๖. นทีกัสสปเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระนทีกัสสปเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 96
เถรคาถา ปัญจกนิบาต
๖. นทีกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระนทีกัสสปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 96
๖. นทีกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระนทีกัสสปเถระ
[๓๔๐] พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประโยชน์แก่เราหนอ เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้บูชายัญสูงๆ ต่ำๆ และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลงไปด้วยการเชื่อถือ เป็นคนตาบอดไม่รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่าเป็นความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงหมดแล้ว เราบูชาไฟ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ เราทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
จบนทีกัสสปเถรคาถา
อรรถกถานทีกัสสปเถรคาถาที่ ๖
คาถาของท่านพระนทีกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อตฺถาย วต เม ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสสัยแห่งพระนิพพาน ในภพนั้นๆ ในกาลแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 97
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความ เป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระศาสดากำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ มีจิตเลื่อมใสได้ถวายผลมะม่วงผลหนึ่ง มีสีเหมือนมโนศิลา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกของต้นมะม่วงที่ตนปลูกไว้.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นน้องชายของอุรุเวลกัสสปะ ในตระกูลพราหมณ์ ในมคธรัฐ เจริญวัยแล้ว ไม่ปรารถนาการอยู่ครองเรือน เพราะมีอัธยาศัยในการสลัดออก จึงบวชเป็นดาบส พร้อมด้วยดาบส ๓๐๐ คน สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. จริงอยู่ เพราะท่านอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ และเพราะท่านเป็นกัสสปโคตร ท่านจึงได้นามว่า นทีกสัสปะ, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานอุปสมบทแก่ท่านพร้อมด้วยบริวาร โดยเอหิภิกษุภาวะ เรื่องทั้งหมดมาแล้วในขันธกะนั่นแล. ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตตปริยายสูตร. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน (๑) ว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระเชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ ผู้ทรงยศอันสูงสุด กำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ข้าพระองค์มีใจเลื่อมใส ได้ถือเอาผลชมพู่อย่างดีมาถวายแด่พระศาสดา ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นนักปราชญ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์ จงเป็นผู้ละความชนะและความแพ้แล้ว ได้ถึงฐานะที่ไม่หวั่นไหว ในแสนกัปแต่กัปนี้ ข้าพระองค์ได้ถวายทาน
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๓๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 98
ใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้นข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้อย่างดีเป็นทาน ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ...พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ภายหลังพิจารณาการปฏิบัติของตน เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล โดยระบุการถอนทิฏฐิขึ้นเป็นประธาน จึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถา (๑) เหล่านี้ว่า
พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประโยชน์แก่เราหนอ เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็นปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้บูชายัญสูงๆ ต่ำๆ และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลงไปด้วยการ เชื่อถือ เป็นคนตาบอดไม่รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่า เป็นความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงหมดแล้ว เราบูชาไฟ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอนมัสการพระตถาคต ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเราทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถาย วต เม ความว่า เพื่อประโยชน์ คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เราหนอ.
บทว่า พุทฺโธ ได้แก่ พระสัพพัญูพุทธเจ้า.
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 99
บทว่า นทึ เนรญฺชรํ อคา ความว่า ได้ไปสู่แม่น้ำชื่อว่าเนรัญชรา. อธิบายว่า ไปสู่อาศรมของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของเรา ใกล้ฝั่งแห่งแม่น้ำนั้น.
บัดนี้ เพื่อจะไขความตามที่กล่าวแล้วจึงกล่าวว่า ยสฺสาหํ ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า ยสฺส ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด.
บทว่า ธมฺมํ สุตฺวา ความว่า ฟังธรรมอันเกี่ยวด้วยสัจจะ ๔ คือ ได้รับฟังตามกระแสแห่งโสตทวาร.
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺึ วิวชฺชยึ ความว่า ละซึ่งการเห็นผิดตรงกันข้าม (ผิดแผก) อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีด้วยยัญเป็นต้น
เพื่อจะแสดงให้พิสดาร ซึ่งความที่กล่าวด้วยบทว่า มิจฺฉาทิฏฺึ วิวชฺชยึ นี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยชึ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยชึ อุจฺจาวเจยญฺเญ ความว่า บูชายัญ ที่ปรากฏ คือยัญต่างๆ มีการบวงสรวงพระจันทร์ และการบูชาด้วย ข้าวตอกและน้ำที่ควรดื่มเป็นต้น.
