๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระมาลุงกยปุตตเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 175
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมาลุงกยปุตตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 175
๕. มาลุงกยปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมาลุงกยปุตตเถระ
[๓๕๑] ตัณหาย่อมเจริญแก่สัตว์ผู้ประพฤติประมาท เหมือนเถาย่านทรายเจริญอยู่ในป่าฉะนั้น บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา ย่อมเร่ร่อนไปในภพน้อยภพใหญ่ เหมือนวานรอยากได้ผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น
ตัณหาอันชั่วช้า ซ่านไปในโลก ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น เหมือนหญ้าคมบางที่ถูกฝนตกรดแล้วฉะนั้น
ส่วนผู้ใดครอบงำตัณหาอันชั่วช้านี้ ซึ่งยากที่จะล่วงได้ในโลก ความโศกทั้งหลายย่อมตกไปจากบุคคลนั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากใบบัวฉะนั้น
เพราะฉะนั้น เราขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายที่มาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหา ดุจบุคคลผู้มีความต้องการด้วยแฝกขุดแฝกอยู่ฉะนั้น มารอย่าได้ระรานท่านทั้งหลาย บ่อยๆ ดังกระแสน้ำพัดพาไม้อ้อฉะนั้น
ท่านทั้งหลาย จงทำตามพระพุทธพจน์ ขณะอย่าได้ล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะอันล่วงแล้ว ย่อมยัดเยียดกันในนรก เศร้าโศกอยู่
ความประมาทดุจธุลี ธุลีเกิดขึ้นเพราะความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 176
ประมาท ท่านทั้งหลายพึงถอนลูกศรอันเสียบอยู่ในหทัยของตน ด้วยความไม่ประมาทและด้วยวิชชาเถิด.
จบมาลุงกยปุตตเถรคาถา
อรรถกถามาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕
คาถาของ ท่านพระมาลุงกยปุตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า มนุชสฺส ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธจ้า อันมีในปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นบุตรนักดูเงินของพระเจ้าโกศลในกรุงสาวัตถี.
มารดาของเขาชื่อ มาลุงกยา. ด้วยอำนาจของนางมาลุงกยานั้น เขาจึงปรากฏว่า มาลุงกยบุตร นั่นแล. เขาเติบโตขึ้นเพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในการสลัดออกจากกิเลส จึงละฆราวาสออกบวชเป็นปริพาชกท่องเที่ยวไป ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้ความศรัทธาในพระศาสนา จึงบวชบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้อภิญญา ๖. ท่านได้ไปยังตระกูลญาติ เพื่ออนุเคราะห์ญาติ. ญาติทั้งหลายได้อังคาสท่านด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ประสงค์จะล่อด้วยทรัพย์ จึงเอากองทรัพย์กอง ใหญ่วางไว้ข้างหน้า แล้วอ้อนวอนว่า ทรัพย์นี้เป็นของท่าน ท่านจงสึกมาครอบครองลูกเมีย การทำบุญทั้งหลายด้วยทรัพย์นี้เถิด. พระเถระเมื่อจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 177
เปลี่ยนอัธยาศัยของญาติเหล่านั้น จึงยืนในอากาศแสดงธรรมด้วยคาถา ๖ คาถา๑) นี้ว่า
ตัณหาย่อมเจริญแก่สัตว์ผู้ประพฤติประมาท เหมือนเถาย่านทรายเจริญอยู่ในป่าฉะนั้น บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา ย่อมเร่ร่อนไปในภพน้อยภพใหญ่ เหมือนวานรปรารถนาผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น
ตัณหาอันชั่วช้า ซ่านไปในโลก ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น เหมือนหญ้าคมบางที่ฝนตกรดแล้วฉะนั้น
ส่วนผู้ใดครอบงำตัณหาอันชั่วช้านี้ ซึ่งยากที่จะล่วงไปได้ในโลก ความโศกทั้งหลายย่อมตก ไปจากบุคคลนั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากใบบัวฉะนั้น
เพราะฉะนั้น เราขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายจงขุดรากตัณหา ดุจบุคคลผู้มีความต้องการแฝกขุดแฝกฉะนั้น มารอย่าได้ระรานท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดังกระแสน้ำพัดพาไม้อ้อฉะนั้น
ท่านทั้งหลายจงทำตามพระพุทธพจน์ ขณะอย่าได้ล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะอันล่วงเลยไปแล้ว ย่อมยัดเยียดกันในนรก เศร้าโศกอยู่
ความประมาทดุจธุลี ธุลีเกิดขึ้นเพราะความประมาท ท่านทั้งหลายพึงถอนลูกศรอันเสียบอยู่ในหทัยของตน ด้วยความไม่ประมาทและด้วยวิชชาเถิด
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๕๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 178
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุชสฺส ได้แก่ สัตว์.
