๕. ชัมพุกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระชัมพุกเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 25
เถรคาถา จตุกกนิบาต
๕. ชัมพุกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระชัมพุกเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 25
๕. ชัมพุกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระชัมพุกเถระ
[๓๒๗] เราเอาธุลีและฝุ่นทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ เราได้ทำบาปกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็นอันมากเช่นนั้น ถูกโอฆะใหญ่พัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่ธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
จบชัมพุกเถรคาถา
อรรถกถาชัมพุกเถรคาถาที่ ๕
คาถาแห่งท่านพระชัมพุกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปญฺจปญฺญาส ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน ก่อสร้างบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา เชื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระศาสดา ไหว้ต้นโพธิพฤกษ์แล้ว บูชาด้วยการพัดวี.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ บังเกิดในเรือนมีตระกูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 26
ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว บรรพชาในพระศาสนา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในอารามอันอุบาสกคนหนึ่งได้สร้างไว้อันอุบาสกนั้นอุปัฏฐากอยู่. ภายหลัง วันหนึ่ง พระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง ผู้ครองจีวรปอนๆ มาจากป่า บ่ายหน้าไปยังบ้านเพื่อโกนผม อุบาสกนั้นเห็นเข้าแล้ว เลื่อมใสในอิริยาบถ ให้ช่างกัลบกปลงผมและหนวด ให้บริโภคโภชนะอันประณีต ถวายจีวรดีๆ นิมนต์ให้อยู่ด้วยคำว่า ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แหละขอรับ.
ภิกษุเจ้าอาวาสเห็นดังนั้น มีความริษยา และมีความตระหนี่เป็นปกติ กล่าวกะพระเถระผู้ขีณาสพว่า ดูก่อนภิกษุ การที่ท่านเอานิ้วมือถอนผมเป็นอเจลก เลี้ยงชีพด้วยอาหารคือคูถและมูตรยังประเสริฐกว่าการอยู่ในที่นี้ด้วยอาการอย่างนี้ของผู้อันอุบาสกลามกนี้บำรุงอยู่ ดังนี้. ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เข้าไปยังเวจกุฎีในขณะนั้นนั่นเอง เอามือกอบคูถ กินและดื่มมูตรเหมือนคดข้าวปายาส ฉะนั้น. ด้วยทำนองนี้ดำรงอยู่ตลอดอายุ ทำกาละแล้วไหม้ในนรก มีคูถและมูตรเป็นอาหารอีก ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้นนั่นแล แม้เกิดในหมู่มนุษย์ได้เป็นนิครนถ์มีคูถเป็นภักษา ๕๐๐ ชาติ.
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในกำเนิดมนุษย์อีก บังเกิดในตระกูลแห่งคนทุกข์ยาก เพราะกำลังแห่งกรรมแห่งการว่าร้ายพระอริยเจ้า เขาให้ดื่มน้ำนม นมสด หรือเนยใส ก็ทิ้งสิ่งนั้นแล้ว ดื่มเฉพาะน้ำมูตรเท่านั้น เขาให้บริโภคข้าวสุกก็ทิ้งข้าวสุกนั้นแล้ว เคี้ยวกินแต่คูถเท่านั้น, เติบโตด้วยการบริโภคคูถและมูตรด้วยอาการอย่างนี้ แม้เจริญวัยแล้ว ก็บริโภคแต่คูถและมูตรเท่านั้น. พวกมนุษย์เมื่อไม่อาจจะห้ามจากการบริโภคคูถและมูตรนั้นจึงละทิ้งเสีย. เขาอันพวกญาติละทิ้งเสียแล้ว จึงบวชเป็นนักบวชเปลือย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 27
ไม่อาบน้ำ, ครองผ้าเปื้อนด้วยธุลีและฝุ่น ถอนผมและหนวด ห้ามอิริยาบถอื่น เดินด้วยเท้าเดียว ไม่ยินดีการนิมนต์ อธิษฐานวัตร คือ การอดอาหารประจำเดือน ใช้ปลายหญ้าคาตักอาหารที่ผู้ต้องการบุญให้ เลียด้วยปลายลิ้นเฉพาะกลางวันเดือนละครั้ง, ส่วนกลางคืนไม่กินคูถสด ด้วยคิดว่า มีตัวสัตว์ จึงเคี้ยวกินแต่คูถแห้งเท่านั้น เมื่อเขาทำอยู่อย่างนี้ล่วงไป ๕๕ ปี มหาชนสำคัญว่า เขาเป็นผู้มีตบะมาก มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้น้อมไป หาเขา โอนไปหาเขา.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัต รุ่งเรืองอยู่ในภายในดวงหทัยของเขา เหมือนประทีปในหม้อฉะนั้น แล้วพระองค์เสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ให้เขาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ให้เขาได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ขวนขวายวิปัสสนา ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
