พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. โคตมเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระโคตมเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40646
อ่าน  421

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 406

เถรคาถา ทสกนิบาต

๗. โคตมเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโคตมเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 406

๗. โคตมเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระโคตมเถระ

[๓๗๖] บุคคลพึงรู้จักประโยชน์ของตน ๑ พึงตรวจดูคำสั่งสอนของพระศาสดา และพึงตรวจดูสิ่งที่สมควรแก่กุลบุตร ผู้เข้าถึงซึ่งความเป็นสมณะในพระศาสนานี้ ๑

การมีมิตรดี ๑ การสมาทานสิกขาให้บริบูรณ์ การเชื่อฟังต่อครูทั้งหลาย ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ ในพระศาสนานี้

ความเคารพในพระพุทธเจ้า๑ ความยำเกรงในพระธรรม๑ ความยำเกรงในพระสงฆ์ตามความเป็นจริง๑ ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

การประกอบในอาจาระและโคจร ๑ อาชีพที่หมดจดอันบัณฑิตไม่ติเตียน ๑ การตั้งจิตไว้ชอบ๑ นี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

จาริตศีล ๑ และวาริตศีล ๑ การเปลี่ยนอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส ๑ และการประกอบในอธิจิต ๑ ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

เสนาสนะป่า ๑ อันสงัด ๑ ปราศจากเสียงอึกทึก ๑ อันมุนีพึงอาศัย ๑ นี้เป็นสิ่งที่สมควรแก่สมณะ

จตุปาริสุทธศีล ๑ พาหุสัจจะ ๑ การเลือกเฟ้นธรรมตามความจริง ๑ การตรัสรู้อริยสัจ ๑ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

ข้อที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาในสังขารทั้งปวงว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ๑ เจริญอนัตตสัญญา ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ๑ และเจริญอสุภสัญญา ๑ เจริญอนภิรติสัญญาในโลกว่ากรัชกายนี้ไม่น่ายินดี ๑ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

การที่บุคคลเจริญโพชฌงค์ ๑ อิทธิบาท ๑ อินทรีย์ ๑ และอริยัฐังคิกมรรค ๑ ก็ล้วนแต่

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 407

สมควรแก่สมณะ

การที่บุคคลผู้เป็นมุนีละตัณหา ๑ ทำลายอาสวะพร้อมทั้งมูลราก ๑ เป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส ๑ ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ.

จบโคตมเถรคาถา

อรรถกถาโคตมเถรคาถาที่ ๗

มีคาถาของ ท่านพระโคตมเถระ อีกรูปหนึ่งว่า วิชาเนยฺย สกํ อตฺถํ (บุคคลพึงรู้จักประโยชน์ของตน) ดังนี้เป็นต้น. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

ท่านพระโคตมเถระรูปนี้ ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้า พระองค์ก่อนๆ ในภพนั้นๆ ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะไว้ ก่อนหน้าแต่กาลอุบัติขึ้นแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย (ท่าน) บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ชื่อว่า อุทิจจะ ในกรุงสาวัตถี พอเจริญวัยแล้ว เป็นผู้เรียนจบไตรเพท ฝึกฝนวิธีการพูด เมื่อไม่ได้คนอื่นที่มีคำพูดที่เหนือกว่าคำพูดของตน จึงเที่ยวทำการพูด หาเรื่องทะเลาะกับคนเหล่า นั้นๆ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย อุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว ทรงฝึกเวไนยสัตว์ทั้งหลาย มี ยสกุลบุตร เป็นต้น โดยลำดับแล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถี เพื่อฝึกอบรม อนาถบิณฑิกเศรษฐี ในคราวที่มอบถวายพระเชตวันแด่พระศาสดา. ท่านได้มีศรัทธา เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมแล้วทูลขอบรรพชา.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 408

