๓. มหากัปปินเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระมหากัปปินเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 348
เถรคาถา ทสกนิบาต
๓. มหากัปปินเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหากัปปินเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 348
๓. มหากัปปินเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหากัปปินเถระ
[๓๗๒] ผู้ใดพิจารณาเห็นแจ้งหรือแสวงหาประโยชน์ ย่อม พิจารณาเห็นกิจทั้งสอง คือที่เป็นประโยชน์และไม่เป็น ประโยชน์ อันยังไม่มาถึง ได้ก่อนอมิตรหรือศัตรูของผู้นั้น ซึ่งคอยแสวงหาช่องอยู่ไม่ทันเห็น ผู้นั้นเรียกว่า ผู้มีปัญญา ผู้ใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ด้วยดีแล้ว อบรมแล้ว โดยลำดับตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมยัง โลกนี้ให้สว่างไสวเหมือนพระจันทร์เพ็ญพ้นออกจากกลีบ เมฆฉะนั้น จิตของเราผ่องใสแล้วหนอ อบรมดีแล้ว หา ประมาณมิได้ เป็นจิตประคองไว้แล้วเป็นนิตย์ ย่อมยังทิศ ทั้งปวงให้สว่างไสวบุคคลผู้มีปัญญาถึงจะสิ้นทรัพย์ ก็ยังมี ชีวิตอยู่ได้เป็นแน่แท้ ส่วนบุคคลผู้ไม่มีปัญญาถึงจะมี ทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้ ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินสิ่งที่ตนฟัง มาแล้ว เป็นเครื่องเจริญชื่อเสียงและความสรรเสริญ.
นรชนในโลกนี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญา แม้ในเวลาที่ ตนตกทุกข์ ก็ย่อมได้รับความสุข ธรรมนี้มิใช่มีในวันนี้ ไม่ใช่น่าอัศจรรย์ และไม่ใช่เคยมีมาแล้ว แต่ดูเหมือน เป็นของที่ไม่เคยมีในโลก ซึ่งเป็นที่เกิดที่ตาย เมื่อสัตว์ เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นอยู่กับความตายแน่แท้ สัตว์ที่ เกิดมาแล้วๆ ในโลกนี้ ย่อมตายไปทั้งนั้น เพราะสัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 349
ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ชีวิตอันใดเป็นประโยชน์ แก่บุรุษเหล่าอื่น ชีวิตอันนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ ที่ตายไปแล้ว อันการร้องไห้ถึงผู้ตายไปแล้ว ย่อมไม่ทำ ให้เกิดผล ไม่ทำให้เกิดความสรรเสริญ สมณะและ พราหมณ์ไม่สรรเสริญเลย การร้องไห้ย่อมเบียดเบียน จักษุและร่างกาย ทำให้เสื่อมวรรณะ กำลัง และความ คิด ชนทั้งหลายผู้เป็นข้าศึกย่อมมีจิตยินดี ส่วนชนผู้ เป็นมิตรก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้น บุคคล พึงปรารถนาท่านผู้เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต ให้อยู่ใน สกุลของตน เพราะกิจทุกอย่างจะสำเร็จได้ ก็ด้วยกำลัง ปัญญาของท่านที่เป็นนักปราชญ์ และเป็นพหูสูตเท่านั้น เหมือนบุคคลข้ามแม่น้ำอันเต็มฝั่งด้วยเรือฉะนั้น.
จบมหากัปปินเถรคาถา
อรรถกถามหากัปปินเถรคาถาที่ ๓
คาถาของท่านพระมหากัปปินเถระ มีเริ่มต้นว่า อนาคตํ โย ปฏิกจฺจ ปสฺสติ ดังนี้เป็นต้น. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่าน พระมหากัปปินเถระนี้ บังเกิดในเรือนมีสกุล ในนครหังสาวดี รู้เดียงสา แล้ว ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 350
ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุ จึงกระทำบุญญาธิการ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดตำแหน่งนั้นแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
เขาทำกุศลในภพนั้นจนตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและ มนุษยโลก ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ บังเกิด ในเรือนมีสกุล ในกรุงพาราณสี รู้เดียงสาแล้ว เป็นหัวหน้าหมู่คน ๑,๐๐๐ คน ร่วมช่วยกันสร้างบริเวณใหญ่ อันประดับด้วยห้อง ๑,๐๐๐ ห้อง. ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ทำกุศลจนตลอดชีวิต มอบหน้าที่ให้อุบาสกนั้น พร้อมด้วยบุตรและภริยา พากันบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลก เป็นหัวหน้าและมนุษยโลก ตลอดพุทธันดรหนึ่ง.
ในคนเหล่านั้น หัวหน้าคณะ ก่อนหน้าแต่พระศาสดาของพวกเรา ทรงบังเกิดขึ้นนั่นแล ทรงบังเกิดในพระราชวัง ในพระนครชื่อว่า กุกกุฏะ ในปัจจันตประเทศ พระกุมารนั้นมีพระนามว่า กัปปินะ.
