๑๐. ปุณณเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระปุณณเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 349
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๗
๑๐. ปุณณเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 349
๑๐. ปุณณเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณเถระ
[๒๐๗] ได้ยินว่า พระปุณณเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ในโลกนี้ ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ว่าผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด ความชนะย่อมมีเพราะศีลและปัญญา ทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา.
จบวรรคที่ ๗
อรรคกถาปุณณเถรคาถา
คาถาของท่านพระปุณณเถระเริ่มต้นว่า สีลเมว. เรื่องราวของท่าน เป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนั้น ก็มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในโลกที่ว่างจากพระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เจริญวัย. แล้วสำเร็จการศึกษาในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย ละฆราวาสวิสัย แล้วบวชเป็นดาบส สร้างบรรณกุฎิ แล้วอยู่อาศัย ณ หิมวันตประเทศ.
ณ ที่เงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่ซึ่งพระดาบสนั้นอยู่. พระปัจเจกพุทธเจ้าอาพาธ ปรินิพพานแล้ว. ในสมัยที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นปรินิพพาน ได้มีแสงสว่างลุกโพลงขึ้น. ดาบสเห็นแสงสว่างนั้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 350
เหลียวมองดูข้างโน้น ข้างนี้ โดยจะพิสูจน์ว่า แสงสว่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหนอแล เห็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรินิพพานที่เชิงเขา จึงลากเอาไม้ฟืนที่มีกลิ่นหอม มาเผาร่าง (พระปัจเจกพุทธเจ้า) แล้วพรมด้วยน้ำหอม. ที่เงื้อมเขานั้นมีเทวบุตรองค์หนึ่ง ยืนอยู่ในอากาศ กล่าวอย่างนี้ว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ กรรมที่ยังสัตว์ให้ไปสู่สุคติ อันท่านผู้ประสบบุญใหญ่บำเพ็ญแล้ว ด้วยบุญนั้นท่านจักบังเกิดในสุคติภพเท่านั้น และท่านจักมีนามว่า ปุณณะ ดังนี้.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลคฤหบดี ที่ท่าชื่อว่า สุปปารกะ ในสุนาปรันตชนบท ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีนามว่า " ปุณณะ ". ปุณณมาณพเจริญวัยแล้ว ไปสู่พระนครสาวัตถี พร้อมกับกองเกวียนหมู่ใหญ่ ด้วยธุรกิจทางการค้า.
ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ลำดับนั้น ปุณณมาณพไปยังพระวิหาร พร้อมกับเหล่าอุบาสกผู้อยู่ในพระนครสาวัตถี ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว ยังอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ให้โปรดปรานด้วยข้อวัตรปฏิบัติอยู่แล้ว วันหนึ่งท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงประทานโอวาทโดยย่อ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ข้าพระองค์สดับแล้ว ไปอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ประทานโอวาทแก่ท่าน โดยนัยมีอาทิว่า "ดูก่อนปุณณะ รูปทั้งหลายที่พึงรู้ด้วยจักษุ มีอยู่แล" แล้วทรงบันลือสีหนาท ส่ง (ท่าน) ไป.
ท่านถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไปสู่สุนาปรันตชนบท อยู่ที่ท่าชื่อว่า สุปปารกะ ขวนขวายสมถะและวิปัสสนา กระทำวิชชา ๓ ให้ แจ้งแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 351
พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้สยัมภู ไม่พ่ายแพ้อะไรๆ ทรงพระประชวร อาศัยยอดเงื้อม อยู่ในระหว่างภูเขา ขณะนั้น ได้มีเสียงบันลือลั่น โดยรอบอาศรมของเรา เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จนิพพาน ได้มีแสงสว่างในขณะนั้น หมี หมาป่า เสือดาว เนื้อร้ายและราชสีห์ มีอยู่ในไพรสณฑ์ประมาณ เท่าใด สัตว์ทั้งหมดนั้นได้พากันส่งเสียงร้องขึ้น ใน ขณะนั้น เราเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว ได้ไปสู่เงื้อม ณ ที่นั้นเราได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ไม่พ่ายแพ้อะไรๆ นิพพานแล้ว เหมือนพระยารัง มีดอกบานสะพรั่ง เช่น พระอาทิตย์อุทัย ดังถ่านเพลิงปราศจากเปลวภัย ผู้ดับสนิทแล้ว