๑. สังกิจจเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระสังกิจจเถระ
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 416
เถรคาถา เอกาทสกนิบาต
๑. สังกิจจเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสังกิจจเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 416
เถรคาถา เอกาทสกนิบาต
๑. สังกิจจเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสังกิจจเถระ
อุบาสกคนหนึ่ง ได้อ้อนวอนขอให้สังกิจจสามเณรอยู่ในวิหารแห่ง หนึ่งด้วยคาถาว่า
[๓๗๗] ดูก่อนพ่อสามเณร จะมีประโยชน์อะไรในป่า ภูเขา ชื่อ อุชชุหานะ เป็นที่ไม่สบายในฤดูฝน เพราะฉะนั้น ภูเขาอุชชุหานะจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน ลมหัวด้วน พัดมาอยู่ ท่านพอใจหรือ เพราะความเงียบสงัดเป็นที่ต้องการของผู้เจริญฌาน.
สังกิจจสามเณรตอบว่า
ลมหัวด้วนในฤดูฝน ย่อมพัดผันเอาวลาหกไปฉันใด สัญญาอันประกอบด้วยวิเวก ย่อมคร่าเอาจิตอาตมามาสู่ความสงัดก็ฉันนั้น
กายคตาสติกัมมัฏฐาน อันประกอบด้วยความคลายกำหนัดในร่างกาย ย่อมเกิดขึ้นแก่อาตมาทันที เหมือนกาอันเป็นสัตว์เกิดแต่ฟองไข่ มีสีดำ เที่ยวอาศัยอยู่ในป่าช้าฉะนั้น
บุคคลเหล่าอื่นย่อมไม่รักษาบรรพชิต และบรรพชิตก็ไม่รักษาคนเหล่าอื่น ภิกษุนั้นแลเป็นผู้ไม่ห่วงใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข
แอ่งศิลาซึ่งมีน้ำใส ประกอบด้วยหมู่ชะนีและค่าง ดารดาษ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 417
ไปด้วยสาหร่าย ย่อมยังอาตมาให้ยินดี
การที่อาตมาอยู่ ในเสนาสนะป่า คือ ซอกเขาและถ้ำอันเป็นที่สงัด เป็นที่ซ่องเสพอาศัยแห่งมวลมฤค ย่อมทำให้อาตมายินดี
อาตมาไม่เคยรู้สึกถึงความดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบ ด้วยโทษเลยว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกเบียดเบียน จงถูกฆ่า จงได้รับทุกข์
อาตมาได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดาแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาตมาทำเสร็จแล้ว อาตมาปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว
อาตมาบรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธาต้องการแล้ว ถึงความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว
อาตมาไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ และรอเวลาอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้สิ้นเวลาทำงานฉะนั้น
อาตมามีสติสัมปชัญญะเฉพาะหน้า ไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ และเป็นผู้รอเวลาตายอยู่.
ในเอกาทสกนิบาตนี้ พระสังกิจจเถระองค์เดียวเท่านั้น ผู้เสร็จกิจแล้ว หมดอาสวะ ได้ภาษิตคาถาไว้ ๑๑ คาถา ถ้วน ฉะนี้แล.
จบสังกิจจเถรคาถา
จบเอกาทสกนิบาต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 418
อรรถกถาเอกาทสกนิบาต
อรรถกถาสังกิจจเถรคาถาที่ ๑
ใน เอกาทสกนิบาต มีคาถาของ ท่านพระสังกิจจเถระ มีคำเริ่มต้น ว่า กึ ตวตฺโถ วเน ตาต ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะ (พระนิพพาน) ในภพนั้นๆ ใน พุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงสาวัตถี เมื่อท่านอยู่ในท้องนั้นเอง มารดาป่วยไข้ทำกาละไป. เมื่อมารดาถูกนำไปป่าช้าเผาอยู่ มดลูกไม่ไหม้ พวกคนเอาหลาวแทงท้อง กระทบที่สุดที่หางตาของเด็ก. คนเหล่านั้นแทงศพนั้นแล้ว เอาถ่านเพลิงกลบไว้ แล้วก็หลีกไป. แม้ส่วนแห่งท้องก็ไหม้, ส่วนเด็กเสมือนกับรูปพิมพ์ทองคำบนกองถ่าน ได้เป็นเสมือนนอนอยู่บนกลีบปทุมฉะนั้น. จริงอยู่ ธรรมดาว่าสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย ถึงจะถูกภูเขาสิเนรุท่วมทับไว้ ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัต สิ้นชีวิตไปย่อมไม่มี.
รุ่งขึ้นพวกคนไปสู่ที่ป่าช้า เห็นเด็กนอนอยู่อย่างนั้น เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงพาเด็กไปยังบ้าน ถามพวกทำนายนิมิต พวกทำนายนิมิต กล่าวว่า ถ้าเด็กนี้จักอยู่ครองเรือนไซร้ ญาติทั้งหลายตลอดชั่วคนตระกูลที่ ๗ จะได้รับทุกข์ยาก (๑) ถ้าจักบวชไซร้ ก็จักแวดล้อมไปด้วยสมณะ ๕๐๐ เที่ยวไป. พวกญาติกล่าวว่า เอาเถอะในเวลาเขาเจริญวัย พวกเราจักให้บวชในสำนักท่านพระสารีบุตรเถระของเรา พลางกล่าวว่าสังกิจจะ เพราะถูกขอแทงที่ลูกตา ภายหลังจึงตั้งชื่อว่า สังกิจจะ.
๑. ฉบับภาษาอังกฤษว่า ไม่มีความทุกข์ยาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 419
ในเวลาเธอมีอายุ ๗ ขวบ ได้ยินเรื่องที่ตนอยู่ในครรภ์ และการตายของมารดา ก็เกิดความสลดใจจึงกล่าวว่า ฉันจักบวช. พวกญาติ กล่าวว่า ดีละพ่อ ดังนี้แล้วนำไปยังสำนักของพระธรรมเสนาบดี ได้มอบให้ด้วยคำว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โปรดให้เด็กนี้บวชเถิด. พระเถระได้ให้ ตจปัญจกกรรมฐานแล้วให้เธอบวช. เธอบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในขณะปลงผมนั้นเอง อยู่ในป่ากับภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ให้ ภิกษุเหล่านั้นพ้นจากมือโจร แม้ตนเองก็ทรมานโจรเหล่านั้นให้บวชแล้ว อยู่กับภิกษุเป็นอันมากในวิหารแห่งหนึ่ง เห็นภิกษุเหล่านั้นมัวทะเลาะกัน จึงบอกภิกษุเหล่านั้นด้วยคำว่า เราจะไปในที่อื่น ในเรื่องนี้มีความสังเขป เพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงรู้โดยนัยอันมาแล้วในเรื่องแห่งพระธรรมบทนั่นแล.
ลำดับนั้น อุบาสกคนหนึ่งประสงค์จะอุปัฏฐากเธอ จึงอ้อนวอนให้ เธออยู่ในที่ใกล้ๆ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ดูก่อนพ่อสามเณร จะมีประโยชน์อะไรในป่า ภูเขา ชื่ออุชชุหานะ เป็นที่ไม่สบายในฤดูฝน เพราะฉะนั้น ภูเขาอุชชุหานะจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน ลมหัวด้วน พัดมาอยู่ ท่านพอใจหรือ เพราะความเงียบสงัดเป็นที่ ต้องการของผู้เจริญฌาน.
สังกิจจสามเณรได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา๑เหล่านี้ว่า
ลมหัวด้วนในฤดูฝน ย่อมพัดผันเอาวลาหกไปฉันใด สัญญาอันประกอบด้วยวิเวก ย่อมคร่าเอาจิตอาตมามาสู่ความสงัดก็ฉันนั้น
กายคตาสติกัมมัฏฐาน อันประกอบ
๑. ขุ. เถร ๒๖/ข้อ ๓๗๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 420
กายคตาสติกัมมัฏฐาน อันประกอบด้วยความคลายกำหนัดในร่างกาย ย่อมเกิดขึ้นแก่อาตมาทันที เหมือนกาอันเป็นสัตว์เกิดแต่ฟองไข่ มีสีดำ เที่ยวอาศัยอยู่ในป่าช้าฉะนั้น
บุคคลเหล่าอื่นย่อมไม่รักษาบรรพชิต และบรรพชิตก็ไม่รักษาคนเหล่าอื่น ภิกษุนั้นแลเป็นผู้ไม่ห่วงใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข
แอ่งศิลาซึ่งมีน้ำใส ประกอบด้วยหมู่ชะนีและค่าง ดารดาษ ไปด้วยสาหร่าย ย่อมยังอาตมาให้ยินดี
การที่อาตมาอยู่ ในเสนาสนะป่า คือ ซอกเขาและถ้ำอันเป็นที่สงัด เป็นที่ซ่องเสพอาศัยแห่งมวลมฤค ย่อมทำให้อาตมายินดี
อาตมาไม่เคยรู้สึกถึงความดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบ ด้วยโทษเลยว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกเบียดเบียน จงถูกฆ่า จงได้รับทุกข์
อาตมาได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดาแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาตมาทำเสร็จแล้ว อาตมาปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว
อาตมาบรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธาต้องการแล้ว ถึงความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว
อาตมาไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ และรอเวลาอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้สิ้นเวลาทำงานฉะนั้น
อาตมามีสติสัมปชัญญะเฉพาะหน้า ไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ และเป็นผู้รอเวลาตายอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 421
ศัพท์ กึ ในบทว่า กึ ตวตฺโถ วเน นี้ ในคาถานั้น ท่านกล่าว ด้วยลิงควิปัลลาส. อธิบายว่า ท่านจะได้ประโยชน์อะไรในป่า, คือจะเป็น ประโยชน์อะไร?