ในเรื่องนี้มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดาร พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาแห่งคาถาว่า มาเส มาเส กุสคฺเคน ในพระธรรมบท. ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ในเวลาปรินิพพาน เมื่อแสดงว่า แม้เราปฏิบัติผิดในชั้นต้น อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุธรรมที่พระสาวกควรบรรลุ จึงกล่าว ๔ คาถา (๑) นี้ว่า
เราเอาธุลีและฝุ่นทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชื้อเชิญ เราได้ทำบาปกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็นอันมากเช่นนั้น
๑. ขุ. เถร. ๒๖/๓๒๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 28
ถูกโอฆะพัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่ธรรมเป็นธรรม อันดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจปญฺญาสวสฺสานิ รโชชลฺลมธารยึ ความว่า มีกายทรงไว้ซึ่งธุลีกล่าวคือ ละอองอันจรมาติดอยู่ที่ร่างกาย และฝุ่นกล่าวคือมลทินแห่งร่างกาย เกิน ๕๕ ปี โดยห้ามการอาบน้ำ ด้วยการเข้าถึงการบวชเป็นคนเปลือย.
บทว่า ภุญฺชนฺโต มาสิกํ ภตฺตํ ความว่า เคี้ยวกินคูถในราตรี ชื่อว่าเป็นผู้เข้าจำหนึ่งเดือนเพื่อจะลวงโลก บริโภคโภชนะที่ผู้ต้องการบุญให้ โดยวางไว้ที่ปลายลิ้นเดือนละครั้ง.
บทว่า อโลจยึ ความว่า ใช้มือถอนผมและหนวดที่มีรากหย่อน โดยเพิ่มขี้เถ้าเช่นนั้นเข้าไป.
บทว่า เอกปาเทน อฏฺฐาสึ อาสนํ ปริวชฺชยึ ความว่า เว้นการนั่ง โดยประการทั้งปวง และเมื่อจะยืนก็ยกมือทั้งสองขึ้น ได้ยืนโดยเท้าเดียว เท่านั้น.
บทว่า อุทฺเทสํ ได้แก่ เธอเชิญ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อุทิสฺสกตํ ทำเจาะจง ดังนี้.
บทว่า น สาทิยํ ได้แก่ ไม่รับ อธิบายว่าปฏิเสธ.
บทว่า เอตาทิสํ กริตฺวาน พหุํ ทุคฺคติคามินํ ความว่า ได้กระทำบาปกรรมไว้มาก อันเป็นเหตุให้ไปทุคติ อันยังวิบากให้เกิดเช่นนั้น คือ เห็นปานนั้นให้เกิดในชาติก่อนๆ และในชาตินี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 29
บทว่า วุยฺหมาโน มโหเฆน ความว่า อันโอฆะใหญ่มีกาโมฆะ เป็นต้น เมื่อว่าโดยพิเศษอันทิฏโฐฆะ คร่ามาเฉพาะสู่สมุทรคืออบาย.
บทว่า พุทฺธํ สรณมาคมํ ความว่า ได้อัตภาพเป็นมนุษย์โดยยาก เพราะขาดบุญกรรมเช่นนั้น บัดนี้ได้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะเพราะ กำลังแห่งบุญ คือได้เลื่อมใสในพระศาสดา ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยพระองค์เอง.
บทว่า สรถเคมนํ ปสฺส, ปสฺส ธมฺมสุธมฺมตํ ความว่า ท่านจงดูสรณคมน์ของเรา อันเป็นบ่อเกิด (ที่พำนัก) และจงดูภาวะที่ศาสนธรรมเป็นธรรมดี ที่เราปฏิบัติผิดเช่นนั้น อันพระศาสดาทรงให้ถึงพร้อมซึ่งสมบัติเช่นนี้ โดยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น.
ด้วยบทว่า ติสฺโส วิชฺชา ดังนี้เป็นต้น ท่านแสดงถึงสมบัตินั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราไหว้โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าติสสะ ได้ทำธรรมาสนะและพัดสำหรับพัดในที่นั้น ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายพัดทอง ด้วยกรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลของการพัด เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
จบอรรถกถาชัมพุกเถรคาถาที่ ๕
๑. ข. อ. ๓๓/ข้อ ๔๓.