พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. เทวสภเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระเทวสภเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ย. 2564
หมายเลข  40490
อ่าน  449

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 422

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๙

๙. เทวสภเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระเทวสภเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 422

๙. เทวสภเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระเทวสภเถระ

[๒๒๖] ได้ยินว่า พระเทวสภะถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะ เพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะ และกิเลสเครื่องร้อยรัด ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว.

อรรถกถาเทวสภเถรคาถา

คาถาของท่านพระเทวสภเถระ. เริ่มต้นว่า อุตฺติณฺณา ปงฺกปลิปา. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนั้น ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดในกำเนิดแห่งพรานผู้ฆ่าสัตว์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาแล้ว เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ได้น้อมผลมะหาดไปถวาย. เพื่อจะเจริญศรัทธาปสาทะของเขา พระศาสดาจึงทรงเสวยผลมะหาดนั้น. เขาเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสเกินประมาณ ด้วยการเสวยผลมะหาดนั้น เข้าไปเฝ้าตามกาลเวลา ทำจิตให้เลื่อมใสแล้ว.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 423

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเกิดในเทวโลก กระทำบุญไว้มาก ท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นโอรสของพระราชา ทรงพระนามว่า มณฑลิกะ องค์หนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ แต่ในเวลาที่ยังทรงพระเยาว์ทีเดียว เสวยความสุขในราชสมบัติ ทรงพระชราภาพ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท้าวเธอ. พระองค์ฟังธรรมแล้ว ได้มีศรัทธาจิต เกิดความสลดพระทัย สละราชสมบัติ ทรงผนวช แล้วเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดัง คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

ในกาลนั้น เราเป็นพรานเที่ยวฆ่าสัตว์อื่นเป็น อันมาก สำเร็จการนอนอยู่ที่เงื้อมเขาไม่ไกลพระศาสดาพระนามว่า สิขี เราเห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็น อัครนายกของโลก ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เราไม่มีไทยธรรม สำหรับถวายแด่ศาสดาผู้จอมประชา ผู้คงที่ เราได้ถือเอาผลมะหาดไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า เชษฐบุรุษของโลกผู้ประเสริฐกว่านระ ทรงรับ ต่อแต่นั้น เราได้ถือเอาผลมะหาดไปบำเรอพระองค์ซึ่งเป็นผู้นำที่วิเศษ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราได้ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลมะหาดใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ในกัปที่ ๑๕ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์ มีพระนามว่า ปิยาลิน สมบูรณ์ด้วย

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 424

แก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว บังเกิดความโสมนัสด้วยสามารถแห่งการพิจารณาถึงกิเลสที่ละแล้ว เมื่อจะเปล่งอุทานได้กล่าวคาถาว่า

กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะ เพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะและกิเลสเครื่องร้อยรัด ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺติณฺณา ความว่า ก้าวล่วงพ้นไปแล้ว. บทว่า ปงฺกปลิปา ได้แก่ ทั้งเปลือกตม และทั้งหล่ม. เปลือกตมโดยปกติ ท่านเรียกว่า ปังกะ เปลือกตมใหญ่ทั้งลึกทั้งกว้าง ท่านเรียกว่า ปลิปะ แต่ในคาถานี้ หมายเอาสภาพที่ชื่อว่า ปังกะ เพราะเป็นดุจเปลือกตม ได้แก่ กามราคะ เพราะจิตถูกฉาบทาด้วยการเพิ่มให้ซึ่งความไม่สะอาด (และหมายเอา) สภาพที่ชื่อว่า ปลิปะ เพราะเป็นประดุจถูกลูบไล้ ได้แก่ ฉันทราคะที่หนาแน่น มีลูกเมียเป็นต้นเป็นอารมณ์ เพราะถูกฉาบทาด้วยของไม่สะอาด และเพราะข้ามพ้นได้ยาก โดยนัยดังกล่าวแล้ว ฉันทราคะเป็นต้นเหล่านั้น เราก้าวล่วง แล้วโดยประการทั้งปวงด้วยพระอนาคามิมรรค เพราะเหตุนั้น พระเถระจึง กล่าวว่า กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะเพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว ดังนี้.

บทว่า ปาตาลา ความว่า ที่ชื่อว่า ปาตาลา เพราะเป็นเหมือน เมืองบาดาล ได้แก่ประเทศที่ต่อเนื่องกันในมหาสมุทร. ส่วนอาจารย์บางพวก

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 425

กล่าวนาคพิภพว่า บาดาล. แต่ในคาถานี้หมายเอา สภาพที่ชื่อว่าบาดาล เพราะเป็นเหมือนเมืองบาดาล ด้วยอรรถว่า จับต้องไม่ได้ ทำให้เกิดแตก หมู่คณะ และข้ามได้โดยยาก ได้แก่ ทิฏฐิทั้งหลาย. ก็ทิฏฐิเหล่านั้นอันเรา เว้นแล้ว คือตัดขาดแล้ว โดยประการทั้งปวง โดยการได้บรรลุปฐมมรรค นั่นเทียว เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาล แล้ว ดังนี้.

บทว่า มุตฺโต โอฆา จ คนฺถา จ ความว่า เราพ้นแล้ว คือ พ้นรอบแล้ว จากโอฆะมีโอฆะคือกามเป็นต้น และจากเครื่องร้อยรัด มีเครื่องร้อยรัดกาย คือ อภิชฌาเป็นต้น ด้วยมรรคนั้นๆ อธิบายว่า ก้าวล่วงแล้ว โดยไม่มีกิเลสเครื่องวุ่นวายและกิเลสเครื่องร้อยรัดอีก.

บทว่า สพฺเพ มานา สํวิหิตา ความว่า กิเลสแม้ทั้ง ๙ อย่าง ถึงการฆ่า คือความพินาศ คือถูกถอนขึ้นโดยพิเศษ ด้วยการบรรลุมรรคชั้นสูง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มานวิธาหตา (มานะบางอย่างถูกฆ่าแล้ว) อธิบายว่า ได้แก่ มานะบางส่วนถูกทำลาย. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า มานวิสา (มี มานะเป็นพิษ) ก็บัณฑิตพึงเข้าใจความหมายของอาจารย์เหล่านั้นว่า ชื่อว่า มีมานะเป็นพิษเพราะผลแห่งทุกข์ ที่มีมานะเป็นพิษ.

จบอรรถกถาเทวสภเถรคาถา (ที่ ๑)