พวกบุรุษที่เหลือ พากันบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ ในนครนั้นนั่น แหละ. พอพระราชบิดาเสด็จล่วงไป กัปปินกุมารทรงได้รับเศวตฉัตร เป็นพระเจ้ามหากัปปินะ. พระเจ้ามหากัปปินะนั้น เพราะพระองค์ได้ฟัง สมบัติอันน่าปลื้มใจ พอเช้าตรู่ก็ทรงส่งพวกราชทูตไปตามประตูเมืองทั้ง ๔ โดยพลันว่า พวกเจ้ากลับจากที่ที่พบเห็นพวกพหูสูตแล้ว จงบอกให้เรา ทราบเถิด.
ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาของพวกเราเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ทรง อาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่. ในกาลนั้น พวกพ่อค้าชาวกรุงสาวัตถี พา กันถือเอาสิ่งของที่เกิดขึ้นในกรุงสาวัตถี ไปสู่พระนครนั้นแล้ว เก็บสิ่ง ของแล้ว พากันคิดว่า พวกเราจักเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว แล้วพากันถือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 351
บรรณาการไป กราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงให้เรียกเขาเหล่านั้นมา แล้ว เมื่อพวกเขามอบถวายบรรณาการแล้วยืนไหว้ จึงตรัสถามว่า พวกเจ้า พากันมาจากไหน? พวกเขากราบทูลว่า จากกรุงสาวัตถี พระเจ้าข้า. พระราชาจึงตรัสถามว่า ที่แว่นแคว้น มีภิกษาหาได้ง่ายแลหรือ พระราชา ทรงตั้งอยู่ในธรรมหรือเปล่า? พวกเขากราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่ สมมติเทพ. พระราชาตรัสถามว่า ในประเทศของพวกเจ้า มีธรรมเช่นไร ที่กำลังเป็นไปในบัดนี้. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้อนั้น พวกข้าพระองค์มิอาจจะกราบทูลด้วยทั้งใบหน้าอันเศร้าหมอง พระเจ้าข้า. พระราชาจึงทรงพระราชทานน้ำด้วยพระสุวรรณภิงคาร. พวกพ่อค้า เหล่านั้น ล้างหน้าแล้ว จึงบ่ายหน้าไปทางพระทศพล ประคองอัญชลี แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาว่า พระพุทธรัตนะอุบัติ ขึ้นแล้ว ในประเทศของพวกข้าพระองค์.
เพียงได้สดับคำว่า พุทฺโธ เท่านั้น ปีติก็เกิดขึ้น แผ่ไปทั่วพระสรีระทั้งสิ้นของพระราชา. ต่อแต่นั้น พระราชาก็ตรัสว่า พ่อคุณทั้งหลาย พ่อจงกล่าวคำว่า พุทฺโธ อีกเถิด. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่ สมมติเทพ พวกข้าพระองค์ขอกล่าวย้ำอีกว่า พุทฺโธ. พระราชารับสั่ง ให้พวกพ่อค้ากล่าวอย่างนั้นถึง ๓ ครั้ง ทรงเลื่อมใส ในบทนั้นนั่นแล ว่า บทว่า พุทฺโธ เป็นบทที่มีคุณหาประมาณมิได้ ดังนี้แล้ว พระราชทาน ทรัพย์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ให้แล้ว ตรัสถามว่า พ่อคุณ จงพากันกล่าว บทอื่นอีกเถิด. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาว่า พระธรรมรัตนะ อุบัติขึ้นแล้วในโลก. พระราชาทรงสดับบทแม้นั้นแล้ว พระราชทานทรัพย์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ให้เหมือนอย่างนั้นแล แล้วตรัส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 352
ถามว่า พ่อคุณ จงพากันกล่าวบทอื่นอีกเถิด. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระสังฆรัตนะอุบัติขึ้นแล้ว. พระราชาทรงสดับบทแม้ นั้นแล้ว พระราชทานทรัพย์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ให้แล้ว เสด็จออกจาก ที่นั้นด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า.
แม้พวกอำมาตย์ ก็ออกไปแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน. พระราชา พร้อมด้วยอำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคาแล้ว ทรงกระทำ สัจจะอธิษฐานว่า ถ้าพระศาสดาทรงเป็นสัมมาสัมพุทธะจริงไซร้, ขอน้ำ จงอย่าเปียกแม้เพียงกีบเท้าม้าเหล่านี้เลย แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาอัน เต็มเปี่ยมไปบนหลังน้ำนั่นแล เสด็จข้ามแม่น้ำแม้อื่นอีกที่กว้างตั้งกึ่งโยชน์ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เสด็จถึงแม่น้ำใหญ่สายที่ ๓ ชื่อว่า จันทภาคาแล้ว เสด็จข้ามแม่น้ำแม้นั้น ด้วยการทำสัจจะอธิษฐานนั้นเหมือนกัน.
ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้นเอง แม้พระศาสดาทรงออกจากพระมหากรุณาสมาบัติแล้ว ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นว่า วันนี้พระเจ้า มหากัปปินะ จะทรงสละละราชสมบัติ พร้อมด้วยอำมาตย์ผู้เป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน จักเดินทางมาสิ้นหนทาง ๓๐๐ โยชน์ เพื่อบวชในสำนักของ เรา แล้วทรงดำริว่า เราควรทำการต้อนรับพวกเขาเหล่านั้น แล้วทรงทำ การชำระพระสรีระแต่เช้าตรู่ มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จเที่ยวไป บิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เฉพาะพระองค์เองเท่านั้น เสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่งขัดสมาธิบัลลังก์ที่โคนต้น นิโครธใหญ่ ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณะ ๖ ประการไป ณ ที่เฉพาะ ต่อท่า ที่พระราชาเป็นต้นเหล่านั้นข้าม ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 353
พระราชาและอำมาตย์เหล่านั้น กำลังพากันข้ามท่านั้นอยู่ ก็พลัน แลดูพระพุทธรัศมีที่แผ่ซ่านไปทางโน้นทางนี้ ทรงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงความตกลงใจด้วยการเห็นเท่านั้นว่า พวกเรามาเพื่อมุ่งพระศาสดาพระองค์ใด นี่คือพระศาสดาพระองค์นั้นแน่นอน ดังนี้แล้ว ตั้งแต่ที่ที่เห็นแล้ว ก็น้อมกายลง กระทำการนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระราชาทรงจับที่ข้อพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ถวาย บังคมพระศาสดา แล้วประทับนั่งพร้อมกับอำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน ณ ที่ สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้นแล้ว. ใน เวลาจบพระธรรมเทศนา พระราชาพร้อมกับบริษัท ทรงดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า :-
พระพิชิตมาร ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง พระนามว่า ปทุมุตตระ ปรากฏในอัษฎากาศเหมือนพระอาทิตย์ปรากฏ ในอากาศ ในสรทกาลฉะนั้น พระองค์ยังดอกบัวคือ เวไนยสัตว์ให้บานด้วยพระรัศมี คือพระดำรัส สมเด็จ พระโลกนายกทรงยังเปือกตม คือกิเลส ให้แห้งไปด้วย พระรัศมี คือพระปรีชา ทรงกำจัดยศของพวกเดียรถีย์ เสียด้วยพระญาณปานดังเพชร เหมือนพระอาทิตย์กำจัด ความมืดฉะนั้น สมเด็จพระทิพากรเจ้า ทรงส่องแสง สว่างจ้า ทั้งกลางคืนและกลางวัน ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณ เหมือนสาครเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ ทรงยังเมฆ คือธรรมให้ตกลงเพื่อหมู่สัตว์ เหมือนเมฆ ยังฝนให้ตกฉะนั้น.
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๒๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 354
ครั้งนั้น เราเป็นผู้พิพากษาอยู่ในพระนครหังสวดี ได้ เข้าไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้มีพระนามว่า ปทุมุตตระ ซึ่งกำลังประกาศคุณของพระสาวกผู้มีสติ ผู้กล่าวสอน ภิกษุทั้งหลายอยู่ ทรงยังใจของเราให้ยินดี เราได้ฟังแล้ว เกิดมีปีติโสมนัส นิมนต์พระตถาคต พร้อมด้วยศิษย์ ให้ เสวยและฉันแล้ว ปรารถนาฐานันดรนั้น.
ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีส่วนเสนอด้วย หงส์ มีพระสุรเสียงเหมือนหงส์และมโหระทึก ได้ตรัสว่า จงดูมหาอำมาตย์ผู้นี้ ผู้แกล้วกล้าในการตัดสิน หมอบ อยู่แทบเท้าของเรา มีกายประดุจลอยขึ้นและมีใจฟูด้วย ปีติ มีวรรณะเหมือนแสงแห่งแก้วมุกดา งดงามนัยน์ตา และหน้าผ่องใส มีบริวารเป็นอันมาก ทำราชการ มียศใหญ่ มหาอำมาตย์นี้ เขาปรารถนาตำแหน่งภิกษุ ผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ เพราะพลอยยินดีด้วยการบริจาค บิณฑบาตนี้ และด้วยการตั้งเจตจำนงไว้ เขาจักไม่เข้า ถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป จักเสวยความเป็นผู้มีโชคดีใน หมู่ทวยเทพ และจักเสวยความเป็นใหญ่ในหมู่มนุษย์ จักบรรลุถึงพระนิพพานด้วยผลกรรมส่วนที่เหลือ ในแสน กัปแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ทรงสมภพ ในวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มหาอำมาตย์นี้ จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 355
พระศาสดามีนามว่า กัปปินะ ต่อแต่นั้น เราก็ได้ทำ สักการะด้วยดีในพระศาสนาของพระชินสีห์ ละร่าง มนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต.
