พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. สภิยเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสภิยเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  19 พ.ย. 2564
หมายเลข  40594
อ่าน  384

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 11

เถรคาถา จตุกกนิบาต

๓. สภิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสภิยเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 11

๓. สภิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสภิยเถระ

[๓๒๕] พวกอื่นเว้นบัณฑิตย่อมรู้สึกว่า พวกเราที่ทะเลาะวิวาทกันนี้ จะพากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ พวกใดมารู้ชัดในท่ามกลางสงฆ์นั้นว่า พวกเราพากันไปสู่ที่ใกล้มัจจุราช ความทะเลาะวิวาท ย่อมระงับไปได้จากสำนักของพวกนั้น เมื่อใด เขาไม่รู้ธรรมอันเป็นอุบายระงับการทะเลาะวิวาทตามความเป็นจริง ประพฤติอยู่ดุจไม่แก่ ไม่ตาย เมื่อนั้น ความทะเลาะวิวาทก็ไม่สงบลงได้ ก็ชนเหล่าใดมารู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเร่าร้อนอยู่ ชนเหล่านั้นย่อมไม่เร่าร้อน ความทะเลาะวิวาทของพวกเขา ย่อมระงับไปได้โดยส่วนเดียว การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน วัตรอันเศร้าหมอง และพรหมจรรย์อันบุคคลพึงระลึกด้วยความสงสัย กรรม ๓ อย่างนั้น ย่อมไม่มีผลมาก ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากสัทธรรมเหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น.

จบสภิยเถรคาถา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 12

อรรถกถาสภิยคาถาที่ ๓

คาถาของท่านสภิยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปเร จ ดังนี้. เรื่องนั้น มีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร?

พระเถระแม้นี้ ได้สร้างบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน เมื่อสั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กกุสันธะ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาเสด็จไปเพื่อประทับอยู่พระสำราญในกลางวัน มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายรองเท้า.

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อสุวรรณเจดีย์ประดิษฐานแล้ว พร้อมด้วยกุลบุตร ๖ คน มีตนเป็นที่ ๗ บวชในพระศาสนา เรียนพระกรรมฐานอยู่ในป่า เมื่อไม่สามารถให้คุณวิเศษบังเกิดได้ จึงกล่าวกะกุลบุตรนอกนี้ว่า พวกเราเมื่อเที่ยวไปบิณฑบาต ยังมีความอาลัยในชีวิต และเพราะมีความอาลัยในชีวิต พวกเราก็ไม่สามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมได้. และการกระทำกาละอย่างปุถุชนย่อมเป็นทุกข์ เอาเถอะพวกเราจะผูกบันไดขึ้นสู่ภูเขา ไม่อาลัยในกายและชีวิต กระทำสมณธรรม. ภิกษุเหล่านั้น ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.

ลำดับนั้น พระมหาเถระได้อภิญญา ๖ ในวันนั้นนั่นเอง เพราะความที่ตนเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยธรรมอันเป็นอุปนิสัย นำบิณฑบาตจากอุตตรกุรุทวีปเข้าไปให้แก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทำกิจเสร็จแล้ว กิจเพียงเจรจาปราศรัยกับท่านเป็นการเนิ่นช้า, พวกเราจะกระทำเฉพาะสมณธรรมเท่านั้น ขอท่านจงประกอบเนืองๆ ซึ่งสุขวิหารธรรม ในธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด ดังนี้แล้วได้ห้ามบิณฑบาต.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 13

พระเถระเมื่อไม่สามารถเพื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้นรับได้จึงได้ไปแล้ว.

