พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. วีตโสกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระวีตโสกเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  19 พ.ย. 2564
หมายเลข  40550
อ่าน  393

[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 123

เถรคาถา ทุกนิบาต

วรรคที่ ๓

๕. วีตโสกเถรคาถา

ว่าด้วคาถาของพระวีตโสกเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 123

๕. วีตโสกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระวีตโสกเถระ

[๒๘๒] ได้ยินว่า พระวีตโสกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

ช่างกัลบกเข้ามาหาเรา ด้วยคิดว่า จักตัดผมของเรา เราจึงรับเอากระจกจากช่างกัลบกนั้นมาส่องดูร่างกาย ร่างกายของเรานี้ได้ปรากฏเป็นของว่างเปล่า ความมืดคืออวิชชาในกายอันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หายหมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เรา ตัดขาดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.

อรรถกถาวีตโสกเถรคาถา

คาถาของท่านพระวีตโสกเถระ เริ่มต้นว่า เกเส เม โอลิขิสฺสนฺติ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญมากมายไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึงความสำเร็จในวิชา และศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ แล้วละกามทั้งหลาย บวชเป็นฤๅษี อันหมู่ฤๅษี เป็นอันมากแวดล้อมแล้ว อยู่ในป่า สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ร่าเริงยินดีแล้ว ดำริว่า พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาโอกาสเฝ้าได้ยาก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 124

อุปมาเหมือนดอกมะเดื่อ เราควรเข้าเฝ้าในบัดนี้แหละ ดังนี้แล้ว แล้วเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับบริษัทหมู่ใหญ่ เมื่อเหลือทางอีกหนึ่งโยชน์ครึ่งจะถึง ก็ล้มป่วยถึงความตาย โดยสัญญาอันส่งไปแล้วในพระพุทธเจ้า บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นน้องชายคนเล็กของพระเจ้าธรรมาโศกราช ในที่สุดแห่งปีพุทธศักราช ๒๑๘ ในพุทธุปบาทกาลนี้. ท่านได้มีพระนามว่า วีตโสกะ.

วีตโสกราชกุมาร เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปศาสตร์ ที่พึงศึกษาร่วมกับขัตติยกุมารทั้งหลายแล้ว (ศึกษาจนแตกฉานเชี่ยวชาญ) แกล่วกล้าในสุตตันตปิฎกและในพระอภิธรรมปิฎก ทั้งๆ ที่เป็นคฤหัสถ์ โดยอาศัยพระคิริทัตตเถระ วันหนึ่งรับกระจกจากมือของช่างกัลบก ในเวลาปลงพระมัสสุ มองดูพระวรกาย เห็นอวัยวะที่มีหนังเหี่ยวและผมหงอกเป็นต้น บังเกิดความสลดพระทัย ยังจิตให้หยั่งลงในวิปัสสนา แล้วยกขึ้นสู่ภาวนา เป็นพระโสดาบัน บนอาสนะนั้นเอง บวชในสำนักของพระคิริทัตตเถระแล้ว บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน อปทานว่า

เราเป็นคนเล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท ชํานาญในคัมภีร์ทํานายมหาปุริสลักษณะ คัมภีร์อิติหาสะพร้อมด้วยคัมภีร์นิคัณฑุศาสตร์และคัมภีร์เกตุภศาสตร์ ครั้งนั้นพวกศิษย์มาหาเราปานดังกระแสน้ำ เราไม่เกียจคร้าน บอกมนต์แก่ศิษย์เหล่านั้นทั้งกลาง วันและกลางคืน ในกาลนั้น พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สิทธัตถะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 125

ทรงกำจัดความมืดมิดให้พินาศแล้ว ยังแสงสว่างคือ พระญาณให้เป็นไป ครั้งนั้น ศิษย์ของเราคนหนึ่ง ได้บอกแก่ศิษย์ทั้งหลายของเรา พวกเขาได้ฟังความนั้น จึงได้บอกเรา เราคิดว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ชนย่อมอนุวัตรตาม พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แต่เราไม่มีลาภ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีการอุบัติเลิศลอย มีจักษุ ทรงยศใหญ่ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้นำของโลก เราถือหนังเสือผ้าเปลือกไม้กรอง และคนโทน้ำของเราแล้ว ออกจากอาศรม เชิญชวนพวกศิษย์ว่า ความเป็นผู้นำโลกหาได้ยาก เหมือนกับดอกมะเดื่อ กระต่ายในดวงจันทร์ หรือเหมือนกับน้ำนมกา ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก แม้ความเป็นมนุษย์ก็หาได้ยาก และเมื่อความเป็นผู้นำโลก และความเป็นมนุษย์ทั้งสองอย่างมีอยู่ การได้ฟังธรรมก็หาได้ยาก พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พวกเราจักได้ดวงตาอันเป็นของพวกเรา มาเถิดท่านทั้งหลาย เราจักไปยังสำนักของพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกคน ศิษย์ทุกคนแบกคนโทน้ำ นุ่งหนังเสือทั้งเล็บ พวกเขาเต็มไปด้วยภาระ คือ ชฎา พากันออกไปจากป่าใหญ่ในครั้งนั้น พวกเขามองดูประมาณชั่วแอก แสวงหาประโยชน์อันสูงสุด เดินมาเหมือนลูกช้าง เป็นผู้ไม่สะดุ้ง