เราครองราชย์ในเทวดาและมนุษย์ โดยเป็นส่วนๆ. แล้ว เกิดในสกุลช่างหูก ที่ตำบลบ้านใกล้พระนคร พาราณสี เรากับภรรยามีบริวารแสนคน ได้อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ได้ถวายโภชนาหารตลอด ไตรมาส แล้วให้ครองไตรจีวร เราทั้งหมดจุติจากอัตภาพ นั้นแล้ว ได้เข้าถึงสวรรค์ชั้นไตรทศ เราทั้งหมดจุติจาก สวรรค์นั้นแล้ว กลับมาเป็นมนุษย์อีก พวกเราเกิดใน กุกกุฏบุรี ข้างป่าหิมพานต์ เราได้เป็นราชโอรสผู้มียศ ใหญ่ พระนามว่า กัปปินะ พวกที่เหลือเกิดในสกุล อำมาตย์ เป็นบริวารของเรา เราเป็นผู้ถึงความสุข อัน เกิดแต่ความเป็นมหาราชา ได้สำเร็จสิ่งที่ต้องประสงค์ ทุกประการ ได้สดับข่าวสาสน์อุบัติของพระพุทธเจ้า ที่ พวกพ่อค้าบอกดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าผู้เอกอัครบุคคลไม่มี ใครเสมอเหมือน เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรง ประกาศพระสัทธรรม อันเป็นธรรมไม่ตาย เป็นอุดมสุข และสาวกของพระองค์เป็นผู้หมั่นขยัน พ้นทุกข์ ไม่มี อาสวกิเลส
ครั้นเราได้สดับคำของพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ได้ทำการ สักการะพวกพ่อค้าสละราชสมบัติ พร้อมด้วยอำมาตย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 356
เป็นพุทธมามกะ พากันออกเดินทาง ได้พบแม่น้ำมหาจันทานที มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง ทั้งไม่มีท่าน้ำ ไม่มีแพ ข้ามได้ยาก มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว เราระลึก ถึงพระพุทธคุณแล้ว ก็ข้ามแม่น้ำไปได้โดยสวัสดี ถ้า พระพุทธองค์ทรงข้ามกระแสน้ำคือภพไปได้ ถึงที่สุดแห่ง โลก ทรงรู้แจ้งชัดไซร้ ด้วยสัจจวาจานี้ ก็ขอให้การ ไปของเราจงสำเร็จ ถ้ามรรคเป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความ สงบได้ เป็นเครื่องให้โมกขธรรม เป็นธรรมสงบระงับ นำความสุขมาให้ได้ไซร้ ด้วยสัจจวาจานี้ ก็ขอให้การไป ของเราจงสำเร็จ ถ้าพระสงฆ์เป็นผู้ข้ามพ้นหนทางกันดาร ไปได้ เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยมไซร้ ด้วยสัจจวาจานี้ ก็ ขอให้การไปของเราจงสำเร็จ พร้อมกับที่เราได้ทำสัจจะ อันประเสริฐ ดังนี้ น้ำได้ไหลหลีกออกไปจากหนทาง.
ลำดับนั้น เราได้ข้ามไปขึ้นฝั่งแม่น้ำอันน่ารื่นรมย์ใจ ได้โดยสะดวก ได้พบพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ เหมือน พระอาทิตย์ที่กำลังอุทัย ดังภูเขาทองที่ลุกโพลง เหมือน ไม้ประทีปที่ถูกไฟไหม้โชติช่วง ผู้อันสาวกแวดล้อม เปรียบดังพระจันทร์ที่ประกอบด้วยดวงดาว ยังเทวดา และมนุษย์ให้เพลิดเพลิน ปานท้าววาสวะผู้ยังฝน คือ รัตนะให้ตกลง เราพร้อมด้วยอำมาตย์ถวายบังคมแล้ว เฝ้าอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 357
ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเรา ได้ แสดงพระธรรมเทศนา เราฟังธรรมอันปราศจากมลทิน แล้ว ได้กราบทูลพระพิชิตมารว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ขอได้ทรงโปรดให้พวกข้าพระองค์ได้บรรพชาเถิด พวก ข้าพระองค์เป็นผู้ลงสู่ภพแล้ว พระมหามุนีผู้สูงสุดได้ตรัส ว่า ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดี แล้ว ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุด แห่งทุกข์เถิด พร้อมกันกับพระพุทธดำรัส เราทุกคนล้วน ทรงเพศเป็นภิกษุ เราทั้งหลายอุปสมบทแล้ว เป็นภิกษุผู้ โสดาบันในพระศาสนา ต่อแต่นั้น พระผู้นำชั้นพิเศษ ได้ เสด็จเข้าพระเชตวันมหาวิหารแล้ว ทรงสั่งสอนเรา เราอัน พระพิชิตมารทรงสั่งสอนแล้วได้บรรลุพระอรหัต ลำดับนั้น เราได้สั่งสอนภิกษุพันรูป แม้พวกเขาทำตามคำสอนของ เรา ก็เป็นผู้ไม่มีอาสนะ พระพิชิตมารทรงพอพระทัยใน คุณข้อนั้น จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ณ ท่ามกลางมหาชนว่า ภิกษุกัปปินะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ ธรรมที่ได้ทำไว้ในแสนกัป ได้ แสดงผลให้เราในครั้งนี้ เราพ้นจากกิเลสดุจดังลูกศรที่ พ้นจากแล่ง เราได้เผากิเลสของเราแล้ว เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ. ..พระพุทธศาสนา เราได้ทำ เสร็จแล้ว ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 358
ก็ชนเหล่านั้นทั้งหมด ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงพากันขอ บวชกะพระศาสดา. พระศาสดาตรัสกะชนเหล่านั้นว่า พวกเธอ จงเป็น ภิกษุมาเถิด. การบรรพชาและอุปสมบทนั้นนั่นแล จึงได้มีแล้วแก่ชน เหล่านั้น. พระศาสดาทรงอาศัยภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น จึงได้เสด็จไปยัง พระเชตวัน โดยอากาศ.