บทว่า อุชฺชุหาโนว ปาวุเส ความว่า ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า อุชฺชุ- หานะ. ก็ภูเขานั้นดารดาษไปด้วยรกชัฏ มีแอ่งน้ำและซอกเขามาก, มี น้ำไหลในที่นั้นๆ ไม่เป็นสัปปายะในฤดูฝน, เพราะฉะนั้น ภูเขาชื่อว่า อุชชุหานะ จึงมีประโยชน์ในบัดนี้คือในฤดูฝน. แต่ในที่นี้อาจารย์บาง พวกกล่าวว่า นกตัวหนึ่งชื่อว่า อุชชุหานะ จึงอดทนความหนาวไม่ได้, ในฤดูฝนมันจึงแอบอยู่ในพุ่มป่า, ตามมติของอาจารย์บางพวกนั้น ท่าน จะมีความพอใจในป่าหรือ เหมือนนกชื่อว่า อุชชุหานะ ในฤดูฝนฉะนั้น. บทว่า เวรมฺภา รมณิยา เต มีวาจาประกอบความว่า ลมหัวด้วน พัดมาอยู่ ท่านจะมีความพอใจหรือ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าใน ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า เวรัมภา และว่าเงื้อมเขา. ก็ในที่นั้นประกอบด้วย คมนาคม เว้นจากความแออัดแห่งหมู่ชน และเพียบพร้อมด้วยร่มเงาและ น้ำ, เพราะฉะนั้น ถ้ำเวรัมภาจึงเป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ สมควรที่จะอยู่ในป่า, เพราะเหตุไร? เพราะเป็นที่สงัดสำหรับผู้เข้าฌาน, เพราะเหตุที่ผู้เข้าฌาน เช่นนั้น จำต้องปรารถนาเฉพาะความสงัด ในที่ใดที่หนึ่ง ฉะนั้น ท่านจึง กล่าวว่า เจ้าอย่าไปสู่ป่าอันไกล จงอยู่ในถ้ำเวรัมภาเถิดพ่อ.
ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า เพราะเหตุเมื่อผู้เข้าฌาน ได้เสนาสนะ อันผาสุกแก่การอยู่ ควรเป็นที่สงัดนั่นแล ฌานเป็นต้นย่อมสำเร็จ เมื่อไม่ได้ หาสำเร็จไม่ ฉะนั้น ในฤดูฝนเห็นปานนั้น ท่านไม่ควรอยู่ในป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่อาจอยู่ได้ในถ้ำและเงื้อมเขาเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 422
เมื่ออุบาสกกล่าวอย่างนั้น พระเถระเมื่อแสดงว่า ป่าเป็นต้นเท่านั้น ย่อมยังเราให้ยินดี จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยถา อพฺภานิ ลมหัวด้วนในท้องฟ้า ดังนี้.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ในฤดูฝนลมหัวด้วนบันลือลั่น ทำเมฆหมอก ให้ตกลงมาไปฉันใด สัญญาอันประกอบด้วยวิเวก ย่อมปรับแต่งจิตของเรารั้งมาสู่เฉพาะสถานที่สงัดเท่านั้น ฉันนั้น.
เหมือนอะไรเล่า? เหมือนกาอันเป็นสัตว์เกิดแต่ฟองไข่ มีสีไม่ขาว คือ สีดำ เที่ยวอาศัยอยู่ในป่าช้าฉะนั้น.
บทว่า อุปฺปาทยเตว เม สตึ สนฺเทหสฺมึ วิราคนิสฺสิตํ ความว่า กายคตาสติกรรมฐานอันประกอบด้วยความคลายกำหนัดในกายนี้ ย่อมเกิด ขึ้นแก่อาตมาทันที.
ได้ยินว่า วันหนึ่งพระเถระเห็นซากมนุษย์ที่กาจิกกิน กลับได้อสุภสัญญา ที่ท่านหมายเอาจึงกล่าวอย่างนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงว่า เราปรารถนาจะอยู่ในป่าเท่านั้น เพราะฉันทราคะในกายไม่มี โดยประการทั้งปวง.
