พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. อุทายีเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระอุทายีเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40654
อ่าน  335

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 505

๒. อุทายีเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระอุทายีเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 505

๒. อุทายีเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระอุทายีเถระ

[๓๘๔] เราเคยได้ฟังมาจากพระอรหันต์ทั้งหลายว่า มนุษย์ทั้ง หลายย่อมนอบน้อมบุคคลใด ผู้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง มีตนอันได้ฝึกฝนแล้ว มีจิตตั้งมั่น ดำเนินไปในทางของพรหม ยินดีในการสงบระงับจิต ถึง ฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็พากันนอบน้อม บุคคลนั้น เทวดาและมนุษย์ย่อมนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง ออกจาก ป่า คือกิเลสมาสู่นิพพาน ออกจากกามมายินดีในเนกขัมมะ เหมือนทองคำอันพ้นแล้วจากหินฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นแลเป็นนาค รุ่งเรืองพ้น โลกนี้กับทั้งเทวโลก เหมือนขุนเขาหิมวันต์รุ่งเรืองล่วง ภูเขาเหล่านั้น เราจักแสดงช้างตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นนาค นี้ชื่อโดยแท้จริง เป็นเยี่ยมกว่าบรรดาผู้มีชื่อว่านาคทั้ง หมด แก่ท่านทั้งหลาย เพราะผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นชื่อ ว่า นาค ความสงบเสงี่ยมและการไม่เบียดเบียน ๒ อย่าง นี้ เป็นเท้าหน้าทั้งสองของนาค สติสัมปชัญญะเป็นเท้า หลัง ช้างตัวประเสริฐควรบูชา มีศรัทธาเป็นงวง มี อุเบกขาเป็นงาอันขาว มีสติเป็นคอ มีปัญญาเครื่อง พิจารณาค้นคว้าธรรมเป็นศีรษะ มีธรรม คือสมาวาสะเป็น

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 506

ท้อง มีวิเวกเป็นหาง ช้างตัวประเสริฐ คือพระพุทธเจ้า นั้น เป็นผู้มีปกติเพ่งฌาน ยินดีในนิพพาน มีจิตตั้งมั่น ดีแล้วในภายใน คือเมื่อเดินก็มีจิตตั้งมั่น เมื่อยืนก็มีจิต ตั้งมั่น นอนก็มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้สำรวมในที่ทั้งปวง อัน นี้เป็นคุณสมบัติของช้างตัวประเสริฐ คือพระพุทธเจ้า ช้าง ตัวประเสริฐ คือพระพุทธเจ้านั้น บริโภคของอันหาโทษ มิได้ ไม่บริโภคของที่มีโทษ ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่ม แล้ว ก็ไม่สั่งสมไว้ ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวผูกพันน้อยใหญ่ ทั้งสิ้น ไม่มีความห่วงใยเลย เที่ยวไปในที่ทุกแห่ง เปรียบ เหมือนดอกบัวขาบ มีกลิ่นหอมหวานชวนให้รื่นรมย์ เกิด ในน้ำ เจริญในน้ำ ย่อมไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉันใด พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก อยู่ในโลก ไม่ติดอยู่ด้วย โลก เหมือนดอกปทุมไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉันนั้น ไฟกอง ใหญ่ลุกโชนเมื่อหมดเชื้อก็ดับไป ก็เมื่อเถ้ายังมีอยู่ เขา ก็เรียกกันว่าไฟดับแล้ว ฉันใด อุปมาอันทำให้รู้เนื้อความ แจ่มแจ้งนี้ วิญญูชนทั้งหลายแสดงไว้แล้ว ก็ฉันนั้น พระมหานาคทั้งหลายจักรู้แจ้งนาคด้วยนาค อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว พระพุทธนาคเป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ และโมหะ หมดอาสวะ เมื่อละสรีระร่างกายนี้แล้ว ก็จักไม่มีอาสวะปรินิพพาน.

จบอุทายีเถรคาถา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 507

ในโสฬสกนิบาตนี้ พระเถระผู้มีมหิทธิฤทธิ์ ๒ รูป คือ พระโกณฑัญญเถระ กับ พระอุทายีเถระ ได้ภาษิต คาถาไว้องค์ละ ๑๖ คาถา รวมเป็น ๓๒ คาถา ฉะนี้แล.