ต่อมาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพวกภิกษุผู้เป็นอันเตวาสิกของท่านมหากัปปินะนั้นว่า ภิกษุทั้งหลายกัปปิยนะแสดงธรรมแก่ภิกษุ ทั้งหลายบ้างไหม? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระเถระย่อมไม่แสดง, ท่านเป็นผู้ขวนขวายน้อยประกอบความเพียรอยู่ด้วย ความสุขในทิฏฐิธรรมอยู่ ไม่ยอมให้แม้เพียงแต่โอวาท ดังนี้. พระศาสดา จึงทรงให้เรียกหาพระเถระมาแล้ว ตรัสถามว่า กัปปินะ ได้ยินว่า เธอ ไม่ยอมให้แม้เพียงโอวาทแก่พวกอันเตวาสิก จริงไหม? พระเถระกราบทูล ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า พราหมณ์ เธออย่าทำอย่างนั้น, ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจงแสดงธรรมแก่ พวกภิกษุผู้เข้าไปหาแล้ว. พระเถระรับพระดำรัสพระศาสดา ด้วย เศียรเกล้าว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า แล้วให้พระสมณะ ๑,๐๐๐ รูปดำรงอยู่ ในพระอรหัต ด้วยโอวาทเพียงครั้งเดียวเท่านั้น. ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาเมื่อจะตั้งตำแหน่งพระเถระผู้สาวกของพระองค์ ตามลำดับ จึงทรง ตั้งเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย. ต่อมาวัน หนึ่ง พระเถระ เมื่อจะกล่าวสอนนางภิกษุณีทั้งหลาย จึงกล่าวคาถา๑เหล่า นี้ว่า :-
๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๗๒. ั้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 359
ผู้ใดพิจารณาเห็นแจ้ง หรือแสวงหาประโยชน์ ย่อม พิจารณาเห็นกิจทั้งสอง คือสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็น ประโยชน์อันยังไม่มาถึง ได้ก่อนอมิตรหรือศัตรูของผู้นั้น ซึ่งคอยแสวงหาช่องอยู่ไม่ทันเห็น ผู้นั้นเรียกว่าผู้มีปัญญา ผู้ใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ด้วยดีแล้ว อบรมแล้ว โดยลำดับตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมยัง โลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์เพ็ญพ้นจากกลีบเมฆ ฉะนั้น จิตของเราผ่องใสแล้วหนอ อบรมดีแล้วหาประมาณ มิได้ เป็นจิตประคองไว้แล้วเป็นนิตย์ ย่อมยังทิศทั้งปวง ให้สว่างไสว บุคคลผู้มีปัญญาถึงจะสิ้นทรัพย์ ก็ยังมีชีวิต อยู่ได้เป็นแน่แท้ ส่วนบุคคลผู้ไม่มีปัญญา ถึงจะมีทรัพย์ ก็เป็นอยู่ไม่ได้ ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินสิ่งที่ตนฟังมาแล้ว เป็นเครื่องเจริญชื่อเสียงและความสรรเสริญ.
นรชนในโลกนี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญา แม้ในเวลาที่ ตนตกทุกข์ ก็ย่อมได้รับความสุข ธรรมนี้มิใช่มีในวันนี้ ไม่ใช่น่าอัศจรรย์ และไม่ใช่ไม่เคยมีมาแล้ว แต่ดู เหมือนเป็นของที่ไม่เคยมีในโลก ซึ่งเป็นที่เกิดที่ตาย เมื่อสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นอยู่กับความตายแน่แท้ สัตว์ที่เกิดมาแล้วๆ ในโลกนี้ ย่อมตายไปทั้งนั้น เพราะ สัตว์ทั้งหลาย มีอย่างนี้เป็นธรรมดา ชีวิตอันใดเป็นประโยชน์แก่บุรุษเหล่าอื่น ชีวิตอันนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว อันการร้องไห้ถึงที่ตายไปแล้ว ย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 360
ไม่ทำให้เกิดผล ไม่ทำให้เกิดความสรรเสริญ สมณะ และพราหมณ์ไม่สรรเสริญเลย การร้องไห้ ย่อม เบียดเบียนจักษุและร่างกายทำให้เสื่อมวรรณะ กำลัง และความคิด ชนทั้งหลายผู้เป็นข้าศึก ย่อมมีจิตยินดี ส่วนชนผู้เป็นมิตร ก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้น บุคคลพึงปรารถนาท่านผู้เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูตให้ อยู่ในสกุลของตน เพราะกิจทุกอย่างจะสำเร็จได้ ก็ด้วย กำลังปัญญาของท่านที่เป็นนักปราชญ์ และเป็นพหูสูต เท่านั้น เหมือนบุคคลข้ามแม่น้ำอันเต็มฝั่งด้วยเรือฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนาคตํ ความว่า ยังไม่มาถึง คือยัง ไม่ประสบ.
บทว่า ปฏิกจฺจ แปลว่า ก่อนกว่านั่นเทียว.
บทว่า ปสฺสติ แปลว่า ย่อมเห็น.
บทว่า อตฺถํ ได้แก่ กิจ.
บทว่า ตํ ทฺวยํ ได้แก่ สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์.
บทว่า วิทฺเทสิโน ได้แก่ อมิตร.
บทว่า หิเตสิโน ได้แก่ มิตร.
บทว่า รนฺธํ ได้แก่ ช่อง.
บทว่า สเมกฺขมานา แปลว่า ผู้แสวงหา. มีคำที่ท่านกล่าวอธิบาย ไว้ว่า บุคคลใด เห็นไตร่ตรองพิจารณาถึงกิจทั้ง ๒ อย่างคือ สิ่งที่จะนำ ประโยชน์ และไม่นำประโยชน์มาให้แก่ตน อันยังไม่มาถึง ด้วยปัญญา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 361
จักษุเหมือนเรา ได้ก่อนกว่า, อมิตรของบุคคลผู้นั้น หรือมิตรโดยมี อัธยาศัยไม่เกื้อกูลกัน แสวงหาช่อง โดยอัธยาศัยที่เกื้อกูลกัน ย่อมไม่เห็น ได้, บุคคลผู้มีปัญญาเช่นนั้น มีความประพฤติไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้น พวกท่าน พึงเป็นผู้ประพฤติเช่นนั้นเถิด.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงคุณในการเจริญอานาปานสติ เพื่อจะ ประกอบบทเหล่านั้นในคาถานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า อานาปานสตี ยสฺส ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อานํ ได้แก่ ลมหายใจออก. บทว่า อปานํ ได้แก่ ลมหายใจเข้า. สติมีการกำหนดลมหายใจออก และลม หายใจเข้าเป็นอารมณ์ ชื่อว่า อานาปานสติ. ก็ในที่นี้ เมื่อว่าถึงหัวข้อ แห่งสติ ท่านประสงค์ถึงการเจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสตินั้น.
บทว่า ยสฺส ได้แก่ พระโยคีรูปใด.
บทว่า ปริปุณฺณา สุภาวิตา ความว่า อบรมให้เจริญด้วยดี บริบูรณ์ โดยประการทั้งปวง ด้วยความบริบูรณ์แห่งสติปัฏฐาน ๔ และอาการ ๑๖ และด้วยความบริบูรณ์แห่งโพชฌงค์ ๗ วิชชาและวิมุตติทั้งหลาย.
บทว่า อนุปุพฺพํ ปริจิตา ยถา พุทฺเธน เทสิตา ความว่า อบรม แล้ว คือเสพ ได้แก่ เจริญตามลำดับ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ โดย เนื้อความเป็นต้นว่า ภิกษุนั้น มีสติกำหนดลมหายใจออก ดังนี้.
บทว่า โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา ความว่า พระโยคาจรนั้น พ้นจากอุปกิเลสมีอวิชชาเป็นต้นแล้ว ย่อมยังสังขารโลก ที่ตกลงสู่สันดานของตน และที่ตกลงสู่สันดานของบุคคลอื่น ให้สว่างไสว แจ่มแจ้งด้วยแสงสว่างแห่งญาณ เปรียบเหมือนพระจันทร์ พ้นแล้วจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 362
ความหม่นหมองมีเมฆหมอกเป็นต้น ย่อมยังโอกาสโลกนี้ให้สว่างไสว ด้วยแสงสว่างแห่งดวงจันทร์ ฉะนั้น. อธิบายว่า เพราะฉะนั้น พวกท่าน พึงพากันเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด.
บัดนี้ พระเถระครั้นทำตนให้เป็นอุทาหรณ์แล้ว เมื่อจะแสดงการ ประกอบความเพียรในภาวนาว่ามีผล จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า โอทาตํ วต เม จิตฺตํ ดังนี้เป็นต้น.
ความแห่งบาทคาถานั้นว่า จิตของเราผ่องใส บริสุทธิ์แล้วหนอ เพราะปราศจากมลทินคือนีวรณธรรม, ชื่อว่า อบรมดีแล้ว หาประมาณ มิได้ เพราะค่าที่ตนอบรมแล้ว โดยประการที่ราคะเป็นต้น ที่เป็นตัวทำ ประมาณ อันตนละได้แล้ว และนิพพานอันหาประมาณมิได้ อันตนได้ ทำให้ประจักษ์แจ้งแล้ว. ต่อแต่นั้น ก็ตรัสรู้คือแทงตลอดสัจจะ ๔ ประการ เป็นผู้มีจิตอันประคองไว้แล้ว จากฝ่ายแห่งสังกิเลสทั้งปวง ย่อมยังทิศ มีทิศตะวันออกเป็นต้น ที่ส่องสว่างได้ยากเป็นต้น ให้สว่างไสว เพราะ ข้ามพ้นความสงสัยในธรรมนั้นได้ และเพราะปราศจากโมหะในธรรม ทั้งปวงได้, เพราะฉะนั้น พระเถระจึงแสดงว่า ถึงพวกท่าน ก็พึงอบรม จิตอย่างนั้นเถิด.