พระศาสดา ทรงตรัสสั่งให้ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงให้กุลบุตรผู้นี้บวชเถิด. ท่าน เมื่อภิกษุนั้นจะให้บรรพชา พอมีดโกนจรดเส้นผมเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตแล้ว ไปสู่โกศลชนบท อยู่ที่โกศลชนบทนั้นนานแล้ว กลับมายังกรุงสาวัตถีอีก. พวกญาติผู้เป็นพราหมณ์มหาศาลเป็นอันมาก เข้าไปหาท่านพระโคดมเถระนั้นแล้ว เข้าไปนั่งใกล้ พากันถามว่า พวกสมณพราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้ มีวาทะอันบริสุทธิ์ในสงสาร, ในสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกไหนมีวาทะที่แน่นอน, ปฏิบัติอย่างไร จึงจะบริสุทธิ์จากสงสารได้ ดังนี้. พระเถระเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นแก่ญาติเหล่านั้น จึงกล่าวคาถา (๑) เหล่านั้นว่า :-

บุคคลพึงรู้จักประโยชน์ของตน ๑ พึงตรวจดูคำสั่งสอนของพระศาสดา และพึงตรวจดูสิ่งที่สมควรแก่กุลบุตร ผู้เข้าถึงซึ่งความเป็นสมณะในพระศาสนานี้ ๑

การมีมิตรดี ๑ การสมาทานสิกขาให้บริบูรณ์ การเชื่อฟังต่อครูทั้งหลาย ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ ในพระศาสนานี้

ความเคารพในพระพุทธเจ้า๑ ความยำเกรงในพระธรรม๑ ความยำเกรงในพระสงฆ์ตามความเป็นจริง๑ ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

การประกอบในอาจาระและโคจร ๑ อาชีพที่หมดจดอันบัณฑิตไม่ติเตียน ๑ การตั้งจิตไว้ชอบ๑ นี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

จาริตศีล ๑ และวาริตศีล ๑ การเปลี่ยนอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส ๑ และการประกอบในอธิจิต ๑ ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ


๑. ขุ. เถร. ๒๖/ข้อ ๓๗๖.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 409

เสนาสนะป่า ๑ อันสงัด ๑ ปราศจากเสียงอึกทึก ๑ อันมุนีพึงอาศัย ๑ นี้เป็นสิ่งที่สมควรแก่สมณะ

จตุปาริสุทธศีล ๑ พาหุสัจจะ ๑ การเลือกเฟ้นธรรมตามความจริง ๑ การตรัสรู้อริยสัจ ๑ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

ข้อที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาในสังขารทั้งปวงว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ๑ เจริญอนัตตสัญญา ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ๑ และเจริญอสุภสัญญา ๑ เจริญอนภิรติสัญญาในโลกว่ากรัชกายนี้ไม่น่ายินดี ๑ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

การที่บุคคลเจริญโพชฌงค์ ๑ อิทธิบาท ๑ อินทรีย์ ๑ และอริยัฎฐังคิกมรรค ๑ นี้ล้วนแต่ สมควรแก่สมณะ

การที่บุคคลผู้เป็นมุนีละตัณหา ๑ ทำลายอาสวะพร้อมทั้งมูลราก ๑ เป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส ๑ นี้ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชาเนยฺย สกํ อตฺถํ ความว่า บุรุษผู้ใฝ่รู้ พึงตรวจตราดูประโยชน์ของตนให้รู้ตามความเป็นจริง และเมื่อตรวจตรา พึงตรวจดูคำสั่งสอนของพระศาสดา คือคำสั่งสอนของพระศาสดา ที่สมณพราหมณ์ผู้เป็นปุถุชนทั้งหลาย และที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในโลกนี้ ได้แก่ลัทธิคำสอน คือ พึงตรวจดูคำสอนที่จะนำออกไปจากสงสาร คือพึงเห็นด้วยปัญญาจักษุ.

จริงอยู่ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเดียรถีย์ต่างๆ เหล่านี้ เป็นผู้ยึดมั่นผิดซึ่งสังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ซึ่งสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน และซึ่งหนทางที่ไม่บริสุทธิ์ว่าเป็นหนทางที่บริสุทธิ์ และเป็นผู้มีวาทะแย้งกันเอง

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 410

เพราะฉะนั้น วาทะของสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงเป็นวาทะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน, ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ทั่ว ด้วยความรู้ยิ่งตามความเป็นจริง ด้วยพระสยัมภูญาณว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง. ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา, ความสงบคือพระนิพพานดังนี้ เพราะฉะนั้น วาทะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงเป็นวาทะที่เที่ยงแท้แน่นอน, อธิบายว่า พึงตรวจตราดูคำสั่งสอนที่ยิ่งใหญ่ของพระศาสดาแล.

