พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. สรภังคเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสรภังคเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40635
อ่าน  484

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 269

เถรคาถา สัตตกนิบาต

๕. สรภังคเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสรภังคเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 269

๕. สรภังคเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระสรภังคเถระ

[๓๖๕] เราหักต้นหญ้าด้วยมือทั้งสองทำกระท่อมอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อโดยสมมติว่า สรภังคะ

วันนี้เราไม่ ควรหักต้นหญ้าด้วยมือทั้งสองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เราทั้งหลายแล้ว.

เมื่อก่อน เราผู้ชื่อว่าสรภังคะ ไม่เคยได้เห็นโรคคืออุปาทานขันธ์ ๕ ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น โรคนั้นอันเราผู้ทำตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เห็นแล้ว.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ ได้เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ก็ได้เสด็จไปแล้วโดยทางนั้น.

พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้ ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส เสด็จอุบัติโดยธรรมกาย ผู้คงที่ ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ ด้วยทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย

ทุกข์อันไม่มีที่สุดในสงสาร ย่อมสิ้นไป ในนิโรธที่ทรงแสดงแล้ว เพราะกายนี้แตก และเพราะความสิ้นชีวิต

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 270

การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว จากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.

จบสรภังคเถรคาถา

รวมพระคาถา

พระเถระ ๕ องค์ได้กล่าวคาถาองค์ละ ๗ คาถา รวมเป็น ๓ คาถา คือ

๑. พระสุนทรสมุททเถระ ๒. พระลกุณฏกภัตทิยเถระ ๓. พระภัททเถระ ๔. พระโสปากเถระ ๕. พระสรภังคเถระ.

จบสัตตกนิบาต

อรรถกถาสรภังคเถรคาถาที่ ๕

คาถาของ ท่านพระสรภังคเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สเร หตฺเถหิ ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมกุศลอันเป็นที่เข้าไปอาศัยวิวัฏฏะ คือพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรพราหมณ์คนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ ได้มีชื่อตามวงศ์สกุลว่า อนภิลักขิต.

เขาเจริญวัยแล้ว ละกามบวชเป็นดาบส หักไม้แขมและหญ้าอ้อด้วยตนเอง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 271

เอามาทำบรรณศาลาอยู่. ตั้งแต่นั้น ดาบสนั้นจึงมีสมัญญานามว่า สรภังคะ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ ทรงเห็นอุปนิสัยพระอรหัตของดาบสนั้น จึงเสด็จไปในที่นั้น ทรงแสดงธรรม. ดาบสนั้นได้ศรัทธาจึงบวช บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต แล้วอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ. ครั้งนั้น บรรณศาลา ที่พระเถระนั้นสร้างไว้ในคราวเป็นดาบส ได้ชำรุดทรุดโทรม. พวกชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงกล่าวกันว่า ท่านขอรับ ทำไมท่านไม่ซ่อมแซมกุฎีนี้?. พระเถระเมื่อจะประกาศกิจทั้งปวงนั้นว่า บัดนี้ เราไม่อาจทำทำเช่นนั้นได้ จึงได้กล่าวคาถา๑ ๒ คาถาว่า

เราหักต้นหญ้าอ้อด้วยมือทั้งสองทำกระท่อมอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อโดยสมมติว่า สรภังคะ.

วันนี้ เราไม่ควร หักต้นหญ้าอ้อด้วยมือทั้งสองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เราทั้งหลายไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเร หตฺเถหิ ภญฺชิตฺวา ความว่า ใน กาลก่อน คือในคราวเป็นดาบส เราเอามือทั้งสองหักไม่เเขมและหญ้า สร้างเป็นกุฎีหญ้าอาศัย คืออยู่นั่งและนอน.

บทว่า เตน ได้แก่ ด้วยการหักต้นหญ้าอ้อทั้งหลายมาสร้างกุฎี.

บทว่า สมฺมุติยา ความว่า ได้มีชื่อว่า สรภังคะ ตามสมมติเรื่อง ราวโดยลำดับ.


๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๖๕.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 272

บทว่า น มยฺหํ กปฺปเต อชฺช ความว่า วันนี้ คือบัดนี้ เร อุปสมบทแล้ว ไม่ควรหักต้นหญ้าอ้อด้วยมือทั้งสอง เพราะเหตุไร? เพราะพระสมณโคดมผู้เรื่องยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แก่เราทั้งหลาย. ด้วย คำนั้นพระเถระแสดงว่า สิกขาบทที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ แก่เรา ทั้งหลายนั้น เราทั้งหลายย่อมไม่ล่วงละเมิด แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.