ลำดับนั้น โดยกาลล่วงไป ๒ - ๓ วัน บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งทำให้แจ้งพระอนาคามิผล มีอภิญญาเป็นเครื่องแวดล้อม ได้กล่าวอย่างนั้นนั่นแล ถูกภิกษุเหล่านั้นห้ามแล้วก็ได้ไป. ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น พระขีณาสพเถระปรินิพพานแล้ว. ภิกษุผู้อนาคามีเกิดในชั้นสุทธาวาส. ภิกษุนอกนั้นกระทำกาลกิริยาอย่างปุถุชนนั้นเอง เสวยทิพยสมบัติโดยอนุโลมและปฏิโลมในกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น ในกาลแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจุติจากเทวโลกแล้ว คนหนึ่งถือปฏิสนธิในมัลลราชตระกูล คนหนึ่งถือปฏิสนธิในคันธารราชตระกูล คนหนึ่งถือ ปฏิสนธิในภายนอกประเทศ, คนหนึ่งถือปฏิสนธิในท้องของนางกุลทาริกาคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์, ฝ่ายสภิยะถือปฏิสนธิในท้องของนางปริพาชิกาคนหนึ่ง.

ได้ยินว่า นางปริพาชิกานั้น เป็นธิดาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง. มารดาบิดาจึงได้มอบธิดานั้นให้แก่ปริพาชกคนหนึ่ง ด้วยพูดว่า ขอธิดาของเราจงรู้ลัทธิอื่นเถิด. ลำดับนั้น ปริพาชกคนหนึ่งปฏิบัติผิดกับนาง. นางตั้งครรภ์กับปริพาชกนั้น พวกปริพาชกเห็นนางมีครรภ์ได้ให้ออกไป. นางไปในที่อื่นคลอดบุตรในสภา (ศาลา) ในระหว่างทาง. เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้นามว่า สภิยะ นั่นเอง.

เขาเจริญวัยแล้ว บวชเป็นปริพาชก เรียนศาสตร์ต่างๆ เป็นมหาวาที (นักพูดผู้ยิ่งใหญ่) เที่ยวขวนขวายในวาทะ ไม่เห็นบุคคลผู้เสมือนกับตน จึงให้สร้างอาศรม ใกล้ประตูพระนคร ให้ขัตติยกุมารเป็นต้นศึกษาศิลปะอยู่ ถือเอาปัญหา ๒๐ ข้อ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 14

ที่มารดาของตนผู้เกลียดความเป็นหญิง ยังฌานให้เกิดขึ้นแล้ว เกิดในพรหมโลกปรุงแต่งให้ ถามสมณพราหมณ์เหล่านั้นๆ. ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่อาจพยากรณ์ปัญหาเหล่านั้นของเขาได้ แต่ในอรรถกถาสภิยสูตร มาแล้วว่า สุทธาวาสพรหมได้แต่งปัญหาเหล่านั้น.

ก็ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จมายังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ท่านสภิยะได้ไปในที่นั้น เขาไปเฝ้าพระศาสดา ถามปัญหาเหล่านั้น. พระศาสดาได้ทรงพยากรณ์ปัญหาเหล่านั้นของเขา เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมดพึงทราบโดยนัยที่มาแล้วในสภิยสูตร. ส่วนท่านสภิยะเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ปัญหาเหล่านั้นแล้ว ท่านก็ได้ศรัทธาบวชแล้ว เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวในอปทาน๑ว่า

เราได้ถวายฉลองพระบาทแด่พระพุทธเจ้า ทรงพระนาม ว่ากกุสันธะ ผู้เป็นนักปราชญ์ มีบาปอันลอยเสียแล้ว ทรงอยู่จบพรหมจรรย์ ซึ่งกำลังเสด็จดำเนินไปสู่ที่พักกลางวัน ในกัปนี้เองเราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่ได้รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายฉลองพระบาท เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระเทวทัตพยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เมื่อจะให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นฝักฝ่ายแห่งพระเทวทัต จึงแสดงธรรม ๔ คาถาเหล่านี้ว่า.


๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๔๕.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 15

พวกอื่นเว้นบัณฑิตย่อมไม่รู้สึกว่า พวกเราที่ทะเลาะวิวาทกันนี้ จะพากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ พวกใด มารู้ชัดในท่ามกลางสงฆ์นั้นว่า พวกเราพากันไปสู่ที่ใกล้ มัจจุราช ความทะเลาะวิวาท ย่อมระงับไม่ได้จากสำนักของพวกนั้น เมื่อใด เขาไม่รู้ธรรมอันเป็นอุบายระงับการทะเลาะวิวาทตามความเป็นจริง ประพฤติอยู่ดุจไม่แก่ ไม่ตาย เมื่อนั้น ความทะเลาะวิวาทก็ไม่สงบลงได้ ก็ชนเหล่าใดมารู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง เมื่อสัตว์ทั้งหลาย พากันเร่าร้อนอยู่ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เร่าร้อน ความ ทะเลาะวิวาทของพวกเขา ย่อมระงับไปได้โดยส่วนเดียว การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน วัตรอันเศร้าหมอง และพรหมจรรย์อันบุคคลพึงระลึกด้วยความสงสัย ธรรม ๓ อย่างนั้นย่อมไม่มีผลมาก ผู้ไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเร ความว่า ชนเหล่าอื่นเว้นจากบัณฑิตนั้น เป็นผู้ขวนขวายด้วยอำนาจ แสดงวัตถุอันกระทำความแตกแยก มีอาทิว่า แสดงอธรรมว่าเป็นธรรม และแสดงธรรมว่าเป็นอธรรม ชื่อว่าชนเหล่าอื่น. คนเหล่านั้นก่อวิวาทในท่ามกลางสงฆ์นั้น ย่อมไม่รู้ว่าพวกเรายุบยับ คือป่นปี้ ฉิบหาย ได้แก่ ไปยังสำนักของมัจจุราช เนืองๆ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 16

บทว่า เย จ ตฺตถ วิชานนฺติ ความว่า ในที่ประชุมนั้น บัณฑิต ย่อมรู้ว่าพวกเราไปยังที่ใกล้มัจจุราช.

บทว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ความว่า ก็ชนเหล่านั้น เมื่อรู้อย่างนั้น ยังโยนิโสมนสิการให้เกิด ย่อมปฏิบัติเพื่อความสงบ ความบาดหมางคือ ความทะเลาะ. เมื่อเช่นนั้นความบาดหมางเหล่านั้น ของชนเหล่านั้น ย่อมสงบด้วยการปฏิบัติของชนเหล่านั้น.

บทว่า อถวา ปเร จ ความว่า ชนเหล่าใด ชื่อว่า ปเร เหล่าอื่น เพราะเป็นผู้อยู่ภายนอกแต่พระศาสนา โดยไม่รับโอวาทานุสาสนีของพระศาสดา ชนเหล่านั้นย่อมไม่รู้ว่า พวกเราถือผิด ย่อมยุบยับ คือย่อมพยายาม ในการสละคืนพระศาสนาในโลกนี้ตราบใด ความวิวาทย่อมไม่สงบเพียงนั้น ก็ในกาลใดเมื่อว่าด้วยอำนาจการสละการยึดถือนั้น และชนเหล่าใดย่อมรู้ตามความเป็นจริง ว่าอธรรมเป็นอธรรม ธรรมเป็นธรรมเป็นต้น ในเมื่อชนเหล่านั้นขวนขวายในการวิวาทในท่ามกลางสงฆ์นั้น ในกาลนั้น ความหมายมั่น กล่าวคือความวิวาทย่อมสงบ เพราะอาศัยบุรุษผู้เป็นบัณฑิตเหล่านั้น จากสำนักของบัณฑิตเหล่านั้น ในข้อนี้พึงทราบความดังว่ามาฉะนี้.

บทว่า ยทา แปลว่า ในกาลใด.

บทว่า อวิชานนฺตา ความว่า เมื่อไม่รู้ในการสงบวิวาท หรือไม่รู้ ธรรมและอธรรม โดยความเป็นจริง.

บทว่า อิริยนฺตฺยมรา วิย ความว่า มีความอวดดี มีความโลเล มีปากกล้า มีวาจาพล่อยๆ เป็นผู้มีความฟุ้งซ่าน เป็นไปอยู่ คือประพฤติอยู่

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 17

ได้แก่เที่ยวไปอยู่ เหมือนชนผู้จะไม่ตาย หรือเหมือนผู้ก้าวล่วงความแก่ ความตายได้ฉะนั้น. ในกาลนั้น วิวาทไม่สงบเลย.

