พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. ภัททเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระภัททเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40633
อ่าน  327

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 254

เถรคาถา สัตตกนิบาต

๓. ภัททเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภัททเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 254

๓. ภัททเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภัททเถระ

[๓๖๓] เราเป็นบุตรคนเดียว ซึ่งเป็นที่รักของมารดาบิดา เพราะเหตุว่ามารดาบิดาได้เรามาด้วยการประพฤติวัตร และการอ้อนวอนขอเป็นอันมาก ก็มารดาและบิดาทั้งสอง นั้น มุ่งหวังความเจริญแสวงหาประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์ เรา จึงนำเรามาถวายแด่พระพุทธเจ้าแล้วทูลว่า บุตรของ ข้าพระองค์นี้เป็นสุขุมาลชาติได้รับแต่ความสุข เป็นบุตร ที่ข้าพระองค์ได้มาโดยยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาถะ ของโลก ข้าพระองค์ทั้งสองขอถวายบุตรสุดที่รักนี้ ให้ เป็นคนรับใช้ของพระองค์ ผู้ทรงชนะกิเลสมาร ก็ พระศาสดาทรงรับเราแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าจง รีบให้เด็กคนนี้บรรพชาเถิด เพราะเด็กคนนี้จักเป็นผู้รอบรู้ รวดเร็ว. พระศาสดาผู้ทรงชนะมาร รับสั่งให้พระอานนท์ บรรพชาให้เราแล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดง จิตของเราก็พ้นจากอาสวกิเลส ทั้งปวง ภายหลัง พระศาสดาทรงออกจากสมาบัติแล้ว เสด็จออกจากที่เร้น รับสั่งกะเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด ภัททะ การรับสั่งเช่นนั้น เป็นการอุปสมบทของเรา เรา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 255

เกิดมาได้ ๗ ปี ก็ได้อุปสมบท ได้บรรลุวิชชา ๓ น่า อัศจรรย์ ความที่ธรรมเป็นธรรมดี.

จบภัททเถรคาถา

อรรถกถาภัททเถรคาถาที่ ๓

คาถาของท่านพระภัททเถระ มีคำเริ่มต้นว่า เอกปุตฺโต ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

ได้ยินว่า พระเถระนี้เอาปัจจัย มีจีวรเป็นต้น บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ และภิกษุสงฆ์ประมาณหนึ่งแสน.

ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี ก็เมื่อจะเกิด มารดาบิดาไม่มีบุตร แม้จะทำการอ้อนวอนขอต่อเทวดาเป็นต้นก็ไม่ได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กราบทูลอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์ทั้งสองจักได้บุตรสักคนหนึ่งไซร้ จักถวายบุตรนั้นแก่พระองค์เพื่อต้องการให้เป็นทาส ดังนี้แล้วก็ไป. มีเทวบุตรตนหนึ่งจะหมดอายุ รู้ความประสงค์ของพระศาสดา ดำรงอยู่แล้ว ท้าวสักกะเทวราชจึงรับสั่ง ว่า เธอจงบังเกิดในตระกูลโน้น จึงบังเกิดในตระกูลเศรษฐีนั้น พวกญาติ ตั้งชื่อท่านว่า ภัททะ.

เขาเกิดอายุได้ ๗ ขวบ มารดาบิดาได้แต่งตัวแล้วนำเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทารกที่ข้าพระองค์ทั้งสอง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 256

ขอพระองค์ได้มานั้น คือเด็กคนนี้ ข้าพระองค์ทั้งสองขอมอบถวายเด็กคน นี้แด่พระองค์.

พระศาสดาทรงสั่งพระอานนทเถระว่า เธอจงบวชเด็กคนนี้ ก็แล ครั้นสั่งแล้วจึงเสด็จเข้าพระคันธกุฎี. พระเถระให้เขาบวชแล้ว บอกแนว ทางวิปัสสนาโดยย่อ. เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย เธอบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น บำเพ็ญภาวนาก็ได้ อภิญญา ๖. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน * ว่า