พระเถระแสดงเหตุในการไม่ซ่อมแซมกุฎีหญ้าโดยประการหนึ่ง ด้วย ประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงเหตุนั้นโดยปริยายอื่นอีก จึงกล่าว คาถานี้ว่า

เมื่อก่อน เราผู้ชื่อว่าสรภังคะ ไม่ได้เห็นโรคคือ อุปาทานขันธ์ ๕ ครบถ้วนทั้งสิ้น โรคนี้นั้นอันเราผู้กระทำตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพได้เห็นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกลํ แปลว่า ทั้งสิ้น.

บทว่า สมตฺตํ แปลว่า ครบบริบูรณ์ อธิบายว่า ไม่เหลือจากส่วน ทั้งปวง.

ด้วยบทว่า โรคํ นี้ พระเถระกล่าวหมายเอาอุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่า เป็นโรค เพราะอรรถว่าเสียดแทงโดยความเป็นตัวทุกข์เป็นต้น.

บทว่า นาทฺทสํ ปุพฺเพ ความว่า ในกาลก่อนแต่ได้รับโอวาทของ พระศาสดา เราไม่เคยเห็น.

บทว่า โสยํ โรโค ทิฏฺโ วจนกเรนาติเทวสฺส ความว่า โรค กล่าวคือเบญขันธ์นี้นั้น อันพระสรภังคะผู้ตอบแทนพระโอวาทของพระศาสดา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 273

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าผู้เป็นเทพยิ่งใหญ่ เพราะล่วงเทพแม้ทั้งปวง คือ สมมติเทพ อุปปัตติเทพ และวิสุทธิเทพ ด้วยคุณมีศีลเป็นต้นของตน ดำรงอยู่ ได้เห็นแล้ว คือกำหนดรู้แล้วโดยความเป็นเบญจขันธ์ ด้วยปัญญา อันสัมปยุตด้วยมรรค อันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา. ด้วยบทว่า โสยํ โรโค เป็นต้นนี้ พระเถระแสดงว่า แม้กุฎีคืออัตภาพก็ยิ่งไม่ห่วงใยอย่างนี้ อย่างไรจักซ่อมแซมกุฎีหญ้าภายนอก.

บัดนี้ พระเถระเมื่อจะพยากรณ์การบรรลุพระอรหัตของตนอย่างนี้ว่า หนทางที่เราผู้เมื่อปฏิบัติก็ได้เห็นโรค คืออัตภาพตามความเป็นจริงนี้นั้น เป็นทางทั่วไปสำหรับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์. เพราะเหตุที่เราตั้งอยู่ใน ธรรมคือโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น อันเป็นดุจทองคำแบ่งครึ่ง (สุกปลั่งแวววาว) ซึ่งผู้ใดปฏิบัติตามแล้ว จึงได้ถึงความสิ้นทุกข์ ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ความว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ ได้เสด็จไปแล้วโดยทางใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ก็เสด็จไปทางนั้น.

พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้ ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่ง ถึงความสิ้นกิเลส เสด็จอุบัติโดยธรรมกายผู้คงที่ ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ ด้วยทรงเอ็นดูอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 274

ทุกข์อันไม่มีที่สุดในสงสาร ย่อมสิ้นไปในนิโรธที่ทรงแสดงแล้ว เพราะกายนี้แตก และเพราะความสิ้นชีวิต การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นย่อมไม่มี เราเป็นผู้หลุดพ้น แล้วจากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยเนว มคฺเคน ได้แก่ อริยมรรคอัน ประกอบด้วยองค์ ๘ ใดแล อันเป็นส่วนเบื้องต้น.

บทว่า คโต แปลว่า ถึง คือบรรลุพระนิพพาน.

บทว่า วิปสฺสี ได้แก่ พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

บทว่า กกุสนฺธ เป็นบทแสดงไขที่ไม่มีวิภัตติ. บาลีว่า กกุสนฺธโกนาคมน ดังนี้ก็มี.

บทว่า เตนญฺชเสน ได้แก่ ทาง คืออันทางประเสรินั้นนั่นแหละ.

บทว่า อนาทานา ได้แก่ ผู้ไม่ถือมั่น หรือผู้ไม่มีปฏิสนธิ.