จบโสฬสกนิบาต

อรรถกถาอุทายีเถรคาถาที่ ๒

คาถาของ ท่านพระอุทายีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า มนุสฺสภูตํ สมฺพุทฺธํ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร?

พระเถระแม้นี้ ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่ง สมบุญกุศลอันเป็นอุปนิสัยในภพนั้นๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงกบิลพัสดุ์ ได้นามว่า อุทายี เจริญวัยแล้ว เห็นพระพุทธานุภาพในสมาคมพระญาติของ พระศาสดา ได้ศรัทธาบวชแล้วบำเพ็ญวิปัสสนากรรม ไม่นานนักก็บรรลุ พระอรหัต, ก็พระอุทายีเถระทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ กาฬุทายี มาในก่อนเป็นบุตร ของอำมาตย์, ลาลุทายีบุตรของโกวริยพราหมณ์, พระเถระนี้เป็นบุตรของ พราหมณ์ ชื่อว่า มหาอุทายี, วันหนึ่ง ท่านอุทายีนี้นั่น เมื่อพระศาสดาทรง แสดงนาโคปมสูตร กระทำช้างเผือก ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง อันมหาชนพากันสรรเสริญ ให้เป็นอัตถุปบัติเหตุ ในเวลาจบเทศนานึก ถึงคุณของพระศาสดา อันสมควรแก่กำลังญาณของตน ผู้มีใจอันปีติ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์กระตุ้นเตือน จึงคิดว่า มหาชนนี้สรรเสริญ นาค ซึ่งเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่ใช่สรรเสริญมหานาคคือพระพุทธเจ้า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 508

เอาเถอะ เราจักกระทำคุณแห่งช้างมหาคันธะ คือพระพุทธเจ้าให้ปรากฏ ดังนี้แล้ว เมื่อจะชมเชยพระศาสดา จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

เราเคยได้ฟังมาจากพระอรหันต์ทั้งหลายว่า มนุษย์ ทั้งหลายย่อมนอบน้อมบุคคลใด ผู้เกิดเป็นมนุษย์ เป็น พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง มีตนอันได้ฝึกฝนแล้ว มีจิตตั้ง มั่น ดำเนินไปในทางของพรหม ยินดีในการสงบระงับ จิต ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็พากัน นอบน้อมบุคคลนั้น เทวดาและมนุษย์ย่อมนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง ออกจากป่า คือกิเลสมาสู่นิพพาน ออกจากกามมายินดี ในเนกขัมมะ เหมือนทองคำอันพ้นแล้วจากหินฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแลเป็นนาค รุ่งเรืองพ้น โลกนี้กับทั้งเทวโลก เหมือนภูเขาหิมวันต์ รุ่งเรืองล่วง ภูเขาเหล่าอื่นฉะนั้น เราจักแสดงนาค ซึ่งเป็นนาคมีชื่อ โดยแท้จริง เป็นเยี่ยมกว่าบรรดาผู้มีชื่อว่านาคทั้งหมด แก่ ท่านทั้งหลาย เพราะผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นชื่อว่านาค ความ สงบเสงี่ยมและการไม่เบียดเบียน ๒ อย่างนี้ เป็นเท้าหน้า ทั้งสองของนาค สติสัมปชัญญะ เป็นเท้าหลัง นาคคือช้าง ตัวประเสริฐควรบูชา มีศรัทธาเป็นงวง มีอุเบกขาเป็นงาอัน ขาว มีสติเป็นคอ มีปัญญาเครื่องค้นคว้าธรรมเป็นศีรษะ มีธรรม คือสมาวาสะเป็นท้อง มีวิเวกเป็นหาง ช้างตัว ประเสริฐคือพระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้มีปกติเพ่งฌาน ยินดี

