พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. ปาราสริยเถรคาถา ว่าด้วยไม่รักษาอินทรีย์จึงมีโทษ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 พ.ย. 2564
หมายเลข  40656
อ่าน  347

[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 18

เถรคาถา วีสตินิบาต

๒. ปาราสริยเถรคาถา

ว่าด้วยไม่รักษาอินทรีย์จึงมีโทษ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 18

๒. ปาราสริยเถรคาถา (๑)

ว่าด้วยไม่รักษาอินทรีย์จึงมีโทษ

[๓๘๖] ความคิดได้มีแล้วแก่ภิกษุผู้ชื่อว่าปาราสริยะ ผู้เป็น สมณะนั่งอยู่แล้วแต่ผู้เดียว มีจิตสงบสงัด เพ่งฌาน บุรุษพึงทำอะไรโดยลำดับ พึงประพฤติวัตรอย่างไร ประพฤติมารยาทอย่างไร จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำกิจของตน และ ชื่อว่าไม่เบียดเบียนใครๆ อินทรีย์ทั้งหลายย่อมมีเพื่อ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย อินทรีย์ ที่ไม่รักษาย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ อินทรีย์ที่รักษา ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ บุรุษผู้รักษาและคุ้มครอง อินทรีย์นั่นแล จึงชื่อว่าเป็นผู้กระทำกิจของตน และ ชื่อว่าไม่เบียดเบียนใครๆ. ถ้าผู้ใดไม่ห้ามจักขุนทรีย์อันไป ในรูปทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้น จากทุกข์ได้เลย อนึ่ง ผู้ใดไม่ห้ามโสตินทรีย์ อันเป็นไป อยู่ในเสียงทั้งหลาย ยังไม่เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นจาก ทุกข์ได้เลย. ถ้าผู้ใดไม่เห็นอุบายเครื่องสลัดออก ซ่องเสพในกลิ่น ผู้นั้นเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในกลิ่น ย่อมไม่พ้น จากทุกข์ ผู้ใดมัวแต่คำนึงถึงรสเปรี้ยว รสหวานและ รสขม เป็นผู้กำหนัดยินดีด้วยตัณหาในรส ไม่รู้สึกถึง ความคิดในใจ (อันเกิดขึ้นในขณะบรรพชาว่า จักทำที่สุด ทุกข์) ผู้นั้นย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ผู้ใดมัวนึกถึงโผฏ- ฐัพพะอันสวยงาม ไม่ปฏิกูล ยินดีแล้ว ผู้นั้นย่อมได้


๑. ม. ปาราปริยเถรคาถา.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 19

ประสบทุกข์มีประการต่างๆ อันมีราคะเป็นเหตุ ก็ผู้ใด ไม่อาจรักษาใจจากธรรมเหล่านี้ ทุกข์จากอารมณ์ทั้ง ๕ นั้น ย่อมติดตามผู้นั้นไป เพราะการไม่รักษาใจนั้น.

ร่างกายนี้เต็มไปด้วยหนองเลือดและซากศพเป็นอัน มาก อันนายช่างผู้ฉลาดทำไว้ เป็นของเกลี้ยงเกลาวิจิตร งดงามดุจสมุก คนพาลย่อมไม่รู้สึกว่า ร่างกายนี้เป็นของ เผ็ดร้อน มีรสหวานชื่นใจ เกี่ยวพันด้วยความรัก เป็น ทุกข์ เป็นของฉาบไล้ไว้ด้วยสิ่งที่น่าชื่นใจ เหมือนมีดโกน อันทาแล้วด้วยน้ำผึ้งฉะนั้น.

บุคคลผู้กำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะของหญิง ย่อมต้องประสบทุกข์มีประการ ต่างๆ. กระแสตัณหาในหญิงทั้งปวงย่อมไหลไปในทวาร ทั้ง ๕ ของบุรุษ ผู้ใดมีความเพียร อาจทำการป้องกัน กระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ผู้นั้นเป็นผู้รู้อรรถ ตั้งอยู่ใน ธรรม เป็นผู้ขยัน มีปัญญาเครื่องพิจารณา แม้บุคคลยัง เป็นผู้ยินดีในการครองเรือน ก็พึงทำกิจอันประกอบด้วย อรรถและธรรม. ถ้าประโยชน์ปัจจุบันที่ประกอบแล้ว ทำให้จมลง พึงเว้นกิจอันไร้ประโยชน์เสีย เมื่อรู้ว่า สิ่งนั้น ไม่ควรทำ พึงเป็นผู้ไม่ประมาทมีปัญญาสอดส่องในสิ่ง นั้น. บุคคลพึงยึดเอาแต่กิจที่ประกอบด้วยประโยชน์และ ความยินดีอันประกอบด้วยธรรม แล้วพึงประพฤติ เพราะ ว่าความยินดีในธรรมนั้นแล เป็นความยินดีสูงสุด.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 20

ผู้ใดปรารถนาจะชิงเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยอุบายใหญ่ น้อย ฆ่าผู้อื่น เบียดเบียดผู้อื่น ทำคนอื่นให้เศร้าโศก ฉกชิงเอาสิ่งของของคนอื่น ด้วยความทารุณร้ายกาจ การกระทำของผู้นั้น เป็นการกระทำอันประกอบด้วยความ ฉิบหาย. บุคคลผู้มีกำลัง เมื่อผ่าไม้ ย่อมตอกลิ่มด้วย ลิ่ม ฉันใด ภิกษุผู้ฉลาดย่อมกำจัดอินทรีย์ด้วยอินทรีย์ ฉันนั้น บุคคลผู้อบรมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา กำจัดอินทรีย์ ๕ ด้วยอินทรีย์ ๕ แล้ว เป็น พราหมณ์ผู้ไม่มีทุกข์ไป. บุคคลนั้นเป็นผู้รู้อรรถ ตั้งอยู่ ในธรรม ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยประการ ทั้งปวง ย่อมได้รับความสุข.

จบปาราสริยเถรคาถา

อรรถกถาปาราปริยเถรคาถาที่ ๒ (๑)

คาถาของท่านพระปาชาปริยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สมณสฺส อหุ จินฺตา ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทั้งหลาย ได้สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้นๆ ท่องเที่ยวไปเฉพาะในสุคติเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดเป็นบุตร ของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี เมื่อเขาเจริญวัย ได้มีชื่อ


๑. บาลี เป็น ปาราสริยเถรคาถา.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 21

ว่าปาราปริยะ ตามโคตร. เขาเรียนไตรเพทถึงความสำเร็จในศิลปะทั้งหลายของพราหมณ์ วันหนึ่ง ในเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม ได้ไป ยังพระเชตวันวิหารแล้วนั่งอยู่ท้ายบริษัท.

พระศาสดาทรงตรวจดูอัธยาศัยของเขาแล้วทรงแสดง อินทริยภาวนา สูตร เขาได้ฟังแล้วได้ศรัทธาแล้วบวช เรียนเอาพระสูตรนั้นแล้ว คิด เนืองๆ ถึงเนื้อความแห่งพระสูตรนั้น. ก็เนื้อความนี้นั้นจักมีแจ้งเฉพาะใน คาถาทั้งหลาย โดยประการที่ท่านคิดอยู่เนืองๆ. ท่านเมื่อคิดค้นอยู่โดย ประการนั้น จึงเริ่มตั้งวิปัสสนาโดยเอาอายตนะเป็นประธาน ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัต. กาลต่อมา เมื่อจะประกาศอาการที่ตนคิด จึงได้ กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า

ความคิดได้มีแล้วแก่ภิกษุชื่อว่าปาราปริยะ ผู้สมณะ นั่งอยู่ผู้เดียว มีจิตสงบ เพ่งฌาน. บุรุษพึงทำอะไรโดย ลำดับ พึงประพฤติวัตรอย่างไร ประพฤติมารยาทอย่างไร จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำกิจของตนและชื่อว่าไม่เบียดเบียนใครๆ. อินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมมีเพื่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ แก่มนุษย์ทั้งหลาย อินทรีย์ที่ไม่รักษาย่อมไม่เป็นไปเพื่อ ประโยชน์ อินทรีย์ที่รักษาย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์. บุรุษผู้รักษาและคุ้มครองอินทรีย์นั่นแหละ จึงชื่อว่าเป็นผู้ กระทำกิจของตน และชื่อว่าไม่เบียดเบียนใครๆ. ถ้า ผู้ใดไม่ห้ามจักขุนทรีย์อันเป็นไปในรูปทั้งหลาย เป็นผู้ ยังไม่เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย. อนึ่ง ผู้ใดไม่ห้ามโสตินทรีย์อันเป็นไปในเสียงทั้งหลาย ยังไม่

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 22

เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย. ถ้าผู้ใดไม่ เห็นอุบายเครื่องสลัดออก ซ่องเสพในกลิ่น ผู้นั้นเป็นผู้ หมกมุ่นอยู่ในกลิ่น ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์. ผู้ใดมัวแต่ คำนึงถึงรสเปรี้ยว รสหวาน และรสขม เป็นผู้กำหนัด ยินดีด้วยตัณหาในรส ไม่รู้สึกถึงความคิดในใจ (อันเกิดขึ้น ในขณะบรรพชาว่าจักทำที่สุดทุกข์) ผู้นั้นย่อมไม่พ้นไป จากทุกข์. ผู้ใดมัวนึกถึงโผฏฐัพพะอันสวยงาม ไม่ ปฏิกูล ยินดีแล้ว ผู้นั้นย่อมได้ประสบทุกข์มีประการต่างๆ อันมีราคะเป็นเหตุ. ก็ผู้ใดไม่อาจรักษาใจจากธรรม เหล่านี้ เพราะการไม่รักษาใจนั้น ทุกข์จากอารมณ์ทั้ง ๕ นั้น ย่อมติดตามผู้นั้นไป.

