๙. จันทนเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระจันทนเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 46
เถรคาถา จตุกกนิบาต
๙. จันทนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระจันทนเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 46
๙. จันทนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระจันทนเถระ
[๓๓๑] ภรรยาผู้ปกคลุมด้วยเครื่องประดับล้วนแต่เป็นทอง ห้อมล้อมด้วยหมู่ทาสี อุ้มบุตรเข้ามาหาเรา ก็เวลาที่เราเห็นภรรยาผู้เป็นมารดาของบุตรของเรานั้นตกแต่งร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่เดินมา เป็นดุจบ่วงมัจจุราชดักไว้ ความทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ก็เกิดขึ้นแก่เรา โทษแห่งสังขารทั้งหลาย ก็เกิดปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งมั่น ลำดับนั้น จิตของเราหลุดพ้นแล้วจากกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
จบจันทนเถรคาถา
อรรถกถาจันทนเถรคาถาที่ ๙
คาถาของท่านพระจันทนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ชาตรูเปน ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อโลกว่างพระพุทธเจ้า บังเกิดเป็นรุกขเทวดา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุทัสสนะ อยู่ในระหว่างภูเขา มีจิตเลื่อมใส ได้กระทำการบูชาด้วยดอกอัญชันเขียว.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 47
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในเรือนมีตระกูลเพียบพร้อมด้วยสมบัติ ในกรุงสาวัตถี มีนามว่าจันทนะ เจริญวัยแล้ว อยู่ครองเรือน ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ได้เป็นพระโสดาบัน.
ท่านได้บุตรคนหนึ่ง ละฆราวาส บวชเรียนวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่า มายังกรุงสาวัตถีเพื่อถวายบังคมพระศาสดา อยู่ในป่าช้า, ภรรยาเก่า ทราบว่าท่านมาแล้ว จึงประดับตกแต่งพาเด็กพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ไปยังสำนักของพระเถระด้วยคิดว่า เราจะประเล้าประโลมให้ท่านสึกด้วยมายาหญิง เป็นต้น. พระเถระเห็นหญิงนั้นกำลังเดินมาแต่ที่ไกล คิดว่า บัดนี้ เราจักไม่ใช่เป็นวิสัยของนาง จึงบำเพ็ญวิปัสสนาตามที่เริ่มไว้ ได้มี อภิญญา ๖ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอุปทาน ๑ ว่า
ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่ออัจจละ พระพุทธเจ้า (๒) พระนามว่าสุทัสสนะ ประทับอยู่ที่ซอกเขา เราถือดอกไม้ที่เกิดในป่าหิมพานต์ เหาะขึ้นอากาศ ณ ที่ นั้น เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ข้ามพ้นโอฆะ ไม่มีอาสวะ ครั้งนั้น เราถือเอาดอกอัญชันเขียว จบเหนือเศียรเกล้าแล้ว บูชาแด่พระสยัมภูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาประโยชน์ใหญ่ ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้เอาดอกไม้ใดบูชาด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ท่านได้อภิญญาแล้ว ยืนอยู่บนอากาศแสดงธรรมแก่นาง
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๐๗. ๒.อรรถกถาว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 48
ให้นางตั้งอยู่ในสรณะและศีลแล้ว ตนเองไปยังที่ๆ ตนเคยอยู่ในกาลก่อน. ถูกภิกษุผู้เป็นสหายถามว่า อาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสนักแล ท่านแทงตลอดสัจจะได้แล้วกระมัง เมื่อจะแสดงประวัติของตน จึงพยากรณ์พระอรหัตตผลด้วยคาถา (๑) นี้ว่า
ภรรยาผู้ปกคลุมด้วยเครื่องประดับล้วนแต่เป็นทอง ห้อมล้อมด้วยหมู่ทาสี อุ้มบุตรเข้ามาหาเรา ก็เวลาที่เราเห็นภรรยาผู้เป็นมารดาของบุตรของเรานั้นตกแต่งร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่เดินมา เป็นดุจบ่วงมัจจุราชดักไว้ ความทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ก็เกิดขึ้นแก่เรา โทษแห่งสังขารทั้งหลาย ก็เกิดปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งมั่น ลำดับนั้น จิตของเราหลุดพ้นแล้วจากิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมดีเลิศ วิชชา๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตรูเปน สญฺฉนฺนํ ความว่า มีร่างกาย อันเครื่องประดับมีเครื่องประดับศีรษะเป็นต้น อันล้วนแล้วด้วยทองคำปกคลุมไว้ โดยเป็นเครื่องประดับ, อธิบายว่า ประดับด้วย อาภรณ์ทั้งปวง.
บทว่า ทาสีคณปุรกฺขตา ความว่า การทำไว้ข้างหน้า คือแวดล้อมไปด้วยหมู่ทาสีของตนที่ประดับตกแต่งแล้วตามสมควร.
บทว่า องฺเกน ปุตฺตมาทาย ความว่า อุ้มบุตรตนด้วยคิดว่า บุตรนี้พึงมีความสำราญเพราะอาศัยเรือน เพราะอาศัยเราบ้าง.
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๓๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 49
บทว่า อายนฺตึ แปลว่า กำลังเดินมา.
บทว่า สกปุตฺตสฺส มาตรํ ได้แก่ หญิงผู้ให้บุตรคือโอรสของเราเกิด. อธิบายว่า ภรรยาเก่าของเรา. พระเถระสำคัญการตัดกามราคะของตนทั้งหมดนี้ จึงได้กล่าวไว้มาก.
บทว่า โยนิโส อุทปชฺชถ ความว่า การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า สมบัติชื่อแม้เห็นปานนี้ ถูกชรา พยาธิและมรณะครอบงำ โอ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นที่ไว้วางใจ. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถาจันทนเถรคาถาที่ ๙