๘. มิคชาลเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระมิคชาลเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 194
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๘. มิคชาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมิคชาลเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 194
๘. มิคชาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมิคชาลเถระ
[๓๕๔] ธรรมอันก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง เป็นธรรมยังวัฏฏะให้พินาศหมดสิ้น เป็นเครื่องนำออกไปจากสงสาร เป็นเครื่องข้ามพ้นสงสาร ทำรากตัณหาให้เหี่ยวแห้ง อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงดีแล้ว ทำลายกรรมกิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติ อันมีรากเป็นพิษแล้ว ทำให้เราถึงความดับสนิท
ธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกรรมให้สิ้นสุด อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่อทำลายรากเหง้าแห่งอวิชชา เป็นธรรมอันปล่อยสายฟ้าคือญาณให้ตกลงไปในการถือ (ปฏิสนธิของ) วิญญาณทั้งหลาย
เป็นธรรมให้รู้แจ้งเวทนาทั้งหลาย เป็นธรรมปลดเปลื้องอุปาทาน พิจารณาเห็นภพดุจหลุมถ่านเพลิงด้วยญาณ
เป็นธรรมมีรสมาก ลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นธรรมห้ามความแก่ความตายได้ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางสงบสุข ปลอดโปร่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว
เป็นธรรมอันเป็นเครื่องเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ถึงความปลอดโปร่งยิ่งใหญ่ สงบระงับ มีความเจริญในที่สุด พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงแสดงดีแล้ว เพราะทรงรู้กรรมว่าเป็นกรรม และวิบากโดยความเป็นวิบากแห่งธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 195
ทรงรู้จักวิบากโดยความเป็นวิบากแห่งธรรมอันอาศัยกันและ กันเกิดขึ้น.
จบมิคชาลเถรคาถา
อรรถกถามิคชาลเถรคาถาที่ ๘
คาถาของ ท่านพระมิคชาลเถระ มีค่าเริ่มต้นว่า สุเทสิโต ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญอยู่ในภพนั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดเป็นบุตรของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในนครสาวัตถี ได้มีนามว่า มิคชาละ. มิคชาละนั้นไปวิหาร เพราะได้ฟังธรรมเนืองๆ จึงเกิดศรัทธาบวช แล้วเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล จึงได้กล่าวคาถา (๑) เหล่านี้ ความว่า
ธรรมอันก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง เป็นธรรมยังวัฏฏะให้พินาศหมดสิ้น เป็นเครื่องนำออกไปจากสงสาร เป็นเครื่องข้ามพ้นสงสาร ทำรากตัณหาให้เหี่ยวแห้ง อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงดีแล้ว ทำลายกรรมกิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติ อันมีรากเป็นพิษแล้ว ทำให้เราถึงความดับสนิท
ธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกรรมให้สิ้นสุด อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๕๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 196
เพื่อทำลายรากเหง้าแห่งอวิชชา เป็นธรรมอันปล่อยสายฟ้าคือญาณให้ตกลงไปในการถือ (ปฏิสนธิของ) วิญญาณทั้งหลาย
เป็นธรรมให้รู้แจ้งเวทนาทั้งหลาย เป็นธรรมปลดเปลื้องอุปาทาน พิจารณาเห็นภพดุจหลุมถ่านเพลิงด้วยญาณ
เป็นธรรมมีรสมาก ลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นธรรมห้ามความแก่ความตายได้ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางสงบสุข ปลอดโปร่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว
เป็นธรรมอันเป็นเครื่องเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ถึงความปลอดโปร่งยิ่งใหญ่ สงบระงับ มีความเจริญในที่สุด พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงแสดงดีแล้ว เพราะทรงรู้กรรมว่าเป็นกรรม และวิบากโดยความเป็นวิบากแห่งธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุเทสิโต แปลว่า ทรงแสดงดีแล้ว อธิบายว่า ทรงแสดงโดยการประกาศตามเป็นจริงถึงประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และประโยชน์อย่างยิ่ง อันสมควรแก่อัธยาศัย แห่งเวไนยสัตว์.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุเทสิโต ได้แก่ ทรงแสดงไว้โดยชอบ อธิบายว่า ทรงภาษิต คือตรัสไว้ดีแล้ว โดยการประกาศปวัตติ และนิวัตติ (ทุกขสัจและ นิโรธสัจ) และเหตุของสัจจะทั้ง ๒ นั้น โดยไม่ผิดแผกกัน.