บทว่า ยญฺเจตฺถ อสฺส ปฏิรูปํ สามญฺญํ อชฺฌูปคตสฺส ความว่า พึงเป็นผู้ตรวจตราดูสิ่งที่สมควร คือสิ่งที่เหมาะสมแก่กุลบุตรผู้เข้าถึงความเป็นสมณะ คือการบวชในพระศาสนานี้ หรือในความเป็นบรรพชิต.

เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็ข้อนั้นเป็นอย่างไร? ท่านจึงกล่าวคำ เป็นต้นว่า มิตฺตํ อิธ จ กลฺยาณํ การมีมิตรดี ดังนี้. มีวาจาประกอบ ความว่า การคบหากัลยาณมิตรในพระศาสนานี้ นับเป็นการสมควรแก่สมณะ. แม้นัยที่นอกจากนี้ ก็เช่นนี้. จริงอยู่ กุลบุตรย่อมละอกุศล ย่อมเจริญกุศล ย่อมบริหารตนให้หมดจดสะอาดได้ ก็เพราะได้อาศัยกัลยาณมิตร.

บทว่า สิกฺขา วิปุลํ สมาทานํ ได้แก่ การสมาทานสิกขาให้ บริบูรณ์, อธิบายว่า ปฏิบัติในสิกขา มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น อันจะนำมา ซึ่งคุณอันใหญ่ คือพระนิพพาน.

บทว่า สุสฺสูสา จ ครูนํ ความว่า การเชื่อฟัง และการประพฤติ ตามโอวาทของครูทั้งหลาย คือของกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีอาจารย์และ อุปัชฌาย์เป็นต้น.

บทว่า เอตํ ได้แก่ การคบหากัลยาณมิตรเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 411

บทว่า พุทฺเธสุ สคารวตา ความว่า กระทำความเคารพยำเกรง ในพระสัพพัญญูพุทธเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้.

บทว่า ธมฺเม อปจิติ ยถาภูตํ ได้แก่ อ่อนน้อม คือบูชาโดย ความเอื้อเฟื้อในพระอริยธรรม ตามความเป็นจริง.

บทว่า สงฺเฆ ได้แก่ ในพระอริยสงฆ์.

บทว่า จิตฺตีกาโร ได้แก่ สักการะ คือสัมมานะ.

บทว่า เอตํ ได้แก่ กระทำความเคารพในพระรัตนตรัย.

บทว่า อาจารโคจเร ยุตฺโต ความว่า การละอนาจาร คือการ ก้าวล่วงทางกายและทางวาจา และการละสถานที่อโคจรมีหญิงแพศยา เป็นต้น อันเป็นสถานที่ไม่สมควร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตเป็นต้นแล้ว ประกอบคือถึงพร้อมด้วยอาจาระ คือการไม่ก้าวล่วงทางกายและทางวาจา และด้วยโคจรอันเป็นสถานที่สมควรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตเป็นต้น. ชื่อว่า ผู้มีอาจาระและโคจรสมบูรณ์.

บทว่า อาชีโว โสธิโต ความว่า เมื่อภิกษุละอเนสนากรรม มีการขอไม้ไผ่เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจแล้ว เสพแต่ปัจจัยที่เกิดขึ้น ไม่มีโทษ ชื่อว่า ผู้มีอาชีพที่หมดจด คือบริสุทธิ์ด้วยดี เพราะความเป็นผู้มีอาชีพอันหมดจดนั่นเอง วิญญูชนทั้งหลายจึงไม่ติเตียน.

บทว่า จิตฺตสฺส จ สณฺปนํ ความว่า การตั้งจิตไว้ชอบด้วยอำนาจรูปที่เห็นแล้ว และอารมณ์ที่ทราบแล้วเป็นต้น โดยที่ไม่ให้กิเลสมีอภิชฌา เป็นต้น เป็นไปในอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น ทางทวารมีจักษุทวารเป็นต้น.

บทว่า เอตํ ได้แก่ คุณธรรม ๓ อย่าง คือ ความถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร อาชีพ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 412

อันหมดจด และความมีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย ดังนี้นั้น.

บทว่า จาริตฺตํ ได้แก่ ศีลที่พึงประพฤติให้บริบูรณ์.