พระเถระเมื่อจะแสดงว่า ปัญญาแม้นอกนี้ ก็เหมือนอย่างปัญญาที่ สำเร็จด้วยภาวนา ซึ่งมีอุปการะเป็นอันมากแก่บุรุษ ด้วยเป็นเครื่องชำระ มลทินแห่งจิตให้สะอาดเป็นต้นได้ จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า ชีวเต วาปิ สปฺปญฺโ ดังนี้เป็นต้น.
ความแห่งบาทคาถานั้นว่า คนมีปัญญาแม้จะสิ้นทรัพย์ สันโดษด้วย ปัจจัยตามมีตามได้ ก็ยังเป็นอยู่ได้ ด้วยการเลี้ยงชีพอันปราศจากโทษ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 363
จริงอยู่ ชีวิตของคนมีปัญญา ชื่อว่า เป็นอยู่ได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พุทธาทิบัณฑิตกล่าวถึงคนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่า มี ชีวิตประเสริฐ ดังนี้เป็นต้น.
ส่วนคนมีปัญญาทราม เพราะไม่ได้ปัญญา ย่อมทำประโยชน์ที่เป็น ไปในทิฏฐิธรรม และประโยชน์ที่เป็นไปในสัมปรายิกภพ ให้ฉิบหายไป แม้จะมีทรัพย์สมบัติ ก็เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะได้รับการติเตียนเป็นต้น ชื่อ ว่า ความเป็นอยู่ ย่อมไม่มีแก่เขา, อีกอย่างหนึ่ง เพราะตนไม่รู้จักอุบาย ทรัพย์ตามที่สะสมไว้ ก็ย่อมพินาศไป แม้ชีวิต ก็ไม่สามารถเพื่อจะรักษา ไว้ได้เลย, เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า แม้ปาริหาริยปัญญา พวกท่าน ก็พึงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงอานิสงส์แห่งปัญญา พระเถระจึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า ปญฺา สุตวินิจฺฉินี ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺา สุตวินิจฺฉินี ความว่า ธรรมดา ว่า ปัญญานี้นั้น เป็นเครื่องตัดสินสิ่งที่ตนฟังมาแล้ว คือตัดสินชี้ขาดใน ประโยชน์ที่ตนฟังมาแล้ว คือที่มาปรากฏทางโสตประสาท โดยใจความ เป็นต้นว่า นี้เป็นอกุศล, นี้เป็นกุศล, นี้เป็นสิ่งมีโทษ, นี้เป็นสิ่งไม่มีโทษ ดังนี้.
บทว่า กิตฺติสิโลกวทฺธนี ความว่า เป็นความเจริญด้วยเกียรติคุณ และความสรรเสริญต่อหน้า คือมีความสรรเสริญแผ่ไปทั่วเป็นสภาพ จริง อยู่ เกียรติคุณเป็นต้น ย่อมมีแก่ผู้มีปัญญาเท่านั้น เพราะมีวิญญูชนทั้งหลาย สรรเสริญเป็นธรรมดา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 364
บทว่า ปญฺาสหิโต ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยปาริหาริยปัญญา และวิปัสสนาปัญญา.
บทว่า อปิ ทุกฺเขสุ สุขานิ วินฺทติ ความว่า ย่อมได้เฉพาะซึ่ง ความสุข แม้ที่ไม่มีอามิส เพราะการหยั่งลงสู่สภาวะที่เป็นจริง ด้วยสัมมา ปฏิบัติในขันธ์และอายตนะเป็นต้น ที่มีความทุกข์เป็นสภาวะโดยส่วนเดียว.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะกล่าวสอนธรรม อันปฏิสังยุตด้วยอนิจจตา อันจะนำมาซึ่งความเป็นนักปราชญ์ แก่นางภิกษุณีเหล่านั้น จึงกล่าวคาถา ที่เหลือ โดยมีใจความเป็นต้นว่า นายํ อชฺชตโน ธมฺโม ดังนี้.
ในบาทคาถานั้น มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้ :- ธรรมนี้ใด มี ความเกิดและความตายเป็นสภาวะแก่ปวงสัตว์ ธรรมนี้นั้น มิใช่จะเพิ่งมี ในวันนี้ คือมิใช่มีมาไม่นาน, ไม่ใช่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นไปทุกๆ วัน. ทั้งไม่ใช่ไม่เคยมีมาแล้ว เพราะความไม่เคยมีมาแล้วในกาลก่อน หามิได้. เพราะฉะนั้น พึงเป็นเหมือนสิ่งที่เคยมีมาในโลก ซึ่งเป็นที่เกิดที่ตาย คือที่สัตว์พึงเกิด และพึงตายโดยส่วนเดียว เพราะมีความตายเป็นสภาวะ. จริงอยู่ เหตุอะไรๆ ย่อมไม่มีแก่ขณิกมรณะ.