บทว่า วิชานนฺติ จ เย ธมฺมํ อาตุเรสุ อนาตุรา ความว่า ก็ชนเหล่าใด ย่อมรู้ตามความเป็นจริงซึ่งศาสนธรรมของพระศาสดา ชนเหล่านั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเดือดร้อนเพราะโรคคือกิเลส เป็นผู้ไม่เดือดร้อนหมดกิเลส ไม่มีทุกข์อยู่ อธิบายว่า ความวิวาทย่อมสงบโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งชนเหล่านั้น.

บทว่า ยํ กิญฺจิ สิถิลํ กมฺมํ ความว่า กุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง อันกระทำการถือเอาโดยการกระทำย่อหย่อน คือกระทำแล้วประกอบด้วยความย่อหย่อน.

บทว่า สงฺกิลิฏฺํ ได้แก่ การสมาทานวัตรอันเศร้าหมอง ด้วยการเที่ยวไปในที่อโคจรมีหญิงแพศยาเป็นต้น หรือด้วยมิจฉาชีพ มีการล่อลวง เป็นต้น.

บทว่า สงฺกสฺสรํ ความว่า พึงระลึกด้วยความรังเกียจ คือคนอื่น พึงได้ยินกรรมอันไม่สมควรอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิหารแล้ว ไม่รังเกียจว่า คนโน้นทำมิใช่หรือ หรือเห็นสงฆ์แม้ประชุมกันด้วยอำนาจกิจอย่างใด อย่างหนึ่ง มีกิจคืออุโบสถเป็นต้นแล้ว ระลึก รังเกียจ ระแวง ด้วยความระแวงของตนอย่างนี้ว่า ชนเหล่านี้รู้ความประพฤติของเราเป็นแน่ มีความประสงค์จะยกวัตรเราจึงประชุมกัน.

บทว่า น ตํ โหติ ความว่า พรหมจรรย์ คือการกระทำสมณธรรม นั้น คือเห็นปานนั้น ไม่มีผลมากแก่บุคคลนั้น คือไม่มีผลมากโดยภาวะ ไม่มีผลมากแก่บุคคลนั้นนั่นเอง ไม่มีผลมากแม้แก่บุคคลผู้ให้ปัจจัยแก่บุคคลนั้น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 18

เพราะฉะนั้นพึงเป็นผู้มีความประพฤติขัดเกลา อธิบายว่า ก็ผู้ที่มีความประพฤติขัดเกลา ก็ไม่มีโอกาสวิวาทกันเลย.

บทว่า คารโว นูปลพฺภติ ความว่า บุคคลใด ไม่มีความเคารพ คือไม่มีการกระทำความเคารพ ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้ควรเคารพ โดยไม่ยึดถืออนุสาสนีโดยเคารพ.

บทว่า อารกา โหติ สทฺธมฺมา ความว่า บุคคลนั้น คือเห็นปานนั้น ย่อมอยู่ในที่ไกลจากปฏิบัติสัทธรรมบ้าง จากปฏิเวธสัทธรรมบ้าง ก็ครูทั้งหลายย่อมไม่ให้เขาศึกษาแม้ปฏิบัติสัทธรรม และปฏิเวธสัทธรรมนั้น, เขาเมื่อไม่ศึกษา ไม่ถือเอา เขาก็ไม่ปฏิบัติ เมื่อไม่ปฏิบัติ ก็จักแทงสัจจะได้จากไหน. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมห่างไกลจากพระสัทธรรม. ถามว่า เหมือนอะไร? แก้ว่า เหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น, อธิบายว่า อยู่ในที่ไกลจากสภาวะความเป็นจริงแห่งธาตุ เหมือนฟ้าคืออากาศกับแผ่นดิน ฉะนั้น. คือไม่มีสภาวะเจือกันในกาลไหนเลย. ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง ท่านจึงกล่าวว่า

นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าฟ้ากับดินไกลกัน ฝั่งมหาสมุทรทั้งสองก็ไกลกัน ธรรมของอสัตบุรุษยังไกลกว่า นั้นนะ พระราชา ดังนี้.

จบอรรถกถาสภิยเถรคาถาที่ ๓