหน้าที่ไวยาวัจกรต่างๆ ต่อภิกษุทั้งหลาย ด้วยบุญกรรมนั้นท่านไปบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญไว้มาก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในสุคติภพเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติในพระนครราชคฤห์ โดยนามมีชื่อว่าสัญชัย. เขาเจริญวัยแล้ว เห็นพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 265
มีพรหมายุพราหมณ์ และโปกขรสาติพราหมณ์เป็นต้น เลื่อมใสในพระศาสนา ก็บังเกิดความเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา.
พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว เขาฟังธรรมแล้วได้เป็นพระโสดาบัน แล้วบรรพชาในเวลาต่อมา ก็และเมื่อบรรพชา พอปลายมีดจรดศรีษะเท่านั้น ก็ได้อภิญญา ๖. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ได้มีการประชุมใหญ่ (มหาสันนิบาต) แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี เราได้เป็นไวยาวัจกรผู้รับใช้ในกิจทุกอย่าง ก็ไทยธรรมที่จะถวายแด่พระสุคตเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ของเราไม่มี เรามีจิตผ่องใสได้ถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้กระทำไวยาวัจกรด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการทำหน้าที่ไวยาวัจกร และในกัปที่ ๘ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นามว่า สุจินตติะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ท่านเป็นผู้มีอภิญญา ๖ เมื่อพยากรณ์พระอรหัตตผล ได้กล่าวคาถาว่า
ตั้งแต่เราออกบวชเป็นบรรพชิต เราไม่รู้สึกถึงความดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต ความว่า จำเดิมแต่ คือ นับแต่เราได้บวชแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 266
(อธิบายว่า) จำเดิมแต่เวลาที่เราบวชแล้ว เราไม่รู้จักความดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย โดยความหมายก็ว่า เราไม่รู้จักความดำริที่ประกอบด้วยโทษมีราคะเป็นต้น เพราะเหตุนั้นแล จึงชื่อว่าไม่ประเสริฐ คือ เลว อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าไม่ใช่ของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยะเจ้าทั้งหลายไม่ประพฤติ และเพราะผู้ที่ไม่ใช่พระอริยประพฤติ คือเป็นของลามก ได้แก่ มิจฉาวิตก มีกามวิตกเป็นต้น อันได้นามว่า สังกัปปะ เพราะดำริถึงคุณที่ ไม่มีจริงเป็นต้นในอารมณ์ อันตนให้เกิดแล้ว พระเถระพยากรณ์พระอรหัตตผล ว่า เราบรรลุพระอรหัตแล้ว ในเวลาที่ปลายมีดโกนจรดศรีษะเท่านั้น.
จบอรรถกถาสัญชยเถรคาถา