๑. อุรุเวลกัสสปเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 144
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑. อุรุเวลกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 144
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑. อุรุเวลกัสสปเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ
[๓๔๗] เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดมผู้เรืองยศเพียงใด เราก็ยังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ ไม่นอบน้อมเพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา ลำดับนั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ ขนลุกชูชัน ความสำเร็จอันเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฎิลเคยมีอยู่ในก่อน เราได้สละความสำเร็จอันนั้นแล้ว บวชในศาสนาของพระชินเจ้า เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลังเราถอนราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว เรารู้ขันธปัญจกอันอาศัยอยู่ในกาลก่อน ชำระทิพยจักษุหมดจด เป็นผู้มีฤทธิ์ รู้จิตของผู้อื่น และบรรลุทิพโสต อนึ่ง เราออกบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว ความสิ้นไป แห่งสังโยชน์ทั้งปวงเราได้บรรลุแล้ว.
จบอุรุเวลกัสสปเถรคาถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 145
อรรถกถาฉักกนิบาต
อรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ ๑
ใน ฉักกนิบาต คาถาของ ท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้น ว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ เรายังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร.
แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีบุญญาธิการ อันได้กระทำไว้ในพระพุทธเจ้า ในปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ได้บังเกิดในเรือนของตระกูล ถึงความเจริญวัย ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง บริษัทใหญ่ แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น จึงได้ถวายมหาทานแล้ว กระทำความปรารถนาไว้.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่าความปรารถนาของเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่าในอนาคตกาล เขาจักเป็นเลิศแห่งบริษัทหมู่ใหญ่ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า.
เขากระทำบุญในชาตินั้นจนตลอดอายุ จุติจากชาตินั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในที่สุด ๙๒ กัปแต่ภัทรกัปนี้ บังเกิดเป็นน้องชายต่างมารดากันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปุสสะ เขามีน้องชายแม้อื่นอีก ๒ คน พี่น้องแม้ทั้ง ๓ คนนั้น บูชาพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยการบูชาอย่างยิ่ง กระทำกุศลตลอดชั่วอายุ ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายจะอุบัติ (เขา) เกิดเป็นพี่น้องชายกันโดยลำดับ ในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี แม้ทั้ง ๓ คนก็มีนามว่ากัสสปทั้งนั้นเนื่องด้วยโคตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 146
พี่น้องทั้ง ๓ นั้นเติบโตแล้วก็เล่าเรียนไตรเพท. บรรดาพี่น้องชาย ทั้ง ๓ นั้น พี่ชายคนโตมีมาณพเป็นบริวาร ๕๐๐ คนกลาง ๓๐๐ คน เล็ก ๒๐๐. พี่น้องทั้ง ๓ นั้นตรวจดูสาระในคัมภีร์ของตน เห็นแต่ประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น จึงชอบการบวช. บรรดาพี่น้องทั้ง ๓ นั้น พี่ชายคนโตพร้อมกับบริวารของตน ไปยังตำบลอุรุเวลาบวชเป็นฤๅษี จึง มีชื่อว่า อุรุเวลากัสสป น้องชายที่บวชอยู่ ณ โค้งแม่น้ำมหาคงคา จึงมีชื่อว่า นทีกัสสป น้องชายผู้ที่บวชอยู่ ณ คยาสีสประเทศ จึงมีชื่อว่า คยากัสสป.
เมื่อพี่น้องทั้ง ๓ นั้นบวชเป็นฤาษี อยู่ในที่นั้นๆ อย่างนี้แล้ว เมื่อวันเวลาล่วงไปเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศพระธรรมจักรไปโดยลำดับ ทรงให้พระเบญจวัคคีย์เถระดำรงอยู่ในพระอรหัต ทรงแนะนำสหาย ๕๕ คนมียสะเป็นประธาน แล้วทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ ไปด้วยพระดำรัสมีว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป ดังนี้เป็นต้น แล้วทรงแนะนำภัตทวัคคียกุมาร แล้วเสด็จไปยังที่อยู่ของอุรุเวลกัสสป เสด็จเข้าไปยังโรงบูชาไฟเพื่อจะประทับอยู่ ทรงแนะนำอุรุเวลกัสสปพร้อมทั้งบริษัท ด้วยปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ประการ มีการทรมานพระยานาคที่อยู่ในที่นั้นเป็นต้น แล้วทรงให้บรรพชา. ฝ่ายน้องชายทั้งสองรู้ว่าอุรุเวลกัสสปนั้นบวชแล้วพร้อมทั้งบริวาร พากันมาบวชในสำนักของพระศาสดา. ทั้งหมดนั่นแหละได้เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรและจีวรอัน สำเร็จด้วยฤทธิ์.
พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ รูปนั้น ไปยังคยาสีสประเทศ แล้วประทับนั่งบนหินดาด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 147
ให้สมณะทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตตปริยายสูตรเทศนา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารนามว่าปทุมุตตระ ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์ รู้ชัด ได้ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปเป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณาแสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตร ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามดุจทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้นอายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้นเมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ได้ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารเป็นอันมาก ครั้งนั้นเราเป็นพราหมณ์ชาวเมืองหังสวดี อันชนสมมติว่าเป็นคนประเสริฐ ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ส่องโลก แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้นเราได้ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ในตำแหน่งเอตทัคคะในที่ประชุมใหญ่ ก็ชอบใจ จึงนิมนต์พระมหาชินเจ้า
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๒๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 148
กับบริวารเป็นอันมากแล้ว ได้ถวายทานพร้อมกันกับพราหมณ์อีก ๑,๐๐๐ คน ครั้นแล้วเราได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นผู้ร่าเริง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ด้วยความเชื่อในพระองค์และด้วยอธิการคุณ ขอให้ข้าพระองค์ผู้เกิดในภพนั้นๆ มีบริษัทมากเถิด ครั้งนั้นพระศาสดา ผู้มีพระสุรเสียงเหมือนคชสารคำรน มีพระสำเนียง เหมือนนกการเวก ได้ตรัสกะบริษัทว่า จงดูพราหมณ์ผู้นี้ ผู้มีวรรณะเหมือนทองคำ แขนใหญ่ ปากและตาเหมือนดอกบัว มีกายและใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง มีความเชื่อในคุณของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีเสียงก้อง ดุจเสียงราชสีห์ในอนาคตกาล เขาจักได้ตำแหน่งนี้สมความปรารถนา ในกัปนับแต่นี้ขึ้นไป ๑ แสน พระศาสดามีพระนามว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิตจักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสป
พระอัครนายกของโลกพระนามว่าผุสสะ ผู้เป็นพระศาสดาอย่างยอดเยี่ยม หาผู้เปรียบมิได้ ไม่มีใครจะเสมอเหมือน ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าผุสสะ พระองค์นั้นแลทรงกำจัดความมืดทั้งปวง ทรงสางรกชัฏใหญ่ ทรงยังฝนคืออมตธรรมให้ตกลง ให้มนุษย์และทวยเทพอิ่มหนำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 149
ครั้งนั้นเราสามคนพี่น้องเป็นราชอำมาตย์ในพระนครพาราณสี ล้วนแต่ เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระมหากษัตริย์ รูปร่างองอาจ แกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลังไม่แพ้ใครเลยในสงคราม ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินผู้มีเมืองชายแดนก่อการกำเริบ ได้ตรัสสั่งเราว่า ท่านทั้งหลายจงไปชนบทชายแดน พวกท่านจงยังกำลังของแผ่นดินให้เรียบร้อย ทำแว่นแคว้นของเราให้เกษมแล้วกลับมา ลำดับนั้น เราได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์จะพึงพระราชทานพระนายกเจ้า เพื่อให้ข้าพระองค์อุปัฏฐากไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักทำกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ลำดับนั้น เราผู้รับพระราชทานพรสมเด็จพระภูมิบาลส่งไปทำชนบทชายแดนให้วางอาวุธ แล้วกลับมายังพระนครนั้น เราทูลขอการอุปัฏฐากพระศาสดาแด่พระราชา ได้พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลก ผู้ประเสริฐกว่ามุนี แล้วได้บูชาพระองค์ตราบเท่าสิ้นชีวิต เราทั้งหลายเป็นผู้มีศีลประกอบด้วยกรุณา มีใจประกอบด้วยภาวนา ได้ถวายผ้ามีค่ามาก รสอันประณีต เสนาสนะ อันน่ารื่นรมย์ และเภสัชที่เป็นประโยชน์ที่ตนให้เกิดขึ้น โดยชอบธรรมแก่พระมุนีพร้อมทั้งพระสงฆ์ อุปัฏฐากพระองค์ด้วยจิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผู้เลิศพระองค์นั้นนิพพานแล้ว ได้ทำการบูชาตามกำลัง เรา ทุกคนจุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 150