บทว่า จกฺขุมตา ได้แก่ทรงมีพระจักษุด้วยจักษุ ๕ ประการนี้ คือ มังสจักษุ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ พุทธจักษุ และสมันตจักษุ.
บทว่า พุทฺเธน ได้แก่ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 197
บทว่า อาทิจฺจพนฺธุนา ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ได้แก่ ผู้เป็นอาทิตยโคตร. จริงอยู่ วงศ์กษัตริย์ในโลกมี ๒ วงศ์ คือ อาทิตย์วงศ์ ๑. โสมวงศ์ ๑. ใน ๒ วงศ์นั้น พึงทราบว่า วงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช เป็นอาทิตยวงศ์ เจ้าศากยะ ทั้งหลายชื่อว่าอาทิตยโคตร เพราะมีสัญชาติมาจากวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราชนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า อันชาวโลกเรียกกันว่า อาทิจจพันธุ เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า อาทิจจพันธุ เพราะเป็น เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ดังนี้ก็มี, เนื้อความนี้นั้น ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
ธรรมชื่อว่า ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง เพราะก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งมวล มีกามราคะสังโยชน์เป็นต้น ชื่อว่า ยังวัฏฏะทั้งปวงให้พินาศหมดสิ้น เพราะทำให้พินาศ คือกำจัดกิเลส วัฏกรรม วัฏและวิปากวัฏนั้นนั่นแล ชื่อว่า ธรรมนำออกไปจากทุกข์ เพราะนำออกไปจากการระหกระเหินไปในสังสาร ชื่อว่า เป็นเครื่องข้ามพ้น เพราะอรรถว่า ข้ามพ้นจากโอฆะใหญ่คือสงสาร ชื่อว่า ทำรากเหง้าของตัณหาให้เหี่ยวแห้ง เพราะทำรากเหง้าแห่งตัณหาทั้งปวง มีกามตัณหาเป็นต้น อันได้แก่อวิชชาและอโยนิโสมนสิการ ให้เหี่ยวแห้ง คือให้เหือดแห้ง. ทำลาย คือตัดอย่างเด็ดขาดซึ่งกรรมหรือกิเลส อันเป็นเครื่องต่อภพต่อชาติ อันชื่อว่า มีรากเหง้าเป็นพิษ เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์อันเป็นพิษ อันชื่อว่า เป็นที่ประหาร เพราะเป็นสถานที่อุบัติขึ้นแห่งความพินาศของเหล่าสัตว์ โดยกำจัดการรู้แจ้งเวทนาแม้ทั้ง ๓ ให้ถึงความดับ คือพระนิพพาน.
รากเหง้าของอวิชชา ได้แก่ อโยนิโสมนสิการและอาสวะทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 198
จริงอยู่ ดังที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า "เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิด" (๑) ดังนี้ เพื่อทำลาย คือเพื่อต้องการทำลายรากเหง้าของอวิชชานั้น ด้วยญาณอันเปรียบด้วยสายฟ้าฟาด.
อีกอย่างหนึ่ง เชื่อมความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อทำลายภวจักรอันชื่อว่า มีอวิชชาเป็นรากเหง้า เพราะมีอวิชชาเป็นมูลราก โดยพระดำรัสว่า "สังขารทั้งหลายเกิดมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย " เป็นต้นนั้น ด้วยสายฟ้าคือมรรคญาณ.
บทว่า กมฺมยนฺตวิฆาฏโน ได้แก่ เป็นเครื่องกำจัดยนต์คืออัตภาพซึ่งสืบต่อด้วยกรรม.
ในบทว่า วิญฺญาณานํ ปริคฺคเห นี้ พึงเชื่อมคำที่เหลือว่า เมื่อการยึดถือวิญญาณปรากฏขึ้นตามกรรมของตนในกามภพ เป็นต้น. จริงอยู่ เมื่อถือปฏิสนธิในภพนั้นๆ แม้วิญญาณที่อาศัยภพนั้นๆ ก็ย่อมเป็นอันถือปฏิสนธิด้วย.
บทว่า ญาณวชิรนิปาตโน ได้แก่ ทำสายฟ้าคือญาณให้ตกลง (ให้สำเร็จ) คือทำสายฟ้าคือญาณให้สำเร็จแล้วทำลายวิญญาณเหล่านั้น. จริงอยู่ โลกุตรธรรมเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นทำลายวิญญาณอันจะไปสู่การเกิดในภพที่ ๗. เป็นต้นนั่นแหละ.