บทว่า วาริตฺตํ ได้แก่ ศีลที่พึงให้บริบูรณ์ ด้วยการเว้นไม่ทำ.

บทว่า อิริยาปถิยํ ปสาทนียํ ความว่า การเปลี่ยนอิริยาบทอันน่าเลื่อมใส มีสัมปชัญญะเนื่องอยู่ในอิริยาบท อาศัยอิริยาบถมีความรู้ทั่วพร้อม อันมีอากัปกิริยาเป็นเครื่องบ่งบอก ที่นำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ชนเหล่าอื่น.

บทว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ได้แก่ การประกอบ คือการเจริญ ในสมถะและวิปัสสนา.

บทว่า อารญฺกานิ ได้แก่ เสนาสนะอันนับเนื่องแล้วในป่า.

บทว่า ปนฺตานิ แปลว่า สงัดแล้ว.

บทว่า สีลํ ได้แก่ จตุปาริสุทธิศีล. จริงอยู่ ศีลที่ทำลายแล้ว ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังในที่นี้ ท่านกล่าวถึงศีลที่ยังไม่ทำลาย.

บทว่า พาหุสจฺจํ ได้แก่ ความเป็นผู้สดับตรับฟังมาก, จริงอยู่ พาหุสัจจะนั้นย่อมมีอุปการะมาก แก่ผู้ประกอบการเจริญภาวนา, การประกอบสมถะวิปัสสนา ย่อมสำเร็จแก่ผู้มากไปด้วยความใคร่ครวญโดยชอบในความเป็นผู้ฉลาดในโพชฌงค์ ความเย็นอย่างยอดเยี่ยม และความ เป็นผู้ประกอบในอธิจิตเป็นต้น.

บทว่า ธมฺมานํ ปวิจโย ยถาภูตํ ความว่า การไตร่ตรอง โดยลักษณะที่ไม่ขัดกันและโดยลักษณะที่เสมอเหมือนกัน (สามัญลักษณะ) แห่งรูปธรรมและอรูปธรรม, ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงธรรม คือ อธิปัญญา และวิปัสสนา.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 413

บทว่า สจฺจานํ อภิสมโย ได้แก่ การแทงตลอด ด้วยอำนาจ การตรัสรู้ คือการหยั่งรู้ถึงอริยสัจ มีทุกข์เป็นต้น.

การตรัสรู้แจ้งอริยสัจนี้นั้น ย่อมมีโดยประการใด เพื่อจะแสดง อริยสัจนั้น โดยประการนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า ภาเวยฺย ข้อที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญา ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาเวยฺย จ อนิจฺจํ ความว่า บุคคล พึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นและให้เจริญอนิจจสัญญาในสังขารทั้งปวง แบบไม่จำแนกว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น หรือแบบจำแนกว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า อนตฺตสญฺญํ มีวาจาประกอบความว่า พึงเจริญอนัตตสัญญา ที่เป็นไปแล้วว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาดังนี้. แม้ในบทที่เหลือทั้งหลาย ก็อย่างนี้.

บทว่า อสุภสญฺญํ ความว่า สัญญาที่เป็นไปแล้วว่า ไม่งาม เพราะสิ่งไม่สะอาดคือกิเลสในกรัชกาย หรือในสังขารอันเป็นไปในภูมิ ๓ แม้ทั้งหมด ไหลออกรอบด้าน. จริงอยู่ อสุภสัญญานี้ มีทุกขสัญญาเป็นบริวาร ก็ด้วยบทนั้นนั่นแหละ ถึงทุกขสัญญา ท่านก็สงเคราะห์ไว้ในอสุภสัญญา นี้เอง, บัณฑิตพึงทราบดังว่ามานี้แล.

บทว่า โลกมฺหิ จ อนภิรตึ ได้แก่ สัญญาในเพราะการไม่ยินดียิ่ง ในสังขารทั้งหลายที่เป็นไปในภูมิ ๓ ในโลกทั้งปวง, ด้วยบทนี้ ท่าน กล่าวถึง อาทีนวานุปัสสนา เเละนิพพิทานุปัสสนา.