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 509

ในนิพพาน มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในภายใน คือเมื่อเดินก็มี จิตตั้งมั่น เมื่อยืนก็มีจิตตั้งมั่น นอนก็มีจิตตั้งมั่น แม้เมื่อ นั่งก็มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้สำรวมในที่ทั้งปวง อันนี้คือสมบัติ ของช้างตัวประเสริฐคือพระพุทธเจ้า ช้างตัวประเสริฐคือ พระพุทธเจ้านั้นบริโภคของอันหาโทษมิได้ ไม่บริโภคของ ที่มีโทษ ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มแล้ว ก็ไม่สั่งสมไว้ ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวผูกพันน้อยใหญ่ทั้งสิ้น ไม่มีความห่วง ใยเลย เที่ยวไปในที่ทุกหนทุกแห่ง เปรียบเหมือนดอกบัว ขาบ มีกลิ่นหอมหวลชวนให้รื่นรมย์ เกิดในน้ำ เจริญใน น้ำ ย่อมไม่ติดอยู่ด้วยน้ำฉันใด พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ แล้วในโลก อยู่ในโลก ไม่ติดอยู่ด้วยโลก เหมือนดอก ปทุมไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉันนั้น ไฟกองใหญ่ลุกโชน เมื่อ หมดเชื้อก็ดับไป ก็เมื่อเถ้ายังมีอยู่เขาเรียกกันว่า ไฟดับ แล้วฉันใด อุปมาอันทำให้รู้เนื้อความแจ่มแจ้งนี้ วิญญูชน ทั้งหลายแสดงไว้แล้ว ก็ฉันนั้น พระมหานาคทั้งหลาย จักรู้แจ้งนาคด้วยนาคอันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว พระพุทธนาคผู้ปราศจากราคะ โทสะ และโมหะ หมดอาสวะ เมื่อละสรีระร่างกายนี้แล้ว ก็จักไม่มีอาสวะปรินิพพาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสภูตํ ความว่า เป็นคือบังเกิดใน มนุษย์ หรือถึงอัตภาพมนุษย์. จริงอยู่พระศาสดา แม้ทรงพ้นจากคติ ทั้งปวง ด้วยทรงบรรลุอาสวักขยญาณ เขาก็เรียกว่ามนุษย์เหมือนกัน ด้วย อำนาจที่พระองค์ทรงถือปฏิสนธิในภพสุดท้าย ก็พระองค์เป็นเทพยิ่งกว่า

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 510

เทพ เป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม ด้วยอำนาจคุณ. บทว่า สมฺพุทฺธํ ความว่า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองทีเดียว. บทว่า อตฺตทนฺตํ ได้แก่ ผู้ฝึกตนด้วยตนเอง. จริงอยู่พระผู้มีพระภาค เจ้า ทรงฝึกพระองค์ด้วยการฝึกอย่างสูงสุด โดยจักษุบ้าง ฯลฯ โดยใจบ้าง ด้วยอริยมรรคที่พระองค์ให้เกิดขึ้นด้วยพระองค์เอง. บทว่า สมาหิตํ ความ ว่า ตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธิ ๘ อย่าง และด้วยสมาธิอันเกิดจากมรรคและผล.

บทว่า อิริยมานํ พฺรหฺมปเถ ความว่า ในคลองแห่งพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ หรือเป็นไปในคลองแห่งผลสมาบัติ อันประเสริฐคือสูงสุด ด้วยอำนาจการเข้าสมาบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่ดำเนินในคลองอัน ประเสริฐ ตามที่กล่าวแล้วตลอดกาลทั้งสิ้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ท่าน ก็กล่าวว่า อิริยมานํ เพราะอาศัยความเป็นผู้น้อมไปในอริยสมาบัตินั้น.

บทว่า จิตฺตสฺสูปสเม รตํ ความว่า ยินดียิ่ง ในการสงบสังขาร ทั้งปวงคือในพระนิพพาน อันเป็นเหตุสงบแห่งจิต.

บทว่า ยํ มนุสฺสา นมสฺสนฺติ สพฺพธมฺมาน ปารคุํ ความว่า มนุษย์ทั้งหลายมีกษัตริย์และบัณฑิตเป็นต้น ย่อมนอบน้อมซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใด ผู้มีสมบัติอันสูงสุดอย่างยอดเยี่ยม ผู้ถึงฝั่งทั้ง ๖ คือถึงฝั่งแห่ง อภิญญาแห่งธรรมมีขันธ์และอายตนะเป็นต้นทั้งหมด ๑ ถึงฝั่งแห่งปริญญา ๑ ถึงฝั่งแห่งภาวนา ๑ ผู้ถึงฝั่งแห่งการกระทำให้แจ้ง ๑ ถึงฝั่งแห่งสัมมาปฏิบัติ ๑ ถึงฝั่งแห่งปหานะ ๑ เมื่อบูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ ธรรมย่อมเป็นผู้น้อมไป โอนไป เงื้อมไป ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่น ด้วยกาย วาจา และใจ. บทว่า เทวาปิ ตํ นมสฺสนฺติ ความว่า ไม่ใช่พวกมนุษย์อย่างเดียว

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 511

เท่านั้น โดยที่แท้ แม้เทวดาทั้งหลาย ในโลกธาตุหาประมาณมิได้ ก็ย่อม นอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.