บทว่า เวทนานํ วิญฺญาปโน ความว่า ประกาศเวทนา ๓ มีสุขเวทนาเป็นต้น ตามความเป็นจริง ด้วยอำนาจเป็นทุกข์ เป็นดังลูกศร และความไม่เที่ยง ตามลำดับ.
บทว่า อุปาทานปฺปโมจโน ความว่า ปลดเปลื้องจิตสันดานจาก อุปาทานทั้ง ๔ มีกามุปาทานเป็นต้น.
(๑) ม.มู.๑๒/๑๒๘/๑๐๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 199
บทว่า ภวํ องฺคารกาสุํว าเณน อนุปสฺสโน ความว่า แสดงภพ ทั้ง ๙ อย่าง มีกามภพเป็นต้น โดยประจักษ์เนืองๆ ด้วยมรรคญาณ ให้เป็นดุจหลุมถ่านเพลิงลึกชั่วบุรุษ โดยถูกไฟ ๑๑ กองติดโชนแล้ว.
ชื่อว่า มีรสมาก เพราะอรรถว่า กระทำความไม่เบื่อโดยความเป็นธรรมละเอียดและประณีต อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มีรสคือกิจมาก เพราะเป็นธรรมมีกิจมากด้วยปริญญากิจเป็นต้น และเพราะเป็นธรรมมีสมบัติมากด้วยสามัญผลเป็นต้น ชื่อว่า เป็นธรรมลึกซึ้งยิ่งนัก เพราะเป็นธรรมที่หยั่งได้ยากด้วยไม่ได้สั่งสมบุญไว้ และเพราะค้นหาที่ตั้งไม่ถึง เป็นธรรมห้ามความแก่และความตาย คือเป็นธรรมยับยั้งชราและมัจจุ โดยห้ามเกิดในภพต่อไป.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงธรรม อันประกอบด้วยคุณวิเศษตามที่กล่าวแล้วโดยสรุป จึงกล่าวว่า เป็นทางอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ ๘ เพื่อจะประกาศซ้ำถึงคุณนั้นอีกเล็กน้อย จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เป็นทางสงบระงับทุกข์ ปลอดภัย.
คำนั้นมีเนื้อความว่า ชื่อว่า ประเสริฐ เพราะอรรถว่าบริสุทธิ์ ชื่อว่า ประกอบด้วยองค์ ๘ เพราะเป็นที่ประชุมธรรม ๘ ประการมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. ชื่อว่า มรรค คือ เป็นทาง เพราะอรรถว่าแสวงหาพระนิพพาน ชื่อว่า เป็นทางสงบระงับทุกข์ เพราะอรรถว่าสงบระงับวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ชื่อว่า ปลอดภัย เพราะปลอดโปร่ง.
เพราะรู้กรรมว่าเป็นกรรม และรู้วิบากโดยความเป็นวิบากแห่งธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น โดยไม่คลาดเคลื่อน เหมือนในลัทธิภายนอกจากพระศาสนานี้ ที่เห็นกรรมและวิบากของกรรมคลาดเคลื่อน เพราะผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ คือเพราะเหตุที่รู้ด้วยญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น จึงชื่อว่า เป็นธรรมเห็นแจ้งตามที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 200
เป็นจริง คือเป็นเครื่องเห็นแสงสว่าง คือโลกุตรญาณอันทำความรู้เห็นนั้น เพราะกำจัดการยึดถือด้วยสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิเสียได้. ชื่อว่า ถึงความปลอดโปร่งยิ่งใหญ่ เพราะถึงและยังสัตว์ทั้งหลายให้ถึงพระนิพพาน อันชื่อว่าปลอดโปร่งมาก เพราะไม่มีใครประทุษร้ายใครในกาล ไหนๆ.
มีอธิบายประกอบความว่า ธรรมชื่อว่า สงบ เพราะสงบระงับ ความกระวนกระวาย และความเร่าร้อนอันเกิดจากกิเลสทั้งปวง
ชื่อว่า มีความเจริญในที่สุด เพราะให้ถึงเจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ และอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ อันพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุทรงแสดงไว้แล้ว.
พระเถระเมื่อได้สรรเสริญอริยธรรมโดยนัยต่างๆ ด้วยประการอย่างนี้ จึงได้ประกาศความที่ตนได้บรรลุธรรมนั้น โดยอ้างถึงพระอรหัตผล.
จบอรรถกถามิคชาลเถรคาถาที่ ๘