เสวยมหันตสุขในดาวดึงส์นั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ เป็นเหมือนนายช่างดอกไม้ ได้ดอกไม้แล้วแสดงชนิดแห่งดอกไม้แปลกๆ มากมาย ฉะนั้น ได้เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช เพราะถ้อยคำของคุณะอเจลก เราจึงมีอัธยาศัยอันมิจฉาทิฏฐิกำจัดแล้ว จึงขึ้นสู่ทางนรก ไม่เอื้อเฟื้อโอวาทของธิดาเราผู้ชื่อว่ารุจา เมื่อถูกนารทพรหมสั่งสอนเสียมากมาย จึงละความเห็น ที่ชั่วช้าเสียได้ บำเพ็ญกุศลธรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์โดยพิเศษ ละทิ้งร่างกายแล้วได้ไปสวรรค์ เหมือนไปที่อยู่ของตัวเองฉะนั้น
เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของพราหมณ์ เกิดในสกุลที่สมบูรณ์ในกรุงพาราณสี เรากลัวต่อความตาย ความป่วยไข้และความแก่ชรา จึงเข้า ป่าใหญ่แสวงหาหนทางนิพพาน ได้บวชในสำนักของชฎิล ครั้งนั้น น้องชายทั้งสองของเราก็ได้บวชพร้อมกับเรา เราได้สร้างอาศรม อาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เรานี้นามตามโคตรว่ากัสสป แต่เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา เราจึงมีนามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสป เพราะน้องชายของเราอาศัยอยู่ที่ชายแม่น้ำ เขาจึงได้นามว่านทีกัสสป และเพราะน้องชายของเราอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ตำบลคยา เขาจึงถูกประกาศนามว่าคยากัสสป น้องชายคนเล็กมี ศิษย์ ๒๐๐ คน น้องชายคนกลางมี ๓๐๐ คน เรามี ๕๐๐ คนถ้วน ศิษย์ทุกคนล้วนแต่ประพฤติตามเรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 151
ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าผู้เลิศในโลก เป็นสารถีฝึกนรชน ได้เสด็จมาหาเรา ทรงทำปาฏิหาริย์ต่างๆ แก่เรา แล้วทรงแนะนำเรากับบริวารพันหนึ่ง ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับภิกษุเหล่านั้นทุกองค์ ภิกษุเหล่านั้นและภิกษุพวกอื่นเป็นอันมากแวดล้อมเราเป็นยศบริวาร และเราก็สามารถที่จะสั่งสอนได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สูงสุดจึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในความเป็นผู้มีบริวารมาก โอ สักการะที่ได้ทำไว้ในพระพุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดสิ่งที่มีผลแก่เราแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว.
ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงพิจารณาการปฏิบัติของตน เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงได้กล่าวคาถา ๖ คาถาเหล่านี้ว่า
เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดม ผู้เรืองยศเพียงใด เราก็ยังเป็นคนลวงโลกด้วยความริษยาและมานะ ไม่นอบน้อมอยู่เพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสารถี ฝึกนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา ลำดับนั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ ขนลุกชูชัน ความสำเร็จเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฎิลเคยมีอยู่ในกาลก่อน เราได้สละความสำเร็จนั้นเสีย บวชในศาสนาของพระชินเจ้า เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์ ภายหลังเราถอนราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว เรารู้บุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุหมดจด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 152
เป็นผู้มีฤทธิ์รู้จิตของผู้อื่นแล บรรลุทิพโสต อนึ่ง เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น เราได้บรรลุแล้ว ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง เราได้บรรลุ แล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวาน ปาฏิหีรานิ ความว่า ได้เห็นปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ประการ มีการทรมานพระยานาคเป็นต้น.
