๓. เอรกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระเอรกเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 436
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑๐
๓. เอรกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอรกเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 436
๓. เอรกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอรกเถระ
[๒๓๐] ได้ยินว่า พระเอรกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดูก่อนเอรกะ กามไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้น ชื่อว่าใคร่ทุกข์ ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้น ชื่อว่า ไม่ใคร่ทุกข์.
อรรถกถาเอรกเถรคาถา
คาถาของท่านเอรกเถระ เริ่มต้นว่า ทุกฺขา กามา เอรกา. เรื่อง ราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ มาก บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระศาสดา เป็นผู้มีใจเลื่อมใส เมื่อหาอะไรๆ ที่ควรถวายพระบรมศาสดาไม่ได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 437
จึงคิดว่า เอาเถิด เราจะเอาร่างกายบำเพ็ญบุญ ดังนี้แล้ว แผ้วถางทางเสด็จพระดำเนินของพระศาสดา กระทำให้เรียบเสมอ. พระศาสดา เสด็จดำเนินไปสู่ทางที่เขากระทำไว้แล้วอย่างนั้น. เขาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปที่ทางนั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ถวายบังคมแล้วประคองอัญชลีแล้ว เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จล่วงทัสนูปจาร ก็ไม่ละปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ได้ยืนอยู่แล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ อยู่แต่ในสุคติภพอย่างเดียวเท่านั้น เกิดเป็นบุตรของกุฏุมพี ชื่อว่า สัมภาวนียะ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีนามว่า เอรกะ เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ในกิจการใหญ่น้อยทั้งหลาย. มารดาบิดาของเขา นำหญิงสาวที่สมควรกัน ด้วยตระกูล รูปร่าง มรรยาท วัย และความฉลาด มาทำการวิวาหะ เขาอยู่ในเรือนโดยร่วมสังวาสกับนาง แล้วเกิดความสลดใจในสงสาร ด้วยอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจบางประการ เพราะเป็นภพสุดท้าย ไปสู่สำนักของพระศาสดา ฟังธรรมแล้ว ได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว. พระศาสดาได้ทรงประทาน กรรมฐานแก่เขา. เขาเรียนกรรมฐานแล้ว ถูกความกระสันครอบงำ โดยผ่านไปไม่กี่วันอยู่แล้ว ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบความเป็นไปแห่งจิตของท่าน ได้ตรัสพระคาถาเป็นพระโอวาทว่า ทุกฺขา กามา เอรก ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดังนี้เป็นอาทิ. ท่านฟังคาถานั้นแล้ว เกิดความสลดใจว่า การที่เราเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาเห็นปานนี้ แล้วสละกรรมฐานนั้น อยู่อย่างผู้มากไปด้วยมิจฉาวิตก นั้น ชื่อว่า กระทำกรรมอันไม่สมควรเลย ดังนี้ แล้วหมั่นประกอบวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. สม ดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 438
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุเสด็จไปสู่ท่าน้ำแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ป่า เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ มีพระลักษณะ อันประเสริฐพระองค์นั้น จึงได้ถือเอาจอบและปุ้งกี๋มา ปราบหนทางให้ราบเรียบ เราได้ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยังจิตของตนให้เลื่อมใส ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทร กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย ในกัปที่ ๕๗ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมประชาองค์หนึ่งมี นามว่า สุปปพุทธะ เป็นนายก เป็นใหญ่กว่านระ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผลได้ กล่าวซ้ำพระคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั่นแหละ ว่า
ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดูก่อนเอรกะ กามไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่า ใคร่ทุกข์ ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่า ไม่ใคร่ทุกข์ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขา กามา ความว่า วัตถุกามและ กิเลสกามเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ และเพราะมีวิปริณามทุกข์ และสังขารทุกข์เป็นสภาพ คือยังทุกข์ให้เกิดขึ้นแน่นอน. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ มีอาทิว่า กามมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความ คับแค้นมาก ในกามนี้ ไม่มีโทษ (อะไร) จะยิ่งไปกว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 439
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกพระเถระนั้นว่า เอรกะ เป็นครั้งแรก ก่อน แต่ภายหลัง พระเถระจึงเรียกตนเองโดยนามว่า เอรกะ.
บทว่า น สุขา กามา ความว่า ขึ้นชื่อว่ากามนี้ ไม่เป็นความสุขเลย สำหรับบุคคลผู้รู้อยู่ แต่สำหรับคนไม่รู้ ย่อมปรากฏโดยเป็นสุข. สมดัง ที่ท่านกล่าวไว้ มีอาทิว่า ผู้ใดเห็นความสุข โดยเป็นทุกข์ ผู้นั้นชื่อว่าได้เห็น ทุกข์ โดยความเป็นลูกศร.
บทว่า โย กาเม กามยติ ทุกฺขํ โส กามยติ ความว่า สัตว์ผู้ใด ใคร่กิเลสกาม และ วัตถุกาม ความใคร่นั้นของสัตว์ผู้นั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเร่าร้อนในปัจจุบัน ทั้งชื่อว่า เป็นทุกข์ในเวลาต่อไป เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์ในอบาย และเหตุแห่งทุกข์ในวัฏฏะ. ก็วัตถุกาม ชื่อว่าเป็นที่ ตั้งแห่งทุกข์ ด้วยประการฉะนี้. สัตว์ผู้นั้น ท่านจึงเรียกว่า ใคร่วัตถุกาม ที่มีทุกข์เป็นสภาพ มีทุกข์เป็นนิมิต และเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์. ทุกข์นอกนี้ ท่านกล่าวไว้ เพื่อให้รู้เนื้อความนั้นแหละ โดยตรงข้าม เพราะฉะนั้น ใจ ความของทุกข์นั้น พึงทราบโดยปริยายดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว.
จบอรรถกถาเอรกเถรคาถา