ก็พระเถระผู้ประกอบการเจริญวิปัสสนาอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะให้หมู่ญาติเกิดความขวนขวาย คือเมื่อจะแสดงว่า พึงเจริญธรรมเหล่านี้ ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า ภาเวยฺย จ โพชฺฌงฺเค ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 414

เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า :- ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นองค์แห่งความพรั่งพร้อมของธรรม ๗ อย่าง มีสติเป็นต้น เพื่อการตรัสรู้ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นองค์แห่งบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยธรรมนั้น เพื่อการตรัสรู้ คือธรรมทั้งหลาย มีสติเป็นต้น. ธรรมเหล่านั้น โพชฌงค์ ๗ ประการ มีสติเป็นต้น, อิทธิบาท ๔ มี ฉันทะเป็นต้น, อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น, พละ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น เหมือนกัน และอริยมรรคมีองค์ ๘ คือมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. ด้วย ศัพท์ ท่านสงเคราะห์เอาสติปัฏฐานและสัมมัปปธานเข้าด้วย เพราะเหตุนั้น พึงทำให้มี พึงทำให้เกิด และพึงเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประเภท แม้ทั้งหมดเถิด. ในข้อนั้น การทำโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประเภทเหล่านั้น ให้เกิดขึ้นในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค และการเจริญในขณะแห่งอรหัตมรรค. ข้อนั้นเป็นการสมควรแก่สมณะ คือภิกษุแล.

พระเถระ ชี้แจงโพธิปักขิยธรรมอย่างนั้น เมื่อจะแสดงว่า บุคคลจะตรัสรู้สมุทยสัจก็ด้วยอำนาจการตรัสรู้ด้วยการละ, จะตรัสรู้นิโรธสัจ ก็ด้วยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง, เหมือนจะตรัสรู้มรรคสัจได้ ก็ด้วย อำนาจการตรัสรู้ด้วยการเจริญดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ตณฺหํ ปชเหยฺย ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตณฺหํ ปชเหยฺย ความว่า พึงตัด ตัณหาทั้งหมด มีประเภทเช่นกามตัณหาเป็นต้น โดยไม่ให้เหลือ ด้วย อริยมรรค, ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ ชื่อว่า มุนิ เพราะประกอบพร้อม ด้วยญาณนั้น.

บทว่า สมูลเก อาสเว ปทาเลยฺย ความว่า พึงทำลาย คือพึง

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 415

ตัดอาสวะแม้ทั้งหมด มีกามาสวะเป็นต้น พร้อมทั้งมูลราก มีกามราคานุสัย เป็นต้น.

บทว่า วิหเรยฺย วิปฺปมุตฺโต ความว่า เพราะละกิเลสทั้งหลายได้ โดยประการทั้งปวงอย่างนี้ จึงเป็นผู้หลุดพ้นในที่ทั้งปวง กระทำให้แจ้ง ซึ่งนิโรธ คือนิพพาน อันสละขาดซึ่งอุปธิกิเลสทั้งหมดได้อยู่.

บทว่า เอตํ ความว่า ข้อที่การอยู่เช่นนั้น นับว่าเป็นการสมควร แก่สมณะ คือภิกษุผู้ลอยบาปได้แล้ว.

พระเถระชี้แจงว่า พระศาสนาเป็นนิยยานิกะ คือเป็นธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ โดยมุ่งเน้นถึงข้อปฏิบัติอันสมควรเเก่สมณะ และชี้แจงว่าลัทธิภายนอก เป็นอนิยยานิกะ คือเป็นธรรมไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เพราะตรงกันข้ามกับพระศาสนานั้น.

พราหมณ์มหาศาลเหล่านั้น มีความเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา พากันดำรงอยู่ในสรณะเป็นต้นแล้ว.

จบอรรถกถาโคตมเถรคาถาที่ ๗

จบปรมัตถทีปนี

อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา

ทสกนิบาต

ในทสกนิบาตนี้ พระเถระ ๗ องค์ คือ พระกาฬุทายีเถระ ๑ พระเอกวิหาริยเถระ ๑ พระมหากัปปินเถระ ๑ พระจูฬปันถกเถระ ๑ พระกัปปเถระ ๑ พระอุปเสนวังคันตปุตตเถระ ๑ พระโคตมเถระ ๑ ได้เปล่งอุทานคาถาองค์ละ ๑๐ คาถา รวมเป็น ๗๐ คาถา ฉะนี้แล.

จบทสกนิบาต