หมู่ชนทั้งปวงเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระผู้มีจิตเมตตา เป็นมหามุนีอัครนายกแห่งโลก ทั้งปวง. ชนทั้งปวงย่อมถวายอามิส คือ สัตตุก้อน สัตตุผง น้ำ และข้าวแด่พระศาสดา และในพระสงฆ์ผู้เป็นบุญ เขตอันยอดเยี่ยม. แม้เราก็จักนิมนต์พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดและพระสงฆ์ผู้ยอดเยี่ยม แล้วจักถวายทานแด่ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ผู้คงที่. คนเหล่านี้เป็น ผู้อันเราส่งไปให้นิมนต์พระตถาคต และภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม. บัลลังก์ทองมีค่าแสนหนึ่ง ลาดด้วยเครื่องลาดวิเศษมีขนยาว ด้วยเครื่องลาดยัดนุ่น เครื่องลาดมีรูปดอกไม้ ผ้าเปลือกไม้และผ้าฝ้าย. เราได้ ให้จัดตั้งอาสนะอันควรค่ามาก สมควรแด่พระพุทธเจ้า. พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลกประเสริฐกว่าเทวดา ผู้องอาจกว่านระ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์


๑. ขุ. อุ. ๓๒/ข้อ ๔๕.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 257

เสด็จเข้ามาสู่ประตูบ้าน เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ต้อนรับพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก ผู้ทรงยศ นำเสด็จเข้าสู่เรือนของตน. เรามีจิตเลื่อมใส มีใจ โสมนัส อังคาสภิกษุ ๑ แสน และพระพุทธเจ้าผู้นายก ของโลกให้อิ่มหนำด้วยข้าวชั้นพิเศษ. พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชา แล้วประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้ใดถวายอาสนะทอง อันลาดด้วยเครื่องลาด วิเศษมีขนยาวนี้ เราตถาคตจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่าน ทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็นท้าวเทวราชอันนาง อัปสรแวดล้อม เสวยสมบัติอยู่ ๗๔ ครั้ง จักได้เป็นเจ้า ประเทศราชครอบครองพสุธา ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ๕๑ ครั้ง จักเป็นผู้มีสกุลสูงในภพและ กำเนิดทั้งปวง ภายหลัง ผู้นั้นอันกุศลมูลกระตุ้นเตือนแล้ว จับบวชเป็นสาวกของพระศาสดา โดยชื่อว่าภัททิยะ. เรา เป็นผู้ขวนขวายในวิเวก มีปกติอยู่ในเสนาสนะอันสงัด. ผลทั้งปวงเราบรรลุแล้ว วันนี้เราเป็นผู้สละกิเลสได้แล้ว. พระสัพพัญญูผู้นายกของโลก ทรงทราบคุณทั้งปวงของ เราแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอน ของพระพุทธเจ้า เราได้กระทำตามแล้ว.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 258

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรามว่าอภิญญา ๖ เกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว จึง ตรัสว่า มาเถิดภัททะ. ทันใดนั้นเอง พระภัททะนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนประคองอัญชลีอยู่ในที่ใกล้พระศาสดา. ก็พระวาจา ที่พระศาสดารับสั่งดังนั้นแหละได้เป็นอุปสมบทของเธอ. ได้ยินว่า การ อุปสมบทนั่นชื่อว่าพุทธอุปสมบท อุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า. พระเถระเมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล โดยมุ่งกล่าวประวัติของตนตั้งแต่เกิด จึงได้กล่าวคาถา (๑) เหล่านี้ว่า

เราเป็นบุตรคนเดียว ซึ่งเป็นที่รักของมารดาบิดา เพราะเหตุว่า มารดาบิดาได้เรามาด้วยการประพฤติวัตร และการอ้อนวอนขอเป็นอันมาก ก็มารดาบิดาทั้งสองนั้น มุ่งหวังความเจริญ แสวงหาประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์เรา จึงนำเรามาถวายแด่พระพุทธเจ้าแล้วทูลว่า บุตรของข้าพระองค์นี้เป็นสุขุมาลชาติได้รับแต่ความสุข เป็นบุตรที่ ข้าพระองค์ได้มาโดยยาก. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาถะ ของโลก ข้าพระองค์ทั้งสองขอถวายบุตรสุดที่รักนี้ ให้ เป็นคนรับใช้ของพระองค์ ผู้ทรงชนะกิเลสมาร. ก็ พระศาสดาทรงรักเราแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า จงรีบให้เด็กคนนี้บรรพชาเถิด เพราะเด็กคนนี้จักเป็นผู้ รอบรู้รวดเร็ว. พระศาสดาผู้ทรงชนะมารรับสั่งให้พระอานนท์บรรพชาให้เรา แล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี. เมื่อ พระอานนท์บรรพชาให้เรา แล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี. เมื่อ พระอาทิตย์ยังไม่อัสดง จิตของเราก็พ้นจากอาสวกิเลส


๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๖๓.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 259

ทั้งปวง ภายหลัง พระศาสดาทรงออกจากสมาบัติแล้ว เสด็จออกจากที่เร้น รับสั่งกะเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด. ภัททะ การรับสั่งเช่นนั้น เป็นการอุปสมบทของเรา เรา เกิดมาได้ ๗ ปี ก็ได้อุปสมบท ได้บรรลุวิชชา ๓ น่า อัศจรรย์ ความที่ธรรมเป็นธรรมดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตจริยาหิ ความว่า ด้วยการได้ฟังคำ ของสมณพราหมณ์ทั้งหลายที่กล่าวว่า ท่านทั้งหลายกระทำอย่างนี้แล้วจัก ได้บุตร แล้วจึงประพฤติวัตรมีการดื่มนมสดไม่บริโภคอาหารเป็นต้น. บทว่า อายาจนาหิ ได้แก่ ด้วยขอต่อเทวดาและขอต่อพระศาสดา, ก็คำว่า อายาจนาหิ นี้เท่านั้นเป็นเหตุในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวคำอื่น เพื่อแสดงการปฏิบัติของมารดาบิดา และเพื่อแสดงภาวะที่มารดาบิดาได้ บุตรยาก.

บทว่า เต โยค มาตาปิตโร. บทว่า อุปนามยุํ แปลว่า นำเข้า ไปถวาย.

บทว่า สุเขธิโต ได้แก่ เจริญด้วยความสุข. บทว่า เต แปลว่า แด่พระองค์. บทว่า ปริจาริกํ ได้แก่ ให้เป็นผู้กระทำกรณียกิจ.

บทว่า เหสฺสตฺยาชานิโย ยํ ความว่า เด็กคนนี้จักเป็นผู้รู้ได้ รวดเร็วในศาสนาของเรา. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสว่า จงรีบ ให้บวชในวันนี้ทีเดียว.

บทว่า ปพฺพาเชตฺวาน ได้แก่ สั่งพระอานนทเถระให้บวชให้.

บทว่า วิหารํ ได้แก่ พระคันธกุฎี.

บทว่า อโนคฺคตสฺมึ สูริยสฺมึ ได้แก่ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดง.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 260

บทว่า ตโต จิตฺตํ วิมุจฺจิ เม ความว่า เบื้องหน้าแต่ปรารภ วิปัสสนานั้น ไม่นานนักจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง คือเรา เป็นผู้สิ้นอาสวะแล้ว.

บทว่า ตโต ได้แก่ ภายหลังแต่การสิ้นอาสวะของเรา.

บทว่า นิรากตฺวา ได้แก่ เข้าผลสมาบัติที่ตนเข้าแล้วออกจาก ผลสมาบัตินั้น.

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ออกจากที่เร้น. บทว่า สา เม อาสูปสมฺปทา ความว่า พระวาจาของพระศาสดาที่ตรัสเจาะจงเราว่า มา เถิดภัททะ นั้นนั่นแลเป็นอุปสมบทของเรา.

ด้วยบทว่า เราเกิดได้ ๗ ปีก็ได้อุปสมบท นี้ พระเถระแสดงถึง การอนุเคราะห์อย่างดีที่พระศาสดาทรงกระทำ และความที่พระศาสนาเป็น นิยยานิกธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ด้วยประการอย่างนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า น่าอัศจรรย์ความที่ธรรมเป็นธรรมดี ดังนี้.

ก็ในที่นี้ พระเถระแม้จะประกาศความเป็นพระขีณาสพด้วยคำว่า

"จิตของเราหลุดพ้นแล้ว" ก็ได้แสดงเอกเทศของโลกิยอภิญญาไว้ว่า เรา บรรลุวิชชา ๓ โดยลำดับ เพื่อจะประกาศความที่ตนมีอภิญญา ๖. ด้วย เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า เราทำให้แจ้งอภิญญา ๖ แล้ว.

จบอรรถกถาภัททเถรคาถาที่ ๓