เพราะเมื่อสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นอยู่กับความตายแน่แท้ คือ เมื่อสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความตายเป็นที่สุดอย่างเดียว ต่อจากความเกิด เพราะขันธ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว มีความแตกไปเป็นธรรมดาโดยส่วน เดียว. ก็คำว่า มีชีวิตเป็นอยู่ในคาถานั้นอันใด อันนั้นจัดเป็นโลกโวหาร, โลกโวหารนั้นมีที่สุดเป็นอเนก เพราะเนื่องด้วยปัจจัยมากมายแห่งอุปาทาน นั้น เพราะกล่าวคำนี้อย่างนี้แล้ว ฉะนั้น จึงกล่าวว่า สัตว์ที่เกิดมาแล้ว ในโลกนี้ ย่อมตายไปทั้งนั้น เพราะสัตว์ทั้งหลาย มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 365
ได้แก่ เป็นปกติของสัตว์ทั้งหลาย คือความตายย่อมมีแก่สัตว์ทั้งหลายที่ เกิดมาแล้ว จึงกล่าวว่า ความตายเนื่องด้วยความเกิดขึ้น.
บัดนี้ เพราะเพื่อจะทำการกำจัดความเศร้าโศกของพวกนางภิกษุณี แม้ผู้ที่มีจิตถูกความเศร้าโศกผูกพันแล้ว ฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวคำเป็น ต้นว่า น เหตทตฺถาย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เหตทตฺถาย มตสฺส โหติ ความว่า ชีวิตที่จะเป็นประโยชน์ คือเป็นเครื่องหมายแห่งชีวิต ของตนที่ตายไปแล้ว การร้องไห้ เป็นประโยชน์แก่บุรุษเหล่าอื่นอันใด ข้อนั้นที่จะเป็นประโยชน์ แห่งชีวิต ของหมู่สัตว์ที่ตายไปแล้วนั้น ขอพักไว้ก่อน, เพราะไม่มี ประโยชน์แก่ใครๆ เลย, ก็คนเหล่าใด ย่อมพากันร้องไห้, การร้องไห้ถึง คนตาย คือมีคนตายเป็นเครื่องหมายของตนเหล่านั้น ย่อมไม่ทำให้เกิด ผล ไม่ทำให้เกิดความสรรเสริญ คือย่อมไม่นำเกียรติยศ และความ บริสุทธิ์ใจมาให้เลย.
บทว่า น วณฺณิตํ สมณพฺราหฺมเณหิ ได้แก่ แม้วิญญูชนจะ สรรเสริญก็ไม่มี คือโดยที่แท้ วิญญูชนจะติเตียนถ่ายเดียว.
พระเถระเมื่อจะแสดงว่า โทษของคนผู้ที่ร้องไห้อยู่ มิใช่จะมีเพียง อย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แม้นอกนี้ก็ยังมีอยู่ ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า จกฺขุํ สรีรํ อุปหนฺติ ดังนี้เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจะชักชวนนางภิกษุณี เหล่านั้น ในการเข้าไปหากัลยาณมิตร เพื่อป้องกันเสียซึ่งสิ่งไม่เป็น ประโยชน์มีความเศร้าโศกเป็นต้น จึงได้กล่าวคาถาสุดท้ายโดยใจความ เป็นต้นว่า ตสฺมา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการร้องไห้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 366
ย่อมกระทบกระทั่ง คือเบียดเบียนจักษุและสรีระ ของบุคคลผู้ร้องไห้อยู่ เพราะการร้องไห้นั้น จึงทำให้ วรรณะ กำลัง และความคิด เสื่อมไป คือพินาศไป, โจร คือผู้ที่เป็นข้าศึกของบุคคลผู้ร้องไห้อยู่ ย่อมมีจิต ยินดี ปราโมทย์ เอิบอิ่มใจ, ส่วนมิตรผู้มุ่งประโยชน์เกื้อกูล ก็พลอยมี ทุกข์ลำบากใจไปด้วย ฉะนั้น บุคคลพึงปรารถนา ท่านผู้ชื่อว่าเป็น นักปราชญ์ เพราะประกอบพร้อมด้วยปัญญาที่เกิดในธรรม และท่านผู้ ชื่อว่า เป็นพหูสูต เพราะเพียบพร้อมด้วยพาหุสัจจะอันอิงอาศัยประโยชน์ มีทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์เป็นต้น ให้อยู่ในสกุลของตน คือพึงมุ่งหวัง ได้แก่ พึงทำให้เป็นผู้เข้าถึงสกุล.
บทว่า เยสํ มีวาจาประกอบความว่า กุลบุตรทั้งหลาย จะข้ามพ้น กิจของตน คือจะถึงซึ่งฝั่งได้ก็ด้วยกำลังปัญญา เพราะปัญญาเป็นสมบัติของ ท่านผู้ที่เป็นนักปราชญ์ และบัณฑิตพหูสูตเหล่าใด พึงปรารถนานักปราชญ์ เป็นต้นเหล่านั้นให้อยู่ในสกุลเถิด เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามน้ำ อัน เต็มเปี่ยมของห้วงน้ำใหญ่ได้พ้นก็ด้วยเรือฉะนั้น.
พระเถระ ครั้นกล่าวสอนธรรมแก่นางภิกษุณีเหล่านั้นอย่างนี้แล้ว จึงหยุดเทศนา. นางภิกษุณีเหล่านั้น ตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระ บรรเทาความเศร้าโศกแล้ว ปฏิบัติโดยแยบคายอยู่ ทำประโยชน์ของตน ให้บริบูรณ์ได้แล้วแล.
จบอรรถกถามหากัปปินเถรคาถาที่ ๓