พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. ปวิฏฐเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระปวิฏฐเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ย. 2564
หมายเลข  40488
อ่าน  403

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 416

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๙

๗. ปวิฏฐเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปวิฏฐเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 416

๗. ปวิฏฐเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปวิฏฐเถระ

[๒๒๔] ได้ยินว่า พระปวิฏฐเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

เราเห็นเบญจขันธ์ ตามเป็นจริงได้แล้ว ทำลาย ภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ ไม่มี.

อรรถกถาปวิฏฐเถรคาถา

คาถาของท่านพระปวิฏฐเถระ เริ่มต้นว่า ขนฺธา ทิฏฺา ยถาภูตํ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ ก่อนๆ กระทำบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ ในภพนั้นๆ (เกิด) เป็นดาบส นามว่า เกสวะ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมแล้ว มีใจเลื่อมใส ถวายอภิวาท ประคองอัญชลี กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญไว้มาก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ มคธรัฐ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ บวชเป็นปริพาชก เพราะความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในเนกขัมมะ ศึกษาสิ่งที่

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 417

ควรศึกษาในลัทธินั้น ฟังความที่อุปติสสปริพาชก และโกลิตปริพาชก บวชแล้วในพระพุทธศาสนา คิดว่า ธรรมดาท่านทั้ง ๒ แม้นั้นเป็นผู้มีปัญญามาก บวชแล้วในที่ใดก็ตาม ที่นั้นชะรอยจะประเสริฐเป็นแน่ ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของพระศาสดา ฟังธรรมแล้วได้มีศรัทธาจิต บวชแล้ว. พระศาสดา ตรัสบอกวิปัสสนาแก่ท่าน. ท่านปรารภวิปัสสนา แล้วได้กระทำให้แจ้งพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า

ชนทั้งหลาย รู้จักเราว่า เกสวะ โดยนามชื่อว่า นารทะ เราแสวงหากุศลและอกุศลอยู่ ได้ไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นมหามุนี พระนามว่า อัตถทัสสี ทรงมีจิตเมตตา ประกอบด้วยพระกรุณา พระองค์ผู้มีพระจักษุ เมื่อทรงปลอบสัตว์ทั้งหลายให้เบาใจ ทรงแสดงธรรมอยู่ เรายังจิตของตนให้เลื่อมใสประนม กรอัญชลี บนเศียรเกล้า ถวายบังคมพระศาสดา บ่ายหน้ากลับไปยังทิศปัจฉิม ในกัปที่ ๑,๗๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระนามว่า อมิตตตาปันนะ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อพยากรณ์พระอรหัตตผล ได้ กล่าวคาถาว่า

เราเห็นเบญจขันธ์ ตามเป็นจริงได้แล้ว ทำลาย ภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ ไม่มี ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 418

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺธา ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ อธิบาย ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้น อันพระโยคาวจรพึงเห็นแจ้ง โดยการเข้าไปกำหนดหมายวิปัสสนา และด้วยสามารถแห่งการรอบรู้ ด้วยญาตปริญญา เป็นต้น.

บทว่า ทิฏฐา ยถาถูตํ ความว่า เห็นแล้วโดยไม่ผิดพลาด โดยนัยมีอาทิว่า นี่ทุกข์ ดังนี้ ด้วยมรรคปัญญา อันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา. บทว่า ภวา สพฺเพ ปทาลิตา ความว่า กรรมภพ และอุบัติภพ ทั้งปวง มีกามภพเป็นต้น อันเราทำลายแล้ว คือกำจัดแล้ว ด้วยศาสตราคือ มรรคญาณ. อธิบายว่า กรรมภพ และอุบัติภพ ย่อมชื่อว่า เป็นอันเราทำลายแล้ว ด้วยการทำลายกิเลสได้ นั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี ดังนี้. ความของคาถานั้น ข้าพเจ้า กล่าวไว้ในหนหลังแล้วทั้งนั้น.

จบอรรถกถาปวิฏฐเถรคาถา