พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. ธัมมิกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระธัมมิกเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  19 พ.ย. 2564
หมายเลข  40601
อ่าน  442

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 50

เถรคาถา จตุกกนิบาต

๑๐. ธัมมิกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระธัมมิกเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 50

๑๐. ธัมมิกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระธัมมิกเถระ

[๓๓๒] ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึงสุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการให้โอวาทที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้อย่างนี้ ควรทำความพอใจในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของพระตถาคตผู้ประเสริฐเป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วในธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตนให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่ายคือตัณหาได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลอีก เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญปราศจากโทษ ฉะนั้น.

จบธัมมิกเถรคาถา

อรรถกถาธัมมิกเถรคาถาที่ ๑๐

คาถาของท่านพระธัมมิกเถระมีคำเริ่มต้นว่า ธมฺโม หเว ดังนี้. เรื่องนั้น มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 51

สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี เป็นนายพรานเนื้อ วันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เทพบริษัทในราวป่า ยึดเอานิมิตแห่งเทศนาว่า ธรรมนั้นพระองค์ตรัส ดังนี้.

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในโกศลรัฐ ได้นามว่า ธัมมิกะ เจริญวัยแล้ว ได้ความเลื่อมใสในการรับพระเชตวันมหาวิหาร บวชแล้ว เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นผู้เพ่งโทษในวัตรและมิใช่วัตรของภิกษุทั้งหลายผู้อาคันตุกะ อดทนไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันละทิ้งวิหารนั้นหลีกไป, ท่านได้อยู่แต่ผู้เดียว อุบาสกผู้เป็นเจ้าของวิหาร ฟังเหตุนั้นแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามความนั้น เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นผู้ไม่อดทนแต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนเธอก็เป็นผู้ไม่อดทน อันภิกษุ ทั้งหลายทูลวิงวอนแล้ว จึงแสดงรุกขธรรม (๑) เมื่อจะทรงประทานโอวาท แก่เธอยิ่งๆ ขึ้นไป จึงตรัส ๔ คาถา (๒) ว่า

ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรม อันบุคคลผู้ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำไปสู่สุคติ เพราะฉะนั้นแหละ บุคคลเมื่อบันเทิงอยู่ด้วยการให้โอวาท


๑. รุกขธรรมชาดก. ๒. ขุ. เถร. ๖๒/๓๓๒.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 52

ที่พระตถาคตผู้คงที่ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ ควรทำความพอใจในธรรมทั้งหลาย เพราะพระสาวกทั้งหลายของพระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ ตั้งอยู่แล้วในธรรม นับถือธรรมว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด ย่อมนำตนให้พ้น จากทุกข์ได้ ผู้ใดกำจัดรากเหง้าแห่งหัวฝี ถอนข่ายคือ ตัณหาได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้สิ้นสงสาร ไม่มีกิเลสเครื่อง กังวลอีก เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ ปราศจากโทษ ฉะนั้น.

บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สุจริตธรรมทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ.

บทว่า รกฺขติ ความว่า ย่อมรักษาจากอบายทุกข์ และรักษาไว้ จากสังสารทุกข์ เป็นผู้มีพระนิพพานเป็นที่อาศัย.

บทว่า ธมฺมจารึ ได้แก่ ผู้ประพฤติคือปฏิบัติธรรมนั้น.

บทว่า สุจิณฺโณ ความว่า ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว คือ เชื่อกรรมและผลแห่งกรรม กระทำความยำเกรงโดยความเคารพสั่งสมไว้.

บทว่า สุขํ ได้แก่ ความสุขทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ. ใน ๒ อย่างนั้น อันดับแรก โลกิยะ. ได้แก่ธรรมต่างด้วยกามาวจรธรรมเป็นต้น ย่อมนำคือให้สำเร็จเป็นความสุขตามที่เป็นของตน ในปัจจุบัน ในการอุบัติ หรือในปริยายอื่นอีก. ส่วนโลกุตรสุขควรจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานประพฤติแล้ว เพราะผู้ไม่มีธรรมอันเป็นอุปนิสัยก็ไม่มีพระนิพพาน. บทว่า เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ความว่า ธรรมจารีบุคคลเมื่อประพฤติธรรมดีแล้ว ย่อมไม่ไปทุคติ อันมีการประพฤติธรรมดีนั้นเป็นเหตุ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 53

เพราะเหตุนั้น ธรรมเมื่อบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมมีอานิสงส์เป็นกำไร.