ด้วยบทว่า อิติ เม อรหโต สุตํ นี้ ท่านแสดงว่า คำอย่างนี้ คือคำที่เราสดับมาแล้วอย่างนี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อรหันต์ และของพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ผู้กล่าวคำมีอาทิว่า สตฺถา เทวมนุสฺ- สานํ ด้วยเหตุมีความเป็นผู้ไกล (จากกิเลส) เป็นต้น.

บทว่า สพฺพสํโยชนาตีตํ ความว่า ผู้ก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งหมด ๑๐ ด้วยมรรค ๔ ตามสมควรพร้อมด้วยวาสนา.

บทว่า วนา นิพฺพนมาคตํ ความว่า ผู้เข้าถึงความเบื่อหน่าย อัน เว้น จากป่าคือกิเลสนั้น.

บทว่า กาเมหิ เนกฺขมฺมรตํ ความว่า ออกจากกามโดยประการทั้ง ปวง แล้วยินดีในเนกขัมมะ ต่างด้วยบรรพชา ฌานและวิปัสสนาเป็นต้น.

บทว่า มุตฺตํ เสลาว กญฺจนํ ความว่า เหมือนทองคำอันพ้นแล้ว จากหิน เพราะมีสภาวะเป็นทองแท้ที่กำจัดสิ่งมิใช่ทองออกแล้ว. มีวาจา ประกอบความว่า แม้เทวดาทั้งหลายก็ย่อมนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น.

บทว่า ส เว อจฺจรุจิ นาโค ความว่า พระองค์ไม่กระทำบาปโดย ส่วนเดียว ย่อมไม่ไปสู่ภพใหม่ เป็นผู้มีกำลังเหมือนช้าง เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้พระนามว่า นาค.

บทว่า อจฺจรุจิ ความว่า พระองค์รุ่งเรืองพ้นโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยความรุ่งเรืองแห่งพระกายและพระญาณของพระองค์. เหมือน อะไร? เหมือนขุนเขาหิมวันต์รุ่งเรืองล่วงภูเขาเหล่าอื่นฉะนั้น อธิบายว่า พระองค์ทรงรุ่งเรืองยิ่ง เหมือนขุนเขาหิมวันต์ รุ่งเรืองล่วงภูเขาเหล่าอื่น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 512

ด้วยคุณ มีภาวะที่ตนมีสาระมั่นคงหนักและใหญ่เป็นต้นฉะนั้น.

บทว่า สพฺเพสํ นาคนามานํ ได้แก่ อหินาค นาคคืองู, หัตถินาค นาคคือช้าง, ปุริสนาค นาคคือคน อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ เสขนาค นาคคือพระเสขะ, อเสขนาค นาคคือพระอเสขะ, ปัจเจกพุทธนาค นาคคือพระปัจเจกพุทธ, พุทธนาค นาคคือพระพุทธเจ้า.

บทว่า สจฺจนาโม ได้แก่ ชื่อว่านาความเป็นจริง, ก็พระอุทายี ย่อมกล่าวซึ่งความที่นาคเป็นชื่อตามจริง ด้วยตนเองทีเดียว ด้วยคำว่า "เพราะผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นชื่อว่านาค" ดังนี้เป็นต้น.

บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงพระพุทธนาคโดยอวัยวะ และเพื่อจะแสดง โดยชื่อก่อน จงกล่าวว่า "เพราะผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นชื่อว่านาค." อธิบายว่า ชื่อว่า นาค เพราะไม่กระทำบาปโดยประการทั้งปวง.

บทว่า โสรจฺจํ ได้แก่ ศีล.