บทว่า ขโยคธา ได้แก่ ผู้หยั่งลงสู่พระนิพพาน คือมีพระนิพพาน เป็นที่พึ่ง.

บทว่า เยหายํ เทสิโต ธมฺโม ความว่า ศาสนธรรมนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์เหล่าใดทรงแสดงแล้ว คือทรงประกาศแล้ว.

บทว่า ธมฺมภูเตหิ ได้แก่ มีธรรมเป็นสภาวะ เพราะเป็นธรรมกาย คือเกิดจากโลกุตรธรรม ๙ หรือบรรลุธรรม.

บทว่า ตาทิภิ ได้แก่ ผู้ถึงความเป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหวในอิฏฐารมณ์ เป็นต้น.

ด้วยบทว่า จตฺตาริ อริยสจฺจานิ เป็นต้น พระเถระแสดงถึงธรรม ที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงแสดง.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 275

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตาริ เป็นการกำหนดการนับ.

บทว่า สจฺจานิ เป็นเครื่องแสดงถึงธรรมที่กำหนดไว้ แต่โดย วจนัตถะ คือวิเคราะห์ความหมายของศัพท์ ชื่อว่า อริยสัจ เพราะประเสริฐ และจริง เพราะอรรถว่าแท้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อริยสัจ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงสัจจะ หรือเพราะสัจจะอันกระทำความ เป็นพระอริยะ. ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็นของน่าเกลียด และเพราะเป็นของว่างเปล่า ได้แก่อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕. ชื่อว่า สมุทัย ได้แก่ตัณหา เพราะเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์. ชื่อว่า มรรค เพราะฆ่ากิเลสทั้งหลายไป หรือเพราะผู้ต้องการพระนิพพานจะต้องแสวงหา ได้แก่ธรรม ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. ชื่อว่า นิโรธ เพราะในพระนิพพานนั้นไม่มีฝั่ง กล่าว คือสงสารเป็นที่เที่ยวไป หรือว่าเมื่อบุคคลบรรลุพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมไม่มีฝั่ง หรือเป็นที่ดับทุกข์ ได้แก่พระนิพพาน.

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุกฺขกฺขโย เป็นที่สิ้นทุกข์ ในที่นี้ มีความสังเขปเพียงเท่านี้ ส่วนความพิสดารพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในวิสุทธิมรรคนั้นแล.

บทว่า ยสฺมึ ความว่า เมื่อบรรลุนิโรธ คือพระนิพพานใด.

บทว่า นิวตฺตเต มีวาจาประกอบความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายผู้มีธรรมกาย ทรงแสดงธรรมนี้ว่า เมื่ออริยมรรคภาวนามีอยู่ ทุกข์มีชาติเป็นต้นอันหาที่สุดมิได้ คือไม่มีที่สุด ย่อมไม่เป็นไปในสงสารนี้ คือย่อมขาดสูญ ความที่ทุกข์ขาดสูญนั้น เป็นนิโรธ. พระเถระแสดงโดย สรุปถึงการบรรลุพระอรหัตของตน อันบ่งบอกด้วยกำหนดรู้ทุกข์ว่า เรา เห็นโรคคือเบญจขันธ์ โดยมีนัยอาทิว่า เภทา เพราะกายแตก ดังนี้. ส่วน

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 276

ในบาลีว่า ทุกข์ย่อมเกิดในสงสารใด ประกอบความแห่งคาถาทั้งปวง ในบาลีนั้นว่า ทุกข์มีชาติเป็นต้นอันหาที่สุดมิได้นี้ ย่อมเกิดในสงสาร ที่เข้าใจกันว่าลำดับแห่งขันธ์เป็นต้นใด สงสารนั้น อื่นจากการถึงทุกข์นี้ ชื่อว่าภพใหม่เพราะเกิดบ่อยๆ. เพราะมีชีวิตินทรีย์นี้สูญสิ้นไปเพราะความ แตก คือความพินาศแห่งขันธ์ ๕ กล่าวคือกาย นอกเหนือขึ้นไปย่อม ไม่มี (อะไร) เพราะฉะนั้น เราจึงหลุดพ้น คือพรากจากสิ่งทั้งปวง คือจากกิเลสและภพทั้งปวงแล.

จบอรรถกถาสรภังคเถรคาถาที่ ๕

จบปรมัตถทีปนี

อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา

สัตตกนิบาต