บทว่า ปมตฺตจาริโน ได้แก่ผู้ประพฤติประมาท ด้วยความประมาท อันมีการปล่อยสติเป็นลักษณะ. ฌาน วิปัสสนา มรรคและผลทั้งหลายย่อมไม่เจริญ.
เหมือนอย่างว่า เถาย่านทรายรวบมัดรัดคลุมต้นไม้ ย่อมเจริญเพื่อความพินาศแห่งต้นไม้นั้นฉันใด ตัณหาอันอาศัยทวาร ๖ เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอารมณ์ มีรูปเป็นต้น ย่อมเจริญแก่สัตว์นั้นฉันนั้น ตัณหาเมื่อเจริญอยู่แล ย่อมทำบุคคลผู้เป็นไปในอำนาจให้ตกลงในอบาย เหมือนเถาย่านทรายคลุมต้นไม้อันเป็นที่อาศัยของตนให้โค่นลงฉะนั้น.
บทว่า โส ปฺลวติ ความว่า บุคคลผู้เป็นไปในอำนาจตัณหานั้น ย่อมเร่ร่อน คือแล่นไปในภพน้อยภพใหญ่ไปๆ มาๆ. ถามว่า เหมือนอะไร? ตอบว่า เหมือนวานรอยากได้ผลไม้เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น. อธิบายว่า วานร ผู้อยากได้ผลของต้นไม้แล่นไปในป่า จับกิ่งหนึ่งของต้นไม้ ปล่อยกิ่งนั้น แล้วจับกิ่งอื่น แล้วก็ปล่อยกิ่งนั้นจับกิ่งอื่น (อีกต่อๆ ไป) เพราะเหตุนั้น จึงย่อมไม่ถึงภาวะที่จะพึงพูดได้ว่า มันไม่ได้กิ่งไม้จึงนั่งจับเจ่า ดังนี้ฉันใด บุคคลผู้เป็นไปในอำนาจตัณหาก็ฉันนั้นเหมือนกัน แล่นไปในภพน้อยภพใหญ่ จึงไม่ถึงความเป็นผู้ที่จะพึงกล่าวว่า เขาไม่ได้อารมณ์ จึงถึงความไม่เกิดตัณหา.
บทว่า ยํ โยคว่า บุคคลใด. ตัณหาอันเป็นไปในทวาร ๖ นั่น ถึงความนับว่า ชมฺมี เรียกว่า ชั่วช้า เพราะความเป็นของลามก ถึงความนับว่า วิสตฺติกา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 179
เพราะมีอาหารเป็นพิษ เพราะมีดอกเป็นพิษ เพราะมีผลเป็นพิษ เพราะมีการบริโภคเป็นพิษ และเพราะส่ายคือข้องในอารมณ์มีรูปเป็นต้น ย่อมครอบงำ ย่ำยีบุคคลนั้น. อธิบายว่า เมื่อฝน ตกบ่อยๆ แฝกและหญ้าคมบางที่ฝนตกรด ย่อมเจริญในป่าฉันใด ความโศกทั้งหลายอันมีวัฏฏะเป็นมูล ย่อมเจริญคือถึงความเจริญฉันนั้น.
