๑๕. หาริตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระหาริตเถระ
[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 319
เถรคาถา ติกนิบาต
วรรคที่ ๑
๑๕. หาริตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระหาริตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 319
๑๕. หาริตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระหาริตเถระ
[๓๒๑] ได้ยินว่า พระหาริตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน ไพล่ไปทำในภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะ อันนำมาซึ่งความสุข และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. งานใดควรทำก็พึงพูดถึงแต่งานนั้นเถิด งานใดไม่ควรทำ ก็ไม่ควรพูดถึงงานนั้น คนไม่ทำมีแต่พูด บัณฑิตทั้งหลายก็รู้ทัน. พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เป็นสุขจริงหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากธุลีคือกิเลส เป็นธรรมเกษม เป็นที่ดับทุกข์ ดังนี้.
อรรถกถาหาริตเถรคาถา
คาถาของท่านพระหาริตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โย ปุพฺเพ กรณียานิ. มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้ท่านพระหาริตเถระ นั้น เกิดแล้วในคฤหาสน์ของผู้มีสกุล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมตตระ รู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดา ปรินิพพานแล้ว เมื่อประชาชนพากันบูชาที่เชิงตะกอนของพระองค์ ได้ทำการบูชาด้วยของหอม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 320
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมา ในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาล ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า หาริตะ เจริญวัยแล้ว อาศัยความถือตัวเพราะชาติ จึงร้องเรียกคนอื่น ด้วยวาทะว่าคนถ่อย ถึงบวชแล้ว ก็ไม่เลิกละการร้องเรียกว่าคนถ่อย เพราะประพฤติมานานแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เกิดความสลดใจ เริ่มตั้งวิปัสสนากรรมฐาน ตรวจตราดูความเป็นไปแห่งจิตของตน ได้เห็นจิตถูกมานะและอุทธัจจะยึดแล้ว จึงละทิ้งมานะและอุทธัจจะ ยังวิปัสสนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตตผล. ด้วยเหตุนั้น ในอปทาน ท่านจึงได้ กล่าวไว้ว่า
เมื่อมหาชนทำเชิงตะกอน นำของหอมนานาชนิดมา ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ดีใจ ได้บูชาด้วยของหอมกำมือ ๑ ในกัปที่แสนนับถอยหลัง แต่กัปนี้ไป เพราะเหตุที่ข้าพเจ้าได้บูชาเชิงตะกอน จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาเชิงตะกอน. กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
อนึ่ง ท่านครั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเสวยวิมุตติสุข ได้พยากรณ์พระอรหัตตผล โดยการให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายโดยตรง ด้วยคาถา ๓ คาถา ว่า
ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน ไพล่ไปทำในภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะ อันนำมาซึ่งความสุข และย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. งานใดควรทำ ก็พึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 321
พูดถึงแต่งานนั้นเถิด งานใดไม่ควรทำ ก็ไม่ควรพูดถึงงานนั้น คนไม่ทำมีแต่พูด บัณฑิตทั้งหลายก็รู้ทัน. พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เป็นสุขจริงหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากธุลีคือกิเลส เป็นธรรมเกษมเป็นที่ดับทุกข์ ดังนี้.
เนื้อความของคาถาเหล่านั้น ได้กล่าวไว้ในหนหลังแล้วแล.
จบอรรถกถาหาริตเถรคาถา