พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๑. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40614
อ่าน  372

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 130

เถรคาถา ปัญจกนิบาต

๑๑. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 130

๑๑. โสณกุฏีกัณณเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโสณกุฏีกัณณเถระ

[๓๔๕] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มีอาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยาทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน.

จบโสณกุฏิกัณณเถรคาถา

อรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ ๑๑

คาถาของท่านพระโสณกุฏิกัณณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุปสมฺปทา จ เม ลทฺธา ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 131

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ เป็นเศรษฐีสมบูรณ์ด้วยสมบัติในหังสวดีนคร ดำรงอยู่ด้วยอิสรสมบัติอันโอฬาร วันหนึ่งเห็นพระศาสดาแวดล้อมไปด้วยพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ เสด็จเข้าไปสู่นครด้วยพุทธานุภาพใหญ่ ด้วยพุทธลีลาใหญ่ มีจิตเลื่อมใส ถวายบังคมแล้วได้ยืนประคองอัญชลีอยู่ ในปัจฉาภัต ท่านพร้อมด้วยอุบาสกทั้งหลาย ไปยังวิหาร ฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศ แห่งภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงได้ถวายมหาทาน ได้ตั้งความปรารถนาไว้. พระศาสดาทรงทราบความที่ความปรารถนาของท่านไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตเธอจักได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม.

ท่านบำเพ็ญบุญในนครนั้นตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี บวชในศาสนา บำเพ็ญวัตรปฏิวัตรให้บริบูรณ์ ได้เย็บจีวรถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้าอีก เป็นช่างหูกในกรุงสาวัตถี ได้ต่อคันกลดที่ขาดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง, ท่านได้บำเพ็ญบุญในภพนั้นๆ ด้วยอาการอย่างนี้ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติมาก ในกุลฆรนคร (๑) ในอวันตีรัฐ พวกญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า โสณะ. เพราะท่านทรงเครื่องประดับหูมีราคาโกฏิ เมื่อควรจะเรียกว่าโกฏิกัณณะ กลับปรากฏชื่อว่า กุฏิกัณณะ.


๑. บาลีเป็น กุรรฆร.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 132

ท่านเจริญโดยลำดับ เก็บรวบรวมทรัพย์ เมื่อท่านพระมหากัจจายนะ อาศัยเรือนมีตระกูลอยู่ในปวัตตบรรพต ฟังธรรมในสำนักของท่าน ตั้งอยู่ ในสรณะและศีล อุปัฏฐากท่านด้วยปัจจัย ๔.

ครั้นจำเนียรกาลนานมา ท่านเกิดความสังเวช บรรพชาในสำนักของพระเถระ ให้ประชุมสงฆ์ทสวรรคได้โดยาก โดยฝืดเคือง อุปสมบท แล้วอยู่ในสำนักพระเถระสิ้นกาลเล็กน้อย ลาพระเถระเข้าไปยังกรุงสาวัตถี เพื่อถวายบังคมพระศาสดา ได้อยู่ในคันธกุฎีเดียวกันกับพระศาสดา ถูกพระองค์เชื้อเชิญในเวลาใกล้รุ่ง ในที่สุดแห่งคาถาอุทานว่า เห็นโทษในโลกดังนี้ ที่พระองค์ให้สาธุการกล่าวไว้ ด้วยการกล่าวพระสูตร ๑๖ สูตร ในอัฏฐกวรรค (๑) แล้ว เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน (๒) ว่า

ครั้งนั้น พระพิชิตมารผู้สมควรรับเครื่องบูชา พระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จเข้าไปยังพระนคร พร้อมทั้ง ภิกษุสงฆ์ผู้มีอินทรีย์อันสำรวมแล้วแสนรูป ขณะนั้น ได้มีเสียงสนั่นก้องไพเราะ รับเสด็จพระพุทธเจ้าผู้สงบระงับ ผู้คงที่ ซึ่งกำลังเสด็จเข้าพระนคร โดยทางรถด้วยพุทธานุภาพ พิณที่ไม่ถูกทำเพลง ไม่ถูกเคาะ ก็บรรเลงขึ้นได้เอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่บุรี เรานมัสการพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นพระมหามุนี และเห็นปาฏิหาริย์แล้ว ได้ยังจิตให้เลื่อมใส ในปาฏิหาริย์นั้น โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม


๑. ข. สุ. ๒๕/อัฏฐกวรรคที่ ๔ มี ๑๖ สูตร ตั้งแต่ข้อ ๔๐๘ ถึงข้อ ๔๒๓. ๒. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๒๓.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 133

โอ สมบัติแห่งพระศาสดาของเรา ดนตรีถึงไม่มีเจตนาก็ยังบรรเลงได้เองเทียว ในกัปที่แสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ท่านดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ขอพร ๕ ประการ คือ การอุปสมบทด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ ๕ ในชนบทปลายแดน โดยทำนองที่พระอุปัชฌาย์ของท่านได้บอกไว้ การอยู่ประจำ การลาดแผ่นหนัง การสวมรองเท้าเป็นชั้นๆ การไม่อยู่ปราศจากจีวร ได้พรเหล่านั้น จากพระศาสดาแล้ว ไปยังที่ตนอยู่อีก บอกความนั้นแก่พระอุปัชฌาย์ ในเรื่องนี้มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่มาแล้วในอรรถกถา. แต่ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า ท่านได้อุปสมบทแล้ว เรียนพระกรรมฐานในสำนักพระอุปัชฌาย์ของตน เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต.