จริงอยู่บทว่า ปาฏิหีรํ, ปาฏิเหรํ, ปาฏิหาริยํ. โดยใจความ เป็นอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
บทว่า ยสสฺสิโน ได้แก่ ผู้มีพระกิตติศัพท์แพร่ไปในโลกพร้อมทั้งเทวโลก โดยนัยมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้.
บทว่า น ตาวาหํ ปณิปตึ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรงกำราบเราเพียงใดว่า ดูก่อนกัสสป เธอยังไม่เป็นพระอรหันต์ ทั้งยัง ไม่บรรลุพระอรหัตมรรค ทั้งเธอก็ยังไม่มีปฏิปทาเครื่องเป็นพระอรหันต์ หรือเครื่องบรรลุพระอรหัตมรรค ดังนี้ เราก็ยังไม่กระทำการนอบน้อม เพียงนั้น. เพราะเหตุไร? เพราะเราลวงด้วยความริษยาและมานะ. อธิบายว่า เป็นผู้ลวง คือหลอกลวงด้วยความริษยาอันมีลักษณะไม่อดทน คือสมบัติของผู้อื่นอย่างนี้ว่า เมื่อเรายอมเข้าเป็นสาวกของท่านผู้นี้ เราก็จัก เสื่อมลาภสักการะ ลาภสักการะจักเพิ่มพูนแก่ท่านผู้นี้ และด้วยมานะมี ลักษณะยกตนอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้อันชนจำนวนมากสมมติให้เป็นหัวหน้า คณะ.
บทว่า มยฺหํ สงฺกปฺปมญฺญาย ความว่า ทรงทราบความดำริผิด ของเรา คือ แม้ทรงทราบความดำริผิดซึ่งเราได้เห็นปาฏิหาริย์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจากอุตริมนุสธรรม แม้คิดว่า มหาสมณะมีฤทธิ์มาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 153
มีอานุภาพมาก ก็ยัง (มีมิจฉาวิตก) เป็นไปอย่างนี้ว่า ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ก็ทรงรอความแก่กล้าของญาณจึงทรงวางเฉย ภายหลัง ทรงทำน้ำให้แห้งโดยรอบๆ ตรงกลางแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จจงกรมที่พื้น อันฟุ้งด้วยละอองธุลี แล้วประทับยืนในเรือที่ชฎิลนั้นนำมา แม้ในกาลนั้น ก็ทรงรู้ความดำริผิดที่เราคิดมีอาทิว่า เป็นผู้มีฤทธิ์ ดังนี้ ก็ยังประกาศว่า ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา.
บทว่า โจเทสิ นรสารถี ความว่า ในกาลนั้น พระศาสดาผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษทรงทราบความแก่กล้าแห่งญาณของเราแล้ว จึงทรงทักท้วง คือข่มเรา โดยนัยมีอาทิว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์เลย ดังนี้.
บทว่า ตโต เม อาสิ สํเวโค อพฺภุโต โลมหํสโน ความว่า แต่นั้น คือเพราะการทักท้วงตามที่กล่าวแล้ว เป็นเหตุเกิดความสลดใจ คือ เกิดญาณความรู้พร้อมทั้งความเกรงกลัวบาปอันชื่อว่าไม่เคยเป็น เพราะไม่เคยมีมาก่อนตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ชื่อว่าชนลุกชูชัน เพราะเป็นไปโดยอำนาจขนพองสยองเกล้า ได้มีแก่เราว่า เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์.
บทว่า ชฏิลสฺส แปลว่า เป็นดาบส.
บทว่า สิทฺธิ ได้แก่ มั่งคั่งด้วยลาภสักการะ.
บทว่า ปริตฺติกา แปลว่า มีประมาณน้อย.
บทว่า ตาหํ ตัดเป็น ตํ อหํ.
บทว่า ตทา ได้แก่ ในเวลาเกิดความสลดใจ ด้วยการทักท้วงของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 154
บทว่า นิรากตฺวา ได้แก่ นำออกไป คือทิ้งไป อธิบายว่า เป็น ผู้ไม่ห่วงใย.