ไม่แพ้อะไรๆ เรานำเอาหญ้า และไม้ มากองให้เต็ม แล้วได้ทำเชิงตะกอนขึ้นบนนั้น ครั้นทำเชิงตะกอนดีแล้ว ได้ถวายเพลิงพระปัจเจกพุทธสรีระ ครั้นถวายเพลิงพระสรีระแล้ว ได้นำเอาน้ำอบ ประพรม ในขณะนั้น เทวดายืนอยู่ในอากาศได้ระบุชื่อว่า ท่านเป็นมุนีในกาลใด ท่านมีนามว่าปุณณกะในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญกิจนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้สยัมภูแล้ว เราจุติจากกายนั้นแล้ว ได้ไปสู่เทวโลก ในเทวโลกนั้น กลิ่นอันสำเร็จด้วยทิพย์ ย่อมตกลงจากอากาศ แม้ในเทวโลกนั้น เราก็ชื่อว่า ปุณณกะ ในกาลนั้น เราเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมยังความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 352
ดำริให้บริบูรณ์ ภพนี้เป็นภพสุดท้ายของเรา ภพที่สุดย่อมเป็นไป แม้ในภพนี้ นามของเราก็ยังปรากฏว่า ปุณณกะ เรายังพระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ศายบุตร ให้ทรงโปรดแล้ว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายเพลิงพระปัจเจกพุทธสรีระ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ยังมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ให้มีความเลื่อมใสในพระศาสนา โดยที่บุรุษประมาณ ๕๐๐ คน ประกาศตนเป็นอุบาสก และสตรีประมาณ ๕๐๐ คน ประกาศตนเป็นอุบาสิกา. ท่านให้เขาสร้างพระคันธกุฏี ชื่อว่า จันทนมาลา ด้วยไม้จันทน์แดงที่สุนาปรันตชนบทนั้น อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทูต คือดอกไม้ว่า ขอพระบรมศาสดาจงทรงรับพวงดอกไม้พร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ ดังนี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปที่พระคันธกุฏี ชื่อว่า จันทนมาลา นั้น พร้อมกับภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านั้น ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ ทรงรับพระคันธกุฏี ชื่อว่า จันทนมาลา เมื่อยังไม่ทันรุ่งอรุณก็เสด็จกลับ ในเวลาต่อมา พระเถระเมื่อจะพยากรณ์ พระอรหัตตผลในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน ได้กล่าวคาถาว่า
ในโลกนี้ ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ว่าผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด ความชนะย่อมมีเพราะศีลและปัญญา ทั้งในหมู่มนุษย์และหมู่เทวดา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 353
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลํ ความว่า ชื่อว่า ศีล ด้วยอรรถว่า ละเว้น อธิบายว่า ชื่อว่า ศีล ด้วยอรรถว่า เป็นที่ตั้ง และด้วยอรรถว่า สมาทาน.
แท้จริง ศีลเป็นที่ตั้งแห่งคุณทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นรชน ตั้งอยู่แล้วในศีลเป็นผู้มีปัญญา ดังนี้ อธิบายว่า ศีลนั้นย่อมตั้งมั่น และทำกายวาจาให้เรียบร้อย ศีลนี้นั้นเท่านั้น ชื่อว่าเป็นเลิศ เพราะความเป็นพื้นฐาน และเพราะความเป็นประธานแห่งคุณทั้งปวง. สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงยังเบื้องต้นในกุศลธรรม ทั้งหลายให้บริสุทธิ์ก่อน เบื้องต้นของกุศลธรรมคืออะไร? คือศีลที่บริสุทธิ์ดี ดังนี้ด้วย และว่า ที่ชื่อว่า ปาฏิโมกข์ ได้แก่ศีลที่เป็นประธาน และศีลที่เป็น ประมุข ดังนี้ด้วย.
บทว่า อิธ เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า ปญฺวา แปลว่า ถึงพร้อมด้วยญาณ. ผู้ที่สมบูรณ์ด้วย ญาณนั้น เป็นผู้สูงสุด คือประเสริฐสุด ได้แก่ บวร เพราะฉะนั้น พระเถระ จึงแสดงความที่ปัญญานั่นแหละประเสริฐที่สุด ด้วยคาถาอันเป็นบุคลาธิษฐาน เพราะว่า กุศลธรรมทั้งหลายมีปัญญาเป็นยอด.
พระเถระแสดงความที่ศีลและปัญญาเป็นเลิศและประเสริฐนั้น โดยเหตุ ในบัดนี้ว่า ความชนะย่อมมีทั้งศีลและปัญญา ทั้งในหมู่มนุษย์และหมู่เทวดา ดังนี้.
อธิบายว่า จะชนะปรปักษ์ได้ จะชนะกามกิเลสได้ เพราะศีลและ ปัญญาเป็นเหตุ ดังนี้.
จบอรรถกถาปุณณเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ ๗
ในอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 354
ในวรรคนี้ รวมพระเถระ ๑๐ รูปคือ
๑. พระวัปปเถระ
๒. พระวัชชีปุตตกเถระ
๓. พระปักขเถระ
๔. พระวิมลโกณฑัญญเถระ
๕. พระอุกเขปกตวัจฉเถระ
๖. พระเมฆิยเถระ
๗. พระเอกธัมมสวนียเถระ
๘. พระเอกุทานิยเถระ
๙. พระฉันนเถระ
๑๐. พระปุณณเถระ และอรรถกถา.