เพราะเหตุที่การไปสู่สุคติก็เพราะธรรมนั่นแหละ และการไปสู่ทุคติ ก็เพราะอธรรมนั่นแหละ ฉะนั้นเพื่อจะแสดงว่า สภาวะ ๒ เหล่านี้คือ ธรรมและอธรรม มีผลไม่ระคนกันและกัน จึงตรัสคาถาที่ ๒ โดยนัยมี อาทิว่า น หิ ธมฺโน ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธมฺโม ได้แก่ ทุจริตอันเป็นปฎิปักษ์ต่อธรรม. บทว่า สมวิปากิโน ได้แก่ มี วิบากเสมอกัน คือมีผลเสมอกัน.

บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะธรรมและอธรรม มีวิบากต่างกัน ตามที่กล่าวแล้วนี้.

บทว่า ฉนฺทํ ได้แก่ มีความพอใจในความเป็นผู้ใคร่จะทำ.

บทว่า อิติ โมทมาโน สุคเตน ตาทินา ประกอบความว่า เมื่อบุคคลบันเทิง คือถึงความยินดีด้วยการให้โอวาท ที่พระตถาคตผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้ปฏิบัติชอบแล้ว เป็นผู้คงที่ คือเป็นเหตุในการถึงความเป็นผู้คงที่ มีประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ พึงทำความพอใจ ในธรรมทั้งหลาย.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะด้วยอันดับคำมีประมาณ เท่านี้ บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงพระนิพพาน จึงตรัสคำมีอาทิว่า ธมฺเม ิตา ตั้งอยู่แล้วในธรรม. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า เพราะเหตุที่พระสาวกของพระสุคตผู้ประเสริฐ และในบรรดาพระสุคตผู้ประเสริฐ แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ถึงสรณะอันเลิศอย่างยิ่ง ย่อมนำออก

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 54

คือย่อมออกจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้น โดยภาวะเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม กล่าวคือ สรณคมน์นั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล พึงกระทำฉันทะในธรรมทั้งหลาย.

เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรมด้วย ๓ คาถาเหล่านี้อย่างนี้ นั่งอยู่ อย่างไรเทียว โดยกระแสแห่งเทศนาเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน (๑) ว่า

เมื่อก่อน เราเป็นพรานเนื้อเที่ยวอยู่ในไพรวันอันสงัดเงียบ ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลี อันหมู่เทวดาห้อมล้อม กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ทรงแสดง อมตบท เราได้สดับธรรมอันไพเราะของพระพุทธเจ้า ผู้เผ่าพันธุ์ของโลกพระนามว่าสิขี เรามีจิตเลื่อมใสในพระสุรเสียง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ท่าน ผู้ไม่มี บุคคลเปรียบเสมอเหมือนแล้ว ข้ามพ้นภพที่ข้ามได้ยาก ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในเสียง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ท่านดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตโดยประการนั้น. ก็แล ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะกราบทูลคุณวิเศษที่ตนบรรลุแด่พระศาสดา จึงได้พยากรณ์พระอรหัตตผลด้วยคาถาสุดท้าย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปฺโผฏิโต แปลว่า กำจัดแล้ว อธิบาย ว่า สลัดออกด้วยมรรคญาณ.


๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๐๘.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 55

บทว่า คณฺฑมูโล ได้แก่ อวิชชา. จริงอยู่ อวิชชานั้นย่อมไหล คือซ่านไป? ดูก่อนภิกษุ บทว่า คณฺโฑ แล เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ รวมความว่าเป็นมูล คือเป็นเหตุแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่า คัณฑะ หัวฝี เพราะประกอบด้วยมูลแห่งทุกข์ เพราะเป็นที่ไหลออกของสิ่งอันไม่สะอาด คือกิเลส เพราะเกิดขึ้น แก่ แตกดับ และพองขึ้น สุก แตกไป.

บทว่า ตณฺหาชาโล สมูหโต ความว่า ข่ายกล่าวคือตัณหา อันถอนได้แล้วด้วยมรรค.

บทว่า โส ขีณสํสาโร น จตฺถิ กิญฺจนํ ความว่า เรานั้นชื่อว่า เป็นผู้สิ้นสงสารแล้ว เพราะเราละตัณหาและอวิชชาได้แล้วอย่างนี้ เพราะเราละมูลแห่งภพได้แล้วนั่นแล กิเลสเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้น จึงไม่มีและเกิดขึ้นไม่ได้.บทว่า จนฺโท ยถา โทสินา ปุณฺณมาสิยํ ความว่า พระจันทร์ ปราศจากโทษมีเมฆและหมอกเป็นต้น ในเวลาพระจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากกิเลสเครื่องกังวลมีราคะ เป็นต้น เพราะบรรลุพระอรหัต ได้เป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมอันบริบูรณ์ ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาธัมมิกเถรคาถาที่ ๑๐