บทว่า อวิหึสา ได้แก่ กรุณา. ความที่พระพุทธนาคเป็นดัง เท้าหน้า สมควรแล้วสำหรับนาคนั้น เพราะการทำวิเคราะห์ว่า โสรัจจะ และอวิหิงสาทั้งสองนั้น เป็นประธานแห่งกองคุณแม้ทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านพระอุทายีจึงกล่าวว่า "ความสงบเสงี่ยมและความไม่เบียดเบียน ๒ อย่างนี้ เป็นเท้าหน้าทั้งสองของนาคคือช้างตัวประเสริฐ" เมื่อจะ กล่าวโดยความเป็นดังเท้าหลัง จึงกล่าวว่า "สติและสัมปชัญญะเป็น เท้าหลัง." บาลีว่า ตฺยาปเร ดังนี้ก็มี. จำแนกบทว่า เต อปเร ดังนี้ เหมือน กัน. ศรัทธาในการยึดถือธรรมอันหาโทษมิได้เป็นดังงวงของช้างนั้น เหตุ นั้นช้างนั้นชื่อว่ามีศรัทธาเป็นดังงวง. อุเบกขาอันต่างด้วยญาณ (ปัญญา) อันเป็นเวทนาบริสุทธิ์ดี เป็นงาขาวของช้างนั้นมีอยู่ เหตุนั้นช้างนั้น ชื่อว่า

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 513

มีอุเบกขาเป็นงาขาว. มีปัญญาเป็นศีรษะ มีสติเป็นที่ตั้งมั่นของปัญญานั้น เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า มีสติเป็นคอ มีปัญญาเป็นศีรษะ.

บทว่า วีมํสา ธมฺมจินฺตนา ความว่า การลูบคลำ และการสูด กลิ่น สิ่งที่ควรกินและไม่ควรกินด้วยงวง ชื่อว่าปัญญาเครื่องพิจารณา ของหัตถินาคฉันใด ความคิดซึ่งธรรมมีกุศลเป็นต้น ชื่อว่าปัญญาเครื่อง พิจารณาของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐฉันนั้น. ชื่อว่า สมาวาสะ เพราะ เป็นที่อยู่ร่วมกันเสมอ ได้แก่การอยู่ร่วมกัน คือท้องอันเป็นที่รองรับ ได้แก่ ธรรมกล่าวคือสมถะและวิปัสสนา เพราะเป็นที่รองรับอภิญญา และสมถะ, ธรรมเป็นที่อยู่เสมอคือท้องของนาคมีอยู่ เหตุนั้น นาคจึงเป็นผู้ชื่อว่า กุจฉิสมาวาสะ มีธรรมเป็นที่อยู่คือท้อง.

บทว่า วิเวโก ได้แก่ อุปธิวิเวก. บทว่า ตสฺส ได้แก่ พระพุทธนาค. ชื่อว่าเป็นหาง เพราะหางเป็น อวัยวะที่สุด.

บทว่า ฌายี ได้แก่ ผู้มีปกติเพ่งฌาน เพราะเข้าไปเพ่งอารมณ์

บทว่า อสฺสาสรโต ความว่า ยินดีแล้วในพระนิพพานอันเป็น ที่โล่งใจอย่างยิ่ง.

บทว่า อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต ความว่า มีจิตตั่งมั่นด้วยดีในผลสมาบัติ อันเป็นอารมณ์ภายใน เพราะแสดงว่า การตั้งมั่นนี้นั่นเป็นไป ได้ทุกกาลด้วยดี ท่านจึงกล่าวว่า ช้างตัวประเสริฐเมื่อเดินก็จิตตั้งมั่น.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระทัยตั้งมั่นด้วยดีเป็นนิจ เพราะ ไม่มีความฟุ้งซ่าน เหตุละอุทธัจจะเสียได้. เพราะฉะนั้น พระองค์สำเร็จ อิริยาบถใดๆ มีพระหทัยตั้งมั่นสำเร็จอิริยาบถนั้นๆ แล.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 514

บทว่า สพฺพตฺถ ได้แก่ ในอารมณ์ทั้งปวง และปิดกั้นความเป็น ไปโดยประการทั้งปวงในทวารทั้งปวง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวคำมีอาทิ ว่า กายกรรมทั้งปวงเป็นตัวนำแห่งญาณ (ปัญญา) คือเป็นไปตามญาณ. บทว่า เอสา นาคสฺส สมฺปทา ความว่า นี้เป็นคุณสมบัติ คือ เป็นความบริบูรณ์ด้วยคุณแห่งช้างตระกูลคันธะคือพระพุทธเจ้า ตามที่ กล่าวแล้วและกำลังจะกล่าวอยู่ โดยนัยมีอาทิว่า สมฺพุทฺธํ.

บทว่า ภุญฺชติ อนวชฺชานิ มีวาจาประกอบว่า บริโภคสิ่งที่ไม่ถูก ติเตียน เพราะเพียบพร้อมอย่างยิ่งแห่งสัมมาอาชีวะ และไม่บริโภคสิ่งที่มี โทษ คือสิ่งที่ถูกติเตียน เพราะละมิจฉาชีพพร้อมด้วยวาสนาโดยประการ ทั้งปวง. และเมื่อจะบริโภคสิ่งที่ไม่มีโทษ ย่อมบริโภคสิ่งที่สะสมพร้อม คือสิ่งที่ควรเว้น.

บทว่า สํโยชนํ ได้แก่ สังโยชน์ทั้ง ๑๐ อันสามารถจะให้สัตว์จม ลงในวัฏฏะ เพราะประกอบสัตว์ไว้กับด้วยวัฏทุกข์. บทว่า อณุํ ถูลํ แปลว่า เล็กและใหญ่.

บทว่า สพฺพํ เฉตฺวาน พนฺธนํ ความว่า ตัดเครื่องผูกคือกิเลส ได้เด็ดขาดด้วยมรรคญาณ.

บทว่า เยน ได้แก่ โดยทิสาภาคใดๆ มีโยชนาว่า เหมือนดอกบัว ขาบที่เกิดในน้ำ ย่อมงอกงาม ไม่คิดอยู่ในน้ำ เพราะมีสภาวะไม่เข้าไป ติดด้วยน้ำฉันใด พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลกแล้วย่อมอยู่ ในโลก ย่อมไม่ติดด้วยโลก เพราะไม่มีเครื่องฉาบทาคือตัณหา ทิฏฐิ และ มานะ.

บทว่า คินิ แปลว่า ไฟ. บทว่า อนาหาโร แปลว่า ไม่มีเชื้อ.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 515

บทว่า อตฺถสฺสายํ วิญฺาปนี ความว่า การทำให้ผู้อื่นรู้ คือการ ประกาศอรรถแห่งอุปไมย กล่าวคือคุณของพระศาสดา นี้ชื่อว่าเป็นอุปมา แห่งนาคคือช้างตัวประเสริฐ

บทว่า วิญฺูหิ ได้แก่ ผู้กำหนดรู้สัจธรรมที่พระศาสดาทรงตรัสรู้ แล้ว ด้วยคำนี้ท่านกล่าวหมายถึงตน.

บทว่า วิญฺิสฺสนฺติ เป็นต้น เป็นคำกล่าวถึงเหตุ, อธิบายว่า เพราะเหตุที่พระมหานาคคือพระขีณาสพ ตั้งอยู่ในวิสัยของตน จักรู้แจ้ง ซึ่งช้างคือช้างผู้มีกลิ่นหอมคือพระตถาคต อันนาคคือเราแสดงแล้ว ฉะนั้น เพื่อจะประกาศแก่ผู้ปุถุชนเหล่าอื่น เราจึงกล่าวอุปมานี้.

บทว่า สรีรํ วิชหํ นาโค ปรินิพฺพิสฺสตฺยนาสโว ความว่า ช้าง คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าผู้ไม่มีอาสวะ ด้วยสอุปาทิเสสปรินิพพาน ณ ควงโพธิพฤกษ์ บัดนี้เมื่อทรงละร่างกาย คืออัตภาพ จักปรินิพพาน ด้วยขันธปรินิพพาน.

พระเถระครั้นประดับด้วยอุปมา ๑๔ อย่างนี้แล้ว จึงพรรณนา พระคุณของพระศาสดา ด้วยคาถา ๑๖ คาถา มี ๖๔ บาท แล้วให้เทศนา

จบลง ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

จบอรรถกถาอุทายีเถรคาถาที่ ๒

จบปรมัตถทีปนี อรรถกถาเถรคาถา

โสฬสกนิบาต