บทว่า โย เจตํ ฯเปฯ ทุรจฺจยํ ความว่า ส่วนบุคคลใด ยอมอด กลั้นคือครอบงำตัณหา ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วอย่างนี้ ที่ชื่อว่าล่วงได้ยาก ละได้ยาก เพราะเป็นธรรมชาติที่จะพึงทำได้ยากเพื่อจะล่วง คือเพื่อจะละความโศกมีวัฏฏะเป็นมูล ย่อมตกไปจากบุคคลนั้น อธิบายว่า ย่อมไม่ตั้งอยู่ เหมือนหยาดน้ำที่ตกลงในใบบัว คือใบปทุม ย่อมไม่ตั้งค้างอยู่ฉะนั้น.
บทว่า ตํ โว วทามิ ความว่า เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวเตือนแก่ท่านทั้งหลาย.
บทว่า ภททํ โว ความว่า ความเจริญจงมีแก่พวกท่าน อธิบายว่า พวกท่านอย่าได้ถึงความพินาศ คือความฉิบหาย เหมือนคนผู้อนุวรรตน์ คือทำตามตัณหา.
บทว่า ยาวนฺเนตตฺถ สมาคตา ความว่า มีประมาณเท่าที่มาประชุม กันอยู่ในที่นี้. หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า พระเถระพูดอย่างไร? เฉลยว่า พระเถระพูดว่า ท่านทั้งหลายจงขุดรากของตัณหา คือท่านทั้งหลายจงขุด คือถอนรากก็คือเหตุของตัณหาอันเป็นไปในทวาร ๖ นี้ ได้แก่ ชัฏแห่งกิเลสมีอวิชชาเป็นต้น ด้วยจอบคืออรหัตมรรคญาณ. ถามว่า เหมือนอะไร? ตอบว่า เหมือนคนต้องการแฝกขุดแฝกฉะนั้น อธิบายว่า ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 180
ทั้งหลายจงขุดรากของตัณหานั้น เหมือนบุรุษผู้ต้องการแฝกเอาจอบใหญ่ขุดหญ้า ชื่ออุสีระ แฝก อันมีอีกชื่อว่า พีรณะ ฉะนั้น.
บทว่า มา โว นฬํว โสโตว มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ ความว่า กิเลสมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร อย่าระรานพวกท่านบ่อยๆ เหมือน กระแสน้ำไหลมาด้วยกำลังแรง ระรานไม้อ้อที่เกิดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงกระทำตามพระพุทธพจน์ คือ จงกระทำตามพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยนัยมีอาทิ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเพ่ง (พินิจ) อย่าเป็นผู้ประมาท คือ จงยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อมตามที่ทรงพร่ำสอน.
บทว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา ความว่า จริงอยู่ บุคคลใดไม่กระทำตามพระพุทธพจน์ ขณะแม้ทั้งหมดนี้ คือ ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปเทส ๑ ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ ๑ ขณะที่มีอวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑ ย่อมล่วงเลยบุคคลนั้น ขณะอันนั้นอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.
บทว่า ขณาตีตา ความว่า ก็บุคคลใดล่วงเลยขณะนั้นไปเสีย หรือว่าขณะอันนั้นล่วงเลยบุคคลใดไปเสีย บุคคลเหล่านั้นก็จะยัดเยียดกันอยู่ในนรก คือบังเกิดในนรกนั้นเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน.
บทว่า ปมาโท รโช ความว่า ความประมาทมีลักษณะปล่อยสติในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ชื่อว่า ดุจธุลี เพราะมีสภาพเศร้าหมอง และเพราะเจือปนด้วยธุลี มีธุลีคือราคะเป็นต้น.
บทว่า ปมาทานุปติโต รโช ความว่า ก็ชื่อว่าธุลีอย่างใดอย่างหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 181
มีราคะเป็นต้น ธุลีทั้งหมดนั้นตกไปตามความประมาท คือเกิดขึ้นด้วย อำนาจความประมาทนั่นแหละ.
บทว่า อปฺปมาเทน ได้แก่ ด้วยความไม่ประมาท คือด้วยการปฏิบัติ โดยไม่ประมาท.
บทว่า วิชฺชาย ได้แก่ ด้วยวิชชาอันสัมปยุตด้วยอรหัตมรรค.
บทว่า อพฺพเห สลฺลมตฺตโน ความว่า พึงดึงขึ้น คือพึงถอนลูกศร มีราคะเป็นต้น ที่อาศัยหทัยของตนออกเสีย.
จบอรรถกถามาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