บางอาจารย์กล่าวว่า บทว่า อิทฺธิ ได้แก่ ฤทธิ์อันสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา. คำนั้นไม่ถูก เพราะในเวลานั้นอุรุเวลกัสสปยังไม่ได้ฌาน. จริงอย่างนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์.
บทว่า ยญฺเญน สนฺตุฎฺโฐ ความว่า ยินดี คือสำคัญกิจที่เสร็จแล้วด้วยการบูชายัญ โดยเข้าใจว่าเราบูชายัญแล้วจักได้เสวยสุขในสวรรค์ ได้การละด้วยการบูชายัญมีประมาณเท่านี้.
บทว่า กามธาตุปุรกฺขโต ความว่า ผู้มีความอยากอันปรารภกามสุคติเกิดขึ้น คือมุ่งกามโลก อยู่ด้วยการบูชายัญ. หากว่ายัญนั้นประกอบ พร้อมด้วยปาณาติบาต ใครๆ ไม่อาจได้สุคติด้วยยัญนั้น จริงอยู่ อกุศล ไม่บังเกิดผลอันน่าปรารถนา น่าพึงใจ แต่เมื่อกุศลเจตนามีทานเป็นต้นมี อยู่ในยัญนั้น บุคคลพึงไปสู่สุคติได้ เพราะปัจจัยประชุมกัน.
บทว่า ปจฺฉา ได้แก่ ในกาลภายหลังจากการบวชเป็นดาบส คือ ในกาลที่ละลัทธิดาบสแล้ว ประกอบกรรมฐานอันสัมปยุตด้วยสัจจะ ๔ ตามพระโอวาทของพระศาสดา.
บทว่า สมูหนึ ความว่า เราบำเพ็ญวิปัสสนาแล้วถอนได้สิ้นเชิง. ซึ่งราคะ โทสะ โมหะ โดยลำดับมรรค.
ก็เพราะเหตุที่พระเถระนี้ ถอนราคะเป็นต้นได้ด้วยอริยมรรคนั่นแหละ. ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ฉะนั้น เมื่อจะแสดงว่าตนมีอภิญญา ๖ จึง กล่าวคำว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ ความว่า เรารู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 155
คือตรัสรู้โดยประจักษ์ ซึ่งขันธปัญจกที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนของตนและของคนอื่น คือขันธ์ที่บังเกิดแล้วและสภาวะที่เนื่องด้วยขันธ์ในอดีตชาติทั้งหลาย ด้วยปุพเพนิวาสญาณ เหมือนรู้ผลมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า ทิพฺพจกฺขุ วิโสธิตํ ความว่า เราชำระทิพยจักษุญาณให้หมดจด คือเราได้ญาณอันสามารถทำรูปทั้งเป็นของทิพย์ทั้งเป็นของมนุษย์ซึ่งอยู่ไกล อยู่ภายนอกฝา และอันละเอียดยิ่ง ให้เเจ่มแจ้ง ดุจรูปตามปกติอันประจวบเข้าด้วยนัยน์ตาตามปกติ โดยทำให้บริสุทธิ์ด้วยการเจริญภาวนา.
บทว่า อิทฺธิมา ได้แก่ ผู้มีฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ทั้งหลายมีอธิษฐานฤทธิ์ และวิกุพพนฤทธิ์ (การแผลงฤทธิ์) เป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้ได้ญาณอันแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ. ชื่อว่าผู้รู้จิตของคนอื่น เพราะรู้จิตของคนอื่นอันต่างด้วยจิตมีราคะเป็นต้น ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นผู้ได้เจโตปริยญาณ ญาณกำหนดรู้จิตของผู้อื่น.
บทว่า ทิพฺพโสตญฺจ ปาปุณึ ความว่า และได้ทิพโสตญาณ.
บทว่า โส เม อตฺโถ อนุปฺปตโต สพฺพสํโยชนกฺขโย ความว่า ประโยชน์อันเป็นตัวสิ้นไป หรือจะพึงได้ด้วยความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ทั้งปวง คือทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของตนอื่น เราได้บรรลุแล้วด้วยการบรรลุอริยมรรค. พึงทราบว่า พระเถระพยากรณ์พระอรหัตด้วยคาถานี้ ด้วยประการอย่างนี้.
จบอรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถรคาถาที่ ๑