๑๒. อุตตรปาลเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรปาลเถระ
[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 304
เถรคาถา ติกนิบาต
วรรคที่ ๑
๑๒. อุตตรปาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรปาลเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 304
๑๒. อุตตรปาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุตตรปาลเถระ
[๓๑๘] ได้ยินว่า พระอุตตรปาลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญจกามคุณ ทำเราผู้เป็นบัณฑิต สามารถคิดค้นประโยชน์ได้ให้ลุ่มหลงหนอ ให้เราตกอยู่ในโลก เราได้แล่นไปในวิสัยของมาร ถูกลูกศรปักอยู่อย่างเหนียวแน่น แต่ก็สามารถเปลื้องตนออกจากบ่วงมัจจุราชได้ กามทั้งหมดเราละได้แล้ว ภพทั้งหลายเราทำลายได้หมดแล้ว การเวียนเกิด (ชาติสงสาร) สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 305
อรรถกถาอุตตรปาลเถรคาถา
คาถาของท่านพระอุตตปาลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปณฺฑิตํ วต มํ สนฺตํ ดังนี้. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้ท่านพระอุตตรปาลเถระ นี้ ก็มีบุญญาธิการได้ทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ เมื่อสั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ได้ให้สร้างสะพาน ไว้ที่ทางเสด็จพุทธดำเนิน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองพาราณสี มีชื่อว่า อุตตรปาละ เติบโตแล้ว ได้เห็นยมกปาฏิหาริย์ ได้ศรัทธาบวชแล้ว บำเพ็ญสมณธรรม. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านระลึกถึงภูตารมณ์เนืองๆ ด้วย สามารถกระทำไว้ในใจ โดยไม่แยบคาย กามราคะก็เกิดขึ้น. ทันใดนั้น ท่านข่มจิตของตนไว้ได้ เหมือนคนจับโจรพร้อมกับของกลางไว้ได้ เกิดความสลดใจขึ้น ข่มกิเลสไว้ ด้วยการมนสิการถึงธรรม ที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อกิเลสนั้น แล้วบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ให้ภาวนาก้าวหน้าขึ้นไป บรรลุพระอรหัตตผล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี เสด็จจงกรมอยู่ต่อหน้า ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ดีใจ ได้สร้างสะพานถวาย ในกัปที่ ๙๑ นับถอยหลังไปแต่ กัปนี้ เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าได้สร้างสะพานถวาย จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายสะพาน. กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 306
อนึ่ง ครั้นได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตนแล้ว เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงได้กล่าวคาถาไว้ ๓ คาถาว่า
เบญจกามคุณ ทำเราผู้เป็นบัณฑิต สามารถคิดค้นประโยชน์ได้ ให้ลุ่มหลงหนอ ให้เราตกอยู่ในโลก เราได้แล่นไปในวิสัยของมาร ถูกลูกศรปักอยู่อย่างเหนียวแน่น แต่ก็สามารถเปลื้องตนออกจากบ่วงมัจจุราชได้. กามทั้งหมดเราละได้แล้ว ภพทั้งหลาย เราทำลายได้หมดแล้ว การเวียนเกิด สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิตํ วต มํ สนฺตํ ความว่า เพราะว่าให้เราผู้ชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยปัญญา ด้วยอำนาจปัญญา ที่สำเร็จด้วยการฟังและการคิด ที่มีอยู่.
บทว่า อลมตฺถวิจินฺตกํ ความว่า สามารถเพื่อจะคิดค้นประโยชน์ เกื้อกูลทั้งของตนเอง ทั้งของคนอื่น. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า เป็นผู้ควรคิดค้น เนื้อความตามความต้องการ หรือสามารถกำจัดกิเลสได้ สำหรับผู้เห็นเนื้อความเป็นปกติ. พระเถระให้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เพราะว่าตนเป็นผู้มีภพเป็นครั้งสุดท้าย.
บทว่า ปญฺจ กามคุณา ได้แก่ กามคุณจำนวน ๕ ส่วน มีรูป เป็นต้น.
คำว่า โลเก เป็นคำแสดงถึงสถานที่ๆ กามเหล่านั้นเป็นไป.
บทว่า สมฺโมหา ความว่า มีสัมโมหะเป็นนิมิต (เพราะงมงาย) คือ เหตุที่ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมฺโมหา ได้แก่ เพราะงมงาย คือ เพราะทำให้งมงาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 307
บทว่า ปาตยึสุ ความว่า ให้ตกต่ำลงไป จากความเป็นปราชญ์ อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ให้เราผู้ประสงค์จะเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าสัตว์โลก ตกไปอยู่ในโลก.
บทว่า ปกฺขนฺโท ได้แก่ ตามเข้าไป.
บทว่า มารวิสเย ได้แก่ สถานที่ๆ กิเลสมารเป็นไป อธิบายว่า ไปสู่อำนาจของกิเลสมารนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ติดตามมารนั้นเข้าไป ดำรงอยู่ในอิสริยสถานของเทวบุตมาร. บทว่า ทฬฺหสลฺลสมฺมปฺปิโต ความว่า ถูกลูกศรปักไว้อย่างมั่นคง คือเหนียวแน่น อีกอย่างหนึ่ง ต้องศรที่เหนียวแน่น คือถูกลูกศร คือราคะปักถึงหัวใจ.
บทว่า อสกฺขึ มจฺจุราชสฺส อหํ ปาสา ปมุจฺจิตุํ (ข้าพเจ้า สามารถจะพ้นจากบ่วงของพญามัจจุราชได้แล้ว) ความว่า ข้าพเจ้าใช้คีม คือมรรคอันเลิศ (อรหัตตมรรค) ถอนลูกศรมีราคะเป็นต้น ขึ้นได้แล้ว ไม่มีเหลืออยู่เลย สามารถพ้นจากบ่วงของพญามัจจุราช ได้แก่ เครื่องผูกคือราคะ ได้แล้ว คือเปลื้องคนออกจากบ่วงนั้นได้แล้ว.
และควรทราบวินิจฉัย ต่อจากนั้น ไปนั่นเองว่า บทว่า สพฺเพ กามา ปหีนา เม ภวา สพฺเพ ปทาลิตา (กามทั้งหมด ข้าพเจ้าละได้แล้ว ภพทั้งหลาย ข้าพเจ้าทำลายหมดแล้ว) ความว่า กิเลสกาม ที่แตกต่างกัน ออกไปหลายประเภท โดยแยกไปตามวัตถุและอารมณ์ ข้าพเจ้าละได้ทั้งหมดแล้ว โดยการตัดขาดด้วยอริยมรรค. เพราะว่า เมื่อละกิเลสกามทั้งหลายได้แล้ว แม้วัตถุกามก็เป็นอันละได้แล้วเหมือนกัน. อนึ่ง ภพทั้งหลายมีกามภพ และ กรรมภพเป็นต้น ข้าพเจ้าทำลายคือกำจัดได้ทั้งหมดแล้ว ด้วยดาบคือมรรค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 308
เพราะว่า เมื่อทำลายกรรมภพได้แล้ว อุปปัตติภพ ก็เป็นอันทำลายได้แล้ว เหมือนกัน. เพราะทำลายกรรมภพได้อย่างนี้นั่นเอง สงสารคือชาติ (การเวียนเกิด) ได้สิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ก็ไม่มี. เนื้อความของบทนั้นได้ อธิบายไว้ในตอนหลังแล้ว. ก็นี้แหละ คือคำพยากรณ์พระอรหัตตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถาอุตตรปาลเถรคาถา