๑๒. พรหมทัตตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระพรหมทัตเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 217
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑๒. พรหมทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระพรหมทัตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 217
๑๒. พรหมทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระพรหมทัตเถระ
[๓๕๘] ความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้เป็นอยู่โดยชอบ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ ได้แต่ที่ไหน
บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ จัดว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะความโกรธตอบนั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
บุคคลใดรู้ว่าบุคคลอื่นโกรธแล้ว มีสติสงบใจได้ บุคคลนั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและบุคคลอื่น.
ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญบุคคลผู้รักษาคนทั้งสองฝ่าย คือตนและบุคคล อื่น ว่าเป็นคนโง่เขลา.
ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น จง ระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร
ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกามและภพทั้งหลาย จงรีบข่มเสียด้วยสติ เหมือนบุคคลห้ามสัตว์เลี้ยงโกงที่ชอบกินข้าวกล้าฉะนั้น.
จบพรหมทัตตเถรคาถา
อรรถกถาพรหมทัตตเถรคาถาที่ ๑๒
คาถาของ ท่านพระพรหมทัตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อกฺโกธสฺส ความโกรธเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 218
แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการ บำเพ็ญบุญอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าในองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าโกศลในนครสาวัตถี ได้มีชื่อว่า พรหมทัตตะ. พรหมทัตตะ นั้นเจริญวัยแล้ว ได้เห็นพุทธานุภาพในคราวฉลองพระเชตวัน ได้มีศรัทธา บวชแล้วบำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้อภิญญา ๖ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.
วันหนึ่ง พราหมณ์คนหนึ่งด่าท่านผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในพระนคร. พระเถระแม้จะได้ฟังการด่านั้นก็นิ่งเสีย คงเที่ยวบิณฑบาตอยู่นั่นแหละ. พราหมณ์ก็ยังด่าอยู่แล้วๆ เล่าๆ. พวกหมู่คนจึงได้พูดกะพราหมณ์ ผู้ที่กำลังด่าอยู่อย่างนั้นว่า พระเถระนี้ไม่กล่าวคำอะไรๆ เลย.
พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะแสดงธรรมแก่คนเหล่านั้น จึงได้กล่าว คาถา๑เหล่านี้ว่า
ความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้เป็นอยู่โดยชอบ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ ได้แต่ที่ไหน
บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ จัดว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะความโกรธตอบนั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
บุคคลใดรู้ว่าบุคคลอื่นโกรธแล้ว มีสติสงบใจได้ บุคคลนั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและบุคคลอื่น.
ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญบุคคลผู้รักษาคนทั้งสองฝ่าย คือตนและบุคคล อื่น ว่าเป็นคนโง่เขลา.
ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น จง ระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร
ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกามและภพทั้งหลาย จงรีบข่มเสียด้วยสติ เหมือนบุคคลห้ามสัตว์เลี้ยงโกงที่ชอบกินข้าวกล้าฉะนั้น.
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๕๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 219
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺโกธสฺส ได้แก่ ผู้ปราศจากความโกรธ คือตัดความโกรธได้เด็ดขาดแล้วด้วยมรรค.
บทว่า กุโต โกโธ ความว่า ความโกรธอันเป็นเหตุจะพึงเกิดขึ้นได้จากที่ไหน อธิบายว่า ไม่มีเหตุแห่งการเกิดความโกรธนั้น.
บทว่า ทนฺตสฺส ได้แก่ ผู้ฝึกตนแล้วด้วยการฝึกชั้นสูง คือด้วย การฝึกด้วยอรหัตมรรค.
บทว่า สมชีวิโน ได้แก่ ผู้ละความไม่สม่ำเสมอทางกายเป็นต้น โดย ประการทั้งปวงแล้ว เลี้ยงชีพให้สม่ำเสมอด้วยความสม่ำเสมอทางกายเป็นต้น คือดำเนินไปโดยชอบด้วยสัมปชัญญะอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงบ.
บทว่า สมฺมทญฺา วิมุตฺตสฺส ได้แก่ ผู้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง เพราะรู้โดยชอบ คือเพราะรู้ธรรมมีอภิญเญยยธรรมเป็นต้น เพราะเหตุนั้นนั่นแล จึงชื่อว่าผู้สงบ เพราะสงบระงับความกระวนกระวายและความเร่าร้อน คือกิเลสทั้งปวง.
พระเถระกล่าวความที่ท่านไม่โกรธ และเหตุแห่งความไม่โกรธนั้น ด้วยการอ้างพระอรหัตผลว่า "ชื่อว่า ผู้คงที่ คือผู้สิ้นอาสวะแล้ว เพราะถึง ลักษณะแห่งความคงที่ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น ความโกรธจะเกิดขึ้นแต่ที่ไหน" ฉะนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะกล่าวธรรมโดยแสดงโทษและอานิสงส์ในความโกรธและความไม่โกรธ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตสฺเสว ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 220
บรรดาเหล่านั้น บทว่า โย กุทฺธํ ปฏิกุชฺฌติ ความว่า บุคคล ผู้โกรธตอบบุคคลผู้โกรธคือผู้กริ้วโกรธกับตนนั้นนั่นแหละ เลวกว่า คือ ไม่ดีไม่งามกว่า โดยถูกวิญญูชนติเตียนเป็นต้นในโลกนี้ และโดยถึงทุกข์ในนรกในโลกหน้า เพราะเหตุมีการโกรธตอบ การด่าตอบ และ การประหารตอบเป็นต้นนั้น. แต่จะกล่าวไม่ได้เลยว่า บุคคลผู้ไม่โกรธเพราะถูดโกรธจะเลว หรือย่อมมีบาปเพราะความโกรธ. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวความว่า บุคคลใดย่อมโกรธเพราะปรารภถึงบุคคลผู้โกรธตอบบุคคลผู้ไม่โกรธ.
บทว่า กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฌนฺโต ความว่า ส่วนบุคคลใดรู้ว่า ผู้นี้โกรธถูกความโกรธครอบงำ แล้วไม่โกรธตอบบุคคลที่โกรธ อดทนได้ บุคคลนั้นชื่อว่าชนะสงครามกิเลสที่ชนะได้ยาก. พระเถระเมื่อจะแสดงว่า ก็บุคคลนั้นชนะสงครามกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ โดยที่แท้ยังได้ทำ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งสองฝ่ายด้วย จึงกล่าวว่า ประพฤติประโยชน์แก่คนทั้งสองฝ่าย ฯลฯ สงบระงับได้ ดังนี้. บุคคลใดรู้บุคคลอื่นผู้โกรธแล้วว่า เขาถูกความโกรธครอบงำ จึงมีเมตตาบุคคลนั้นหรือวางอุเบกขาอยู่ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ สงบระงับไว้ คืออดทนได้ ไม่โกรธตอบไป บุคคลนั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์เกื้อกูลอันนำความสุขในโลกทั้งสองมา ให้แก่ทั้งสองฝ่ายคือ แก่ตนและคนอื่น.
บทว่า อุภินฺนํ ติกิจฺฉนฺตํ ตํ ความว่า ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดต่อธรรม คือในธรรมคืออาจาระอันประเสริฐ เป็นคนโง่เขลา ย่อมสำคัญบุคคลผู้เยียวยาด้วยการเยียวยาพยาธิคือความโกรธ คืออดทนต่อทั้งสองฝ่าย คือ ต่อตนและคนอื่นว่า บุคคลผู้ไม่ทำอะไรๆ แก่คนผู้ด่าตน ประหารตน ว่าผู้นี้เป็นคนไม่ฉลาด อธิบายว่า นั้นเป็นความสำคัญโดยไม่แยบคายของชนเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 221
บางอาจารย์กล่าวว่า ติกิจฺฉนํ การเยียวยารักษาดังนี้ก็มี. อธิบายว่า มีการเยียวยารักษาเป็นสภาวะ
พราหมณ์ผู้ด่าได้ฟังธรรมที่พระเถระกล่าวอยู่อย่างนั้น เป็นผู้สลดใจ และมีจิตเลื่อมใส ขอขมาพระเถระแล้วบวชในสำนักของพระเถระนั้นนั่นแล. พระเถระเมื่อจะให้กรรมฐานแก่เธอจึงคิดว่า การเจริญเมตตากรรมฐาน เหมาะแก่ภิกษุนี้ จึงได้ให้เมตตากรรมฐาน เมื่อจะแสดงวิธี พิจารณาเป็นต้น ในเวลาเกิดความโกรธกลุ้มรุมเป็นต้น จึงกล่าวคำว่า ความโกรธพึงเกิดแก่ท่าน ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺเช เต สเจ ความว่า ถ้าเมื่อเธอบำเพ็ญเพียรพระกรรมฐานอยู่ ความโกรธที่สะสมมานานอาศัยบุคคลใดก็ตาม พึงเกิดขึ้น เพื่อจะระงับความโกรธนั้น เธอจงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ที่พระศาสดาตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้พวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำทราม เอาเลื่อยมีด้ามทั้งสองข้างมาเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ แม้ในเพราะเหตุนั้น ผู้ใดมีใจคิดร้ายในโจรแม้เหล่านั้น ผู้นั้นชื่อว่าไม่กระทำตามคำสอนของเรา ดังนี้.
บทว่า อุปฺปชฺเช เจ รเส ตณฺหา ความว่า ถ้าตัณหาคือความยินดีในรส เช่น รสหวานเป็นต้น พึงเกิดขึ้นแก่เธอไซร้ เพื่อจะระงับความยินดีนั้น จงระลึก คือหวนระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตรที่ ตรัสไว้อย่างนี้ว่า
ภรรยาและสามีเคี้ยวกินเนื้อบุตร ก็เพื่อข้ามให้พ้นทางกันดารเท่านั้น มิใช่เพื่อความอยากในรส ฉันใด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 222
แม้กุลบุตรก็ฉันนั้น บวชแล้วเสพบิณฑบาต เพียงเพื่อ... ฯลฯ... การอยู่ผาสุก ดังนี้.
บทว่า สเจ ธาวติ เต จิตฺตํ ความว่า ถ้าจิตของเธอมนสิการโดยไม่แยบคาย ย่อมวิ่งไป คืบซ่านไป แล่นไป ด้วยอำนาจฉันทราคะในกาม คือกามคุณ ๕ และด้วยอำนาจปรารถนาภพ ในบรรดาภพทั้งหลายมี กามภพเป็นต้น.
บทว่า ขิปฺปํ นิคฺคณฺห สติยา กิฏฺาทํ วิย ทุปฺปสุํ ความว่า เธอเมื่อจะให้จิตวิ่งไปอย่างนั้น จงใช้สติ ได้แก่ เชือก คือสติผูกไว้ที่หลักคือสมาธิ รีบข่มเสียโดยรวดเร็ว เหมือนบุรุษเอาเชือกผูกสัตว์เลี้ยงตัวโกงเกเร คือโคตัวร้ายซึ่งเคี้ยวกินข้าวกล้า ไว้ที่หลักทำให้อยู่ในอำนาจของตนฉะนั้น คือเธอจงทรมานโดยประการที่จะให้จิตหมดพยศเพราะปราศจากกิเลส. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระเถระยังเป็นปุถุชนอยู่ อดกลั่นการด่าเสียได้ เมื่อจะประกาศคุณอันประเสริฐ จึงกล่าวธรรมแก่มนุษย์เหล่านั้น ภายหลังจึงโอวาทตนด้วยคาถา ๒ คาถา แล้วเจริญด้วยวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้นั่นแล.
จบอรรถกถาพรหมทัตตเถรคาถาที่ ๑๒