ครั้นกาลต่อมา ท่านอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่วิมุตติ พิจารณาข้อปฏิบัติของตน เกิดโสมนัส ได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ด้วยอำนาจอุทาน (๑) ว่า

เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มีอาสวะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดาผู้ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่


๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๔๕.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 134

ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร เมื่อนั้นพระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา ทรงละความขลาดกลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำ ภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรมในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะ กำหนดรู้เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ พึงได้บรรลุความสงบอย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสมฺปทา ต เม ลทฺธา ความว่า อุปสัมปทานั้นใด ที่ตนประชุมภิกษุสงฆ์ทสวรรคได้โดยยาก ก็แลอุปสัมปทาใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตด้วยคณะ มีพระวินัยธรเป็นที่ ๕ ในชนบทปลายแดนทั้งหมด ด้วยอำนาจการประทานพร, กล่าวหมายเอาอุปสัมปทาทั้งสองนั้น. ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ. ด้วย ศัพท์นั้น ท่านสงเคราะห์เอาพรที่ได้จากสำนักพระศาสดา แม้นอกนี้.

บทว่า วิมุตฺโต จมฺหิ อนาสโว ความว่า และเราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว ด้วยการหลุดพ้นจากวัตถุคือกิเลสทั้งสิ้น ด้วยอรหัตตมรรค. ประกอบ ความว่า เราเป็นผู้ไม่มีอาสวะด้วยกามาสวะเป็นต้นนั้นนั่นแล.

บทว่า โส จ เม ภควา ทิฏฺโ ความว่า เราจากรัฐอวันตีไปยังกรุงสาวัตถี เพื่อประโยชน์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าใด ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ที่เราไม่เคยเห็น เราได้เห็นแล้ว.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 135

บทว่า วิหาเร จ สหาวสึ ความว่า เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ โดยที่แท้เราได้อยู่ร่วมกับพระศาสดาผู้กำหนดเหตุการณ์ ประทับอยู่ในพระคันธกุฎีของพระศาสดาในวิหาร. อาจารย์ บางพวกกล่าวว่า บทว่า วิหาเร แปลว่า ในที่ใกล้วิหาร.

บทว่า พหุเทว รตฺตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยับยั้ง ในโอกาสกลางแจ้ง ตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว ด้วยการแสดงธรรม แก่ภิกษุทั้งหลาย และด้วยการชำระพระกรรมฐานให้หมดจดตลอดปฐมยาม และด้วยอำนาจตัดความสงสัย ของเทวดาและพรหมตลอดมัชฌิมยาม.

บทว่า วิหารกุสโล ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในทิพยวิหาร พรหมวิหาร อาเนญชวิหารและอริยวิหาร.

บทว่า วิหารํ ปาวิสิ ความว่า เข้าไปสู่พระคันธกุฎี เพื่อบรรเทา ความกระวนกระวายที่เกิดขึ้น เพราะการนั่งและการจงกรมเกินเวลา.

บทว่า สนฺถริตฺวาน สงฺฆาฏึ เสยฺยํ กปฺเปติ ความว่า ปูลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วทรงสำเร็จสีหไสยา. ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวว่า พระโคดมเป็นประดุจสีหะในถ้ำศิลา เป็นผู้ละความขลาดกลัวเสียได้.

พระเถระระบุพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระโคตรว่า โคตมะ ใน พระคาถานั้น. บทว่า สีโห เสลคุหายํว ได้แก่ ในถ้ำแห่งภูเขาอันล้วนแล้วแต่หิน สีหมิคราชละความขลาดกลัวเสียได้ เพราะเป็นสัตว์มีเดชสูง สำเร็จการนอนเหลื่อมเท้าโดยข้างขวา ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคดม ก็ฉันนั้น เป็นผู้ละความขลาดกลัว เพราะตัดกิเลสอันเป็นเหตุให้หวาดเสียว ขนพอง สยอง สะดุ้งแห่งจิต ทรงสำเร็จสีหไสยา.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 136

บทว่า ตโต แปลว่า ในภายหลัง, อธิบายว่า สำเร็จสีหไสยาแล้ว ลุกขึ้นจากที่นั้น ถูกพระศาสดาเชิญว่า ภิกษุ พระธรรมจงแจ่มแจ้งกะเธอ เพื่อจะกล่าว.

บทว่า กลฺยาณวากฺกรโณ แปลว่า ผู้กล่าววาจาอันไพเราะ อธิบาย ว่า ลำดับแห่งถ้อยคำเพียบพร้อมด้วยความงาม.

บทว่า โสโณ อภาสิ สทฺธมฺมํ ความว่า ท่านโสณกุฏิกัณณะ ได้กล่าวพระสูตรในอัฏฐกวรรค ๑๖ สูตร โดยประจักษ์ เฉพาะพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุนั้นพระเถระจึงกล่าว สอนตนนั่นแหละเหมือนผู้อื่น.

บทว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ปริญฺญาย ความว่า กำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ ด้วยปริญญาทั้ง ๓ แล้ว เมื่อกำหนดรู้อุปาทานขันธ์ ๕ นั่นแหละ ทำ หนทางคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เกิดแล้ว บรรลุความสงบอย่างยิ่ง คือ พระนิพพานดำรงอยู่ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จากนั้นนั่นแหละ จักปรินิพพาน ณ บัดนี้ คือจักปรินิพพานด้วยอำนาจอนุปาทิเสสนิพพาน ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ ๑๑