๙. สังฆรักขิตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสังฆรักขิตเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 491
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑๑
๙. สังฆรักขิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสังฆรักขิตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 491
๙. สังฆรักขิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสังฆรักขิตเถระ
[๒๔๖] ได้ยินว่า พระสังฆรักขิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภิกษุผู้อยู่ในที่สงัดนี้ เห็นจะไม่คำนึงถึงคำสอนของพระศาสดา ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตวโลก ด้วยประโยชน์อย่างเยี่ยมเป็นแน่ จึงไม่สำรวมอินทรีย์ เหมือนแม่เนื้อลูกอ่อนในป่า ฉะนั้น.
อรรถกถาสังฆรักขิตเถรคาถา
คาถาของท่านพระสังฆรักขิตเถระ เริ่มต้นว่า น นูนายํ ปรมหิตานุกมฺปิโน. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนั้น ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์อยู่ที่เชิงเขา เป็นผู้มีใจโสมนัส เก็บเอาดอกกระทุ่มไปบูชา.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาไปบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้ว ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น บังเกิดในตระกูลของผู้มั่งคั่ง ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า สังฆรักขิต. เขาบรรลุ นิติภาวะแล้ว ได้มีจิตศรัทธา บวชแล้ว เรียนกรรมฐาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 492
กระทำภิกษุรูปหนึ่งให้เป็นสหายแล้วอยู่ในป่า. ในที่ไม่ไกลจากที่ซึ่งพระเถระพำนักอยู่ มีแม่เนื้อตัวหนึ่ง ตกลูกอยู่ที่พุ่มไม้ เฝ้ารักษาลูกน้อยที่ยังเล็ก แม้จะถูกความหิวครอบงำ ก็ไม่ไปหากินไกล เพราะความห่วงไยในลูก และต้องระกำลำบาก เพราะหาหญ้าและน้ำในที่ใกล้ไม่ได้. พระเถระเห็นดังนั้น เกิดความสลดใจว่า โอหนอ สัตวโลกนี้ อันเครื่องผูกคือตัณหารัดรึงไว้ ย่อมเสวยทุกข์หนัก ไม่สามารถจะตัดเครื่องผูกตัณหานั้นได้ ดังนี้แล้ว กระทำเหตุการณ์นั้นแหละ ให้เป็นขอสับ เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
มีภูเขาชื่อว่า กุกกุฏะ อยู่ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมพานต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์อยู่ที่เชิงเขานั้น เราเห็นต้นกระทุ่มมีดอกบาน ดังพระจันทร์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จึงประคองด้วยมือทั้งสอง ไปบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๗ องค์ ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ พระองค์ นามว่า ปุปผะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว รู้ว่าภิกษุผู้เป็นเพื่อนของตนอยู่อย่างผู้มากไปด้วยมิจฉาวิตก จึงกระทำนางเนื้อนั้นแหละให้เป็นอุปมา แล้วได้กล่าวคาถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 493
ภิกษุผู้อยู่ในที่สงัดนี้ เห็นจะไม่คำนึงถึงคำสอนของพระศาสดา ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตวโลก ด้วยประโยชน์อย่างยอดเยี่ยมเป็นแน่ จึงไม่สำรวมอินทรีย์ เหมือนแม้เนื้อลูกอ่อนในป่า ฉะนั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น น ศัพท์ ในบทว่า น นูนายํ นี้ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า ปฎิเสธ. บทว่า นูน เป็นนิบาตลงในอรรถว่า ปริวิตก. ตัด บทเป็น นูน อยํ. บทว่า ปรมหิตานุกมฺปิโน ความว่า ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีปกติอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายอย่างยอดเยี่ยม คือเปรียบไม่ได้ หรือ ด้วยประโยชน์อย่างยิ่ง คือ อย่างเยี่ยม. บทว่า รโหคโต ตัดบทเป็น รหสิ คโต (อยู่ในที่ลับ) อธิบายว่า อยู่ในสุญญาคาร คือเป็นผู้ประกอบ ด้วยกายวิเวก.
ในบทว่า อนุวิคเณติ นี้ ต้องนำเอาบททั้งสองว่า น นนู มา เชื่อมเข้าเป็น นานุวิคเณติ นูน ได้ความว่า เห็นจะไม่คิด คือไม่ตรึกตรองว่า จะต้องขวนขวาย. บทว่า สาสนํ ความว่า คำสอนคือข้อปฏิบัติ อธิบายว่า ได้แก่ การเจริญจตุสัจจกรรมฐาน. บทว่า ตถา หิ ความว่า เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ได้แก่ เพราะไม่ขวนขวายคำสอนของพระศาสดานั่นเอง. บทว่า อยํ แก้เป็น อยํ ภิกฺขุ แปลว่า ภิกษุนี้.
บทว่า ปากตินฺทฺริโย ความว่า ชื่อว่า ผู้มีอินทรีย์อันเป็นแล้วตามสภาพ เพราะปล่อยอินทรีย์ทั้งหลาย มีใจเป็นที่ ๖ ไปในอารมณ์ทั้งหลาย ตามใจของตน. อธิบายว่า เป็นผู้ไม่สำรวมจักษุทวารเป็นต้น ภิกษุนั้น ชื่อว่า อยู่อย่างผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ เพราะไม่ตัดกิเลสเครื่องข้องคือตัณหาใด พระเถระเมื่อจะแสดงข้ออุปมาแห่งกิเลสเครื่องข้องคือตัณหานั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 494
จึงกล่าวว่า มิคี ยถา ตรุณชาติกา วเน (เหมือนแม่เนื้อลูกอ่อนในป่าฉะนั้น) อธิบายว่า แม่เนื้อยังมีลูกเล็กดังนี้ ย่อมเสวยทุกข์ในป่า เพราะตัดความสิเนหาในลูกไม่ขาด ได้แก่ ไม่ล่วงพ้นความทุกข์นั้น ฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้น เมื่อ อยู่อย่างผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ เพราะตัดกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องไม่ได้ ชื่อว่า ย่อมไม่ล่วงพ้นทุกข์ในวัฏฏะ ดังนี้ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ตรุณวิชาติกา ก็มี. มีความหมายา มีลูกอ่อน ที่จะต้องทะนุถนอม. ภิกษุนั้น ฟังดังนั้นแล้วเกิดความสลดใจ เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก.
จบอรรถกถาสังฆรักขิตเถรคาถา