บทว่า อคฺคิหุตฺตํ ชุหึ อหํ ความว่า เมื่อรับวัตถุที่เขานำมาบูชา ด้วยอำนาจการบูชายัญเหล่านั้น จึงบำเรอไฟ.
บทว่า เอสา สุทฺธีติ มญฺญนฺโต ความว่า สำคัญอยู่ว่า ยัญกิริยา คือการบำเรอไฟนี้ เป็นการบริสุทธิ์โดยความเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ คือเป็น การหมดจดจากสงสารย่อมมีแก่เราด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า อนฺธภูโต ปุถุชฺชโน ความว่า ชื่อว่าเป็นปุถุชนคนบอด เพราะบกพร่องทางจักขุคือปัญญา ได้แก่ เพราะไม่มีปัญญาจักษุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 100
การยึดถือคือทิฏฐิ ชื่อว่า ทิฏฐิคหนะ เพราะอรรถว่าล่วงได้โดยยาก เหมือนพงหญ้าและชัฏภูเขาเป็นต้นฉะนั้น แล่นไป คือเข้าไปสู่รกชัฏคือทิฏฐินั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิคหนปักขันทะ แล่นไปสู่ชัฏคือทิฏฐิ.
บทว่า ปรามาเสน ความว่า ด้วยการก้าวล่วงสภาวะแห่งธรรมเสีย ยึดถือผิด กล่าวคือ การยึดถือโดยยึดถือว่า นี้เท่านั้นจริง.
บทว่า โมหิโต ความว่า ให้ถึงความเป็นผู้หลงงมงาย.
บทว่า อสุทฺธึ มญฺญิสํ สุทฺธึ ความว่า สำคัญคือเข้าใจหนทาง อันไม่บริสุทธิ์ ว่าทางบริสุทธิ์ ดังนี้.
ท่านกล่าวเหตุในข้อนั้นว่า เป็นคนบอด คือคนไม่รู้. เป็นคนบอด เพราะอวิชชาใด คือไม่รู้ธรรมและอธรรม และสิ่งที่ควรและไม่ควรนั้น นั่นแล ฉะนั้น จึงสำคัญอย่างนั้น.
บทว่า มิจฺฉาทิฎฺฐิ ปหีนา เม ความว่า เมื่อเราฟังธรรมกถา คือ สัจจะ ๔ ในที่พร้อมพระพักตร์พระศาสดาผู้เป็นอย่างนั้น ปฏิบัติอยู่โดยอุบายอันแยบคาย เป็นอันละมิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมด ด้วยสัมมาทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยอริยมรรค โดยสมุจเฉทปหาน.
บทว่า ภวา ความว่า ภพทั้งปวงมีกามภพเป็นต้น เราทำลายเสียแล้ว คือกำจัดเสียแล้วด้วยศัสตรา คืออริยมรรค.
บทว่า ชุหามิ ทกฺขิเณยฺยคฺคึ ความว่า เราละไฟ มีไฟอันบุคคลพึงนำมาบูชาเป็นต้น แล้วบูชาคือบำเรอไฟคือพระทักขิไณย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงเป็นพระทักขิไณยบุคคลของโลกพร้อมทั้งเทวโลก และเพราะเผาบาปทั้งปวง การบำเรอไฟคือพระทักขิไณยของเรานี้นั้น มิได้มุ่งถึงวัตถุมีนมส้ม เนยข้น เปรียง และเนยใสเป็นต้น เป็นการนมัสการพระศาสดาเท่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 101
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นมสฺสามิ ตถาคตํ เราขอนมัสการพระตถาคต ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ชุหามิ ทกฺขิเณยฺยคฺคึ ความว่า ย่อมบูชา คือบำเรอตน อันเป็นทักขิเณยยัคคิ ด้วยการกระทำทักขิณาของทายกให้มีผลมาก และด้วยการเผาบาป. ย่อมบำเรอด้วยประการนั้นๆ คือจะนมัสการเทวดาคือไฟ แต่บัดนี้เราจะนมัสการพระตถาคต.
บทว่า โมหา สพฺเพ ปหีนา เม ความว่า โมหะทั้งปวงต่างด้วยความไม่รู้ในทุกข์เป็นต้น เราละได้แล้ว คือตัดขาดแล้ว เพราะเหตุ นั้นนั่นแล เราจึงชื่อว่า ทำลายภวตัณหาได้แล้ว.
เม ศัพท์ พึงนำมาประกอบเข้าในบททั้ง ๓ ว่าชาติสงสารของเราสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ของเราไม่มี ดังนี้แล.
จบอรรถกถานทีกัสสปเถรคาถาที่ ๖