พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. วัชชีปุตตกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระวัชชีปุตตกเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ย. 2564
หมายเลข  40463
อ่าน  390

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 315

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๗

๒. วัชชีปุตตกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระวัชชีปุตตกเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 315

๒. วัชชีปุตตกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระวัชชีปุตตกเถระ

[๑๙๙] ได้ยินว่า พระวัชชีปุตตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

เราอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งไว้ในป่า ชนเป็นอันมากพากันรักใคร่เรา เหมือนสัตว์นรก พากันรักใคร่บุคคลผู้ไปสู่สวรรค์ฉะนั้น.

อรรถกถาวัชชีปุตตกเถรคาถา

คาถาของท่านพระวัชชีปุตตกเถระ เริ่มต้นว่า เอกกา มยํ อรญฺเ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

ก็พระเถระนี้ เป็นผู้มีอธิการอันเคยกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดแล้วในเรือนมีตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยเกสรดอกกระถินพิมาน. ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยบุญกรรมนั้น เห็นพุทธานุภาพ ในคราวเสด็จไปพระนครไพศาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มี ศรัทธา บวชแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว เรียนกัมมัฏฐานอยู่ในไพรสณฑ์ แห่งหนึ่ง ไม่ไกลพระนครไพศาลี.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 316

สมัยนั้น ได้มีมหรสพในพระนครไพศาลี การฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ได้มีไปทั่วทุกแห่งหน. มหาชนพากันรื่นเริงยินดี ชื่นชม ความสมบูรณ์ของมหรสพ ภิกษุนั้นฟังเสียงนั้นแล้ว ดื่มด่ำตามไปโดยไม่แยบคาย ขาดวิเวก สละกรรมฐาน เมื่อจะประกาศความไม่ยินดียิ่งของตน จึงกล่าว คาถาว่า

เราอยู่ในป่าแต่เพียงผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขา ทอดทิ้งไว้ในป่า ใครเล่าหนอจะเลว ไปยิ่งกว่าเราใน ยามราตรีเช่นนี้ ดังนี้.

เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในไพรสณฑ์ ฟังคำเป็นคาถานั้นแล้ว จะอนุเคราะห์ภิกษุนั้น เมื่อจะแสดงความนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าท่านถูกพวกที่อยู่ในป่า เบียดเบียนบีบคั้น จึงกล่าว ส่วนผู้มีปรีชา ปรารถนาวิเวก ย่อมนับถือท่าน เป็นอันมากทีเดียว ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า

ท่านอยู่ในป่า แต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขา ทอดทิ้งไว้ในป่า คนเป็นอันมาก ย่อมกระหยิ่ม ยินดีต่อท่าน เหมือนเหล่าสัตว์นรก ชื่นชมยินดีต่อผู้ที่ไปสู่สวรรค์ ฉะนั้น ดังนี้.

แล้วขู่สำทับให้เธอสลดใจว่า ดูก่อนภิกษุ ก็เธอบวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนำสัตว์ออกไปจากทุกข์ จักตรึกถึงวิตกที่ไม่นำสัตว์ ออกไปจากทุกข์ อย่างไรเล่า?

ภิกษุนั้นอันเทวดานั้นให้สลดใจแล้วอย่างนี้ ได้เป็นเหมือนม้าอาชาไนยตัวเจริญ ที่ถูกนายสารถีหวดแล้วด้วยแส้ฉะนั้น หยั่งลงสู่แนวแห่งวิปัสสนา ขวนขวายวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 317

เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า มีพระฉวีวรรณดังทองคำ มีพระรัศมีเปล่งปลั่ง ดุจพระอาทิตย์ ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระจันทร์วันเพ็ญ อันพระสาวก ทั้งหลายแวดล้อม ดุจแผ่นดินอันแวดล้อมด้วยสาคร จึงถือเอาดอกกระถินพิมานไปบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกกระถินพิมานได้ ด้วย กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ ๔๕ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมกษัตริย์ พระนามว่า เรณุ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระวัชชีปุตตกเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดว่า คาถานี้ เป็นขอสับ สำหรับบรรลุพระอรหัตของเรา ดังนี้แล้ว หวนระลึกถึงนัยอันเทวดา กล่าวแล้วแก่ตน ได้กล่าวคาถาว่า

เราอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขาทอดทิ้งไว้ในป่า คนเป็นอันมากกระหยิ่มต่อเรา เหมือนสัตว์นรกกระหยิ่มยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ ฉะนั้น ดังนี้.

คาถานั้น มีใจความดังนี้ แม้ถึงเราจะเป็นผู้ๆ เดียววังเวง ไม่มีเพื่อน อยู่ในป่า อุปมาเหมือนท่อนไม้ที่เขาทอดทิ้งไว้ในป่า เพราะไม่มีคนเหลียวแล แต่คนเป็นอันมากย่อมกระหยิ่มต่อเราผู้อยู่อย่างนี้ คือยังมีกุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์เป็นอันมาก ปรารถนาเรายิ่งนักว่า โอหนอ แม้เราทั้งหลาย พึงละเครื่องผูกพันในเรือนแล้ว อยู่ในป่าเหมือนพระวัชชีปุตตกเถระ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 318

เหมือนอะไร? เหมือนสัตว์นรกกระหยิ่มยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ ฉะนั้น อธิบายว่า เปรียบเหมือน สัตว์นรก คือสัตว์ผู้เกิดแล้วในนรก ด้วยบาปกรรม ของตน ย่อมยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ คือผู้เข้าถึงสวรรค์ว่า โอหนอ แม้พวกเรา ละทุกข์ในนรกแล้ว พึงเสวยความสุขในสวรรค์ ชื่อฉันใด ข้ออุปมานี้ก็ฉันนั้น

ก็ในคาถานี้ เพราะท่านมุ่งทำประโยคเป็นพหุพจน์ แสดงความหนัก ในตนว่า เอกกา มยํ วิหราม จึงทำประโยคเป็นเอกพจน์อีกว่า ตสฺส เม โดยที่ความของบทนั้น หมายความอย่างเดียวกัน พึงทราบการแสดงจตุตถีวิภัตติ ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติโดยเพ่ง แม้บททั้งสองที่ว่า ตสฺส เม และสคฺคคามินํ (และ) บทว่า ปิหยนฺติ. ก็บทว่า อภิปตฺเถนฺติ นั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ โดยกระทำอธิบายว่า คนเป็นอันมาก ชื่อว่า ย่อมปรารถนา คุณมีการอยู่ป่า เป็นต้น เช่นนั้น ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตสฺส เม มีอธิบายว่า ซึ่งคุณทั้งหลายใน สำนักของเรานั้น

จบอรรถกถาวัชชีปุตตกเถรคาถา