ก็ศัพท์ว่า ยญฺจ เป็นสมุจจยัตถะ ด้วย จ ศัพท์นั้น ท่านแสดงว่า ท่านจงฟังเหตุแห่งการอยู่ในป่าของเราแม้อื่น. ชนเหล่าอื่นมีเสวกเป็นต้น ย่อมไม่รักษาบรรพชิตใด เพราะไม่มีผู้ที่จะพึงรักษา เหตุเป็นผู้อยู่ด้วยกรรมฐานมีเมตตาเป็นอารมณ์ และเหตุไม่มีเครื่องบริขารอันเป็นที่ตั้งแห่งความโลภ, อนึ่ง บรรพชิตใดไม่รักษาชนเหล่าอื่นอันพัวพันด้วยเครื่องกังวลอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีบุคคลเช่นนั้นนั่นเอง.
บทว่า ส เว ภิกฺขุ สุขํ เสติ ความว่า ภิกษุนั้น ไม่มีความอาลัย คือเว้นจากความห่วงใยในวัตถุกามโดยประการทั้งปวง เพราะตัดกิเลสกามได้เด็ดขาด ย่อมอยู่เป็นสุขในที่ทุกแห่ง, อธิบายว่า ถึงที่นั้นเป็นป่าก็เหมือนบ้าน เพราะที่นั้นไม่มีความระแวงสงสัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 423
บัดนี้ เพื่อแสดงความที่ภูเขาและป่าเป็นต้นเป็นที่น่ารื่นรมย์ และความเป็นที่ๆ ตนเคยอยู่อาศัย ท่านจึงกล่าวว่า อจฺเฉทิกา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสิตํ เม ได้แก่สถานที่ๆ เราเคยอยู่ บทว่า วาฬมิคนิเสวิเต ได้แก่ ในป่าที่มีสัตว์ร้าย มีราชสีห์และเสือ เป็นต้น.
ด้วยบทว่า สงฺกปฺปํ นาภิชานามิ ท่านแสดงถึงความเป็นผู้อยู่ด้วยกรรมฐานมีเมตตาเป็นอารมณ์ว่า อาตมาไม่รู้สึกถึงการให้เกิดความดำริชั่ว ต่างด้วยความพยาบาทและวิหิงสาเป็นต้นอันไม่ประเสริฐจากจิตที่ประกอบด้วยโทษนั่นเองอย่างนี้ว่า ขอสัตว์ผู้มีปราณเหล่าใดเหล่าหนึ่ง จงถูกฆ่า คือจงถูกประหารด้วยเครื่องประหารมีลูกศรและหอกเป็นต้น จงถูกฆ่า จงถูกเบียดเบียนด้วย เครื่องประหารด้วยค้อนเป็นต้น หรือจงถึงคือประสบทุกข์ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ความดำริผิดไม่เคยเกิดขึ้นเลย.
บัดนี้ ท่านแสดงถึงความที่กิจที่ตนทำ โดยนัยมีอาทิว่า ปริจิณฺโณ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริจิณฺโณ ได้แก่ บำเรอแล้วด้วย อำนาจการทำตามโอวาทานุสาสนี.
บทว่า โอหิโต แปลว่า ปลงลงแล้ว.
บทว่า ครุโก ภาโร ได้แก่ ขันธภาระอันหนักยิ่ง
บทว่า นาภินนฺทามิ มรณํ ความว่า เราไม่ปรารถนาความตาย ว่าทำอย่างไรเราจึงจะตาย.
บทว่า นาภินนฺหามิ ชีวิตํ ความว่า เราไม่ปรารถนาแม้ชีวิตว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 424
อย่างไรหนอแล เราพึงมีชีวิตอยู่ได้นาน. ด้วยคำนี้ท่านแสดงถึงความที่ เรามีจิตเสมอกันในความตายและในชีวิต.
บทว่า กาลญฺจ ปฏิกงฺขามิ ความว่า เรารอการปรินิพพานเท่านั้น.
บทว่า นิพฺพิสํ แปลว่า ไม่เพลิดเพลิน คือการทำการงานเพื่อ ค่าจ้าง.
บทว่า ภตโก ยถา ความว่า ลูกจ้างกระทำการงานเพื่อคนอื่น แม้ไม่เพลิดเพลินซึ่งความสำเร็จแห่งการงาน ก็คงกระทำการงานอยู่นั่นแล พอให้หมดสิ้นไปแห่งวัน ฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น แม้ไม่เพลิดเพลินในชีวิต ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยดี ก็ย่อมรอเฉพาะกาลสิ้นสุด, คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสังกิจจเถรคาถาที่ ๑
จบปรมัตถทีปนี อรรถกถาเถรคาถา
เอกาทสกนิบาต