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 126

ประหนึ่งไกรสรสีหราช ฉะนั้น เขาทั้งหลายไม่มีความสะดุ้ง หมดความละโมบ มีปัญญา มีความประพฤติสงบ เที่ยวเสาะแสวงหาโมกขธรรม ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด (ก่อนจะถึงที่หมาย) เหลือระยะทางอีกหนึ่งโยชน์ครึ่ง เราเกิดเจ็บป่วยขึ้น เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดแล้ว ตาย ณ ที่นั้น ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า ช่างกัลบกเข้ามาหาเรา ด้วยคิดว่า จักตัดผมของเรา เราจึงเอากระจก จากช่างกลับกนั้น มาส่องดูร่างกาย ร่างกายของเรานี้ได้ปรากฏเป็นของเปล่า ความมืดคือ อวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หายหมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกเส เม โอลิขิสฺลนฺติ กปฺปโก อุปสงฺกมิ ความว่า ในเวลาที่เราเป็นคฤหัสถ์ ในเวลาโกนหนวด ช่างกัลบก คือช่างทำผม คิดว่าจักตัด จะแต่งผมของเรา จึงเข้ามาหาเรา โดยเตรียมจะตัดผมเป็นต้น. บทว่า ตโต ได้แก่ จากช่างกัลบกนั้น. บทว่า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 127

บทว่า สรีรํ ปจฺจเวกฺขิสฺส ความว่า พิจารณาร่างกายที่ชราครอบงำแล้ว ด้วยตนเองว่า ร่างกายของเราถูกชราครอบงำแล้วหนอ ดังนี้ ด้วยมุข คือการดูนิมิตบนใบหน้า ที่มีผมหงอกและหนังเหี่ยวย่นเป็นต้น ในกระจก ได้ทั่วทั้งร่าง.

ก็เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ร่างกายของเราก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่า คือร่างกายของเราได้ปรากฏ คือเห็นชัดว่าเป็นของว่างเปล่า จากสภาพต่างๆ มีสภาพที่เที่ยง ยั่งยืนและเป็นสุข เป็นต้น. เพราะเหตุไร? เพราะความมืด คืออวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หายหมดสิ้นไป อธิบายว่า คนทั้งหลาย ที่อยู่ในอำนาจของความมืด ในกายของตน ด้วยความมืดกล่าว คือ อโยนิโสมนสิการใด เมื่อไม่เห็นสภาพมีสภาพที่ไม่งามเป็นต้น แม้มีอยู่ ย่อมถือเอาอาการว่าเป็นของงามเป็นอันไม่มีอยู่ ความมืดคืออวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน คือเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำความมืดนั้น ได้หายหมดสิ้นไป ด้วยแสงสว่างแห่งญาณ กล่าวคือ โยนิโสมนสิการ ต่อจาก นั้น กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราก็ตัดได้ขาด คือกิเลสทั้งหลายอันได้นามว่า โจฬา เพราะเป็นดุจพวกโจร โดยการเข้าไปตัดภัณฑะคือกุศล หรือเป็นดุจผ้าขี้ริ้ว เพราะความเป็นท่อนผ้าเก่าๆ ที่เขาทิ้งแล้วในกองขยะเป็นต้น โดยเป็นเศษผ้าที่ติดลูกไฟ (หรือ) โดยเป็นผ้าที่คนดีไม่ต้องการ เพราะความเป็นของอันอิสรชน คือคนเจริญรังเกียจ อันเราตัดขาดแล้ว ก็เพราะความที่กิเลสเพียงดังผ้าขี้ริ้วเหล่านั้น เป็นของอันเราเพิกถอนได้แล้ว ด้วยมรรคอันเลิศ นั่นแล บัดนี้ภพใหม่จึงมิได้มี ได้แก่การจะไปเกิดในภพใหม่ ไม่มีอีก ต่อไป.

จบอรรถกถาวีตโสกเถรคาถา