ร่างกายนี้เต็มไปด้วยหนอง เลือด และซากศพ เป็น อันมาก เป็นดุจสมุกอันนายช่างผู้ฉลาดทำไว้ เป็นของ เกลี้ยงเกลาจิตรงดงาม. คนพาลย่อมไม่รู้สึกว่าร่างกายนี้ เป็นของเผ็ดร้อน มีรสหวานชื่นใจ ผูกพันด้วยความรัก เป็นทุกข์ ฉาบไล้ไว้ด้วยสิ่งที่น่าชื่นใจ เหมือนมีดโกนอัน ทาด้วยน้ำผึ้งฉะนั้น. บุคคลผู้กำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะของหญิง ย่อมประสบทุกข์มี ประการต่างๆ. กระแสตัณหาในหญิงทั้งปวงย่อมไหล ไปในทวารทั้ง ๕ ของบุรุษ ผู้ใดมีความเพียรสามารถ ป้องกันกระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ผู้นั้นตั้งอยู่ในอรรถ ตั้ง อยู่ในธรรม เป็นผู้ขยัน มีปัญญาเครื่องพิจารณา แม้จะ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 23

ยังยินดีในการครองเรือน ก็พึงทำกิจอันประกอบด้วย อรรถและธรรม. ถ้าประโยชน์ (ปัจจุบัน) ที่ประกอบแล้ว ทำให้จมลง ก็พึงเว้นกิจอันไร้ประโยชน์เสีย เมื่อรู้ว่าสิ่ง นั้นไม่ควรทำ พึงเป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาสอดส่อง ในสิ่งนั้น. บุคคลพึงยึดเอาแต่กิจที่ประกอบด้วยประโยชน์ และความยินดีอันประกอบด้วยธรรม แล้วพึงประพฤติ เพราะว่าความยินดีในธรรมนั่นแล เป็นความยินดีสูงสุด.

ผู้ใดปรารถนาจะชิงเอาสิ่งของของผู้อัน ด้วยอุบาย ใหญ่น้อย ฆ่าผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ทำผู้อื่นให้เศร้าโศก ฉกชิงเอาสิ่งของของคนอื่น ด้วยความทารุณร้ายกาจ การกระทำของผู้นั้น เป็นการกระทำอันประกอบด้วยความ ฉิบหาย. บุคคลผู้มีกำลัง เมื่อผ่าไม้ย่อมตอกลิ่มด้วยลิ่ม ฉันใด ภิกษุผู้ฉลาดย่อมกำจัดอินทรีย์ด้วยอินทรีย์ฉันนั้น. บุคคลผู้อบรมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา กำจัด อินทรีย์ ๕ ด้วยอินทรีย์ ๕ แล้ว เป็นพราหมณ์ผู้ไม่มีทุกข์ ไป. บุคคลนั้นเป็นผู้รู้ในอรรถ ตั้งอยู่ในธรรม ทำตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า โดยประการทั้งปวง ย่อมได้ รับความสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณสฺส ได้แก่ ผู้เป็นบรรพชิต.

บทว่า อหุ แปลว่า ได้เป็นแล้ว.

บทว่า จินฺตา ได้แก่ ความคิดในธรรม คือการพิจารณาธรรม.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 24

บทว่า ปาราปริยสฺส ได้แก่ ผู้มีโคตรสืบๆ มา. บางอาจารย์ กล่าวว่า ปาราจริยสฺส ดังนี้ก็มี.

บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่ ผู้มีปกติเห็นภัยในสงสาร.

บทว่า เอกกสฺส แปลว่า ไม่มีเพื่อน. พระเถระแสดงกายวิเวก ด้วย บทว่า เอกกสสฺ นี้.

บทว่า ปวิวิตฺตสฺส ได้แก่ ผู้ปรารภความสงัดด้วยการข่มกิเลสอัน มีความสงัดเป็นเหตุ. พระเถระแสดงจิตตวิเวกด้วย บทว่า ปวิวิตฺตสฺส นี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ฌายิโน ดังนี้.

บทว่า ฌายิโน ได้แก่ ผู้มีการเพ่งเป็นปกติ. อธิบายว่า ผู้ ประกอบในโยนิโสมนสิการ. พระเถระกล่าวข้อนั้นทั้งหมดการทำตนให้ เป็นเหมือนคนอื่น.

ด้วยบทว่า กิมานุปุพฺพํ เป็นต้น ท่านแสดงถึงความคิดนั้น. พึงทราบ วินิจฉัยคาถาต้นในคาถาเหล่านั้นก่อน. บทว่า กิมานุปุพฺพํ ได้แก่ อนุปุพฺพํ คือตามลำดับ. อธิบายว่า ในวัตรและสมาจารที่จะกล่าวตามลำดับนั่นแล มีลำดับอย่างไร วัตรและสมาจารเหล่านั้น พึงปฏิบัติตามลำดับอะไร.

บทว่า ปุริโส กึ วตํ กึ สมาจารํ ความว่า บุรุษผู้ใคร่ประโยชน์ เมื่อประพฤติศีลสมาจารเช่นไร ซึ่งได้นามว่า วัตร เพราะอรรถว่าพึง สมาทาน ชื่อว่าพึงเป็นผู้มีปกติทำกิจของตน คือพึงเป็นผู้มักทำกิจที่ควรทำ และไม่พึงเบียดเบียน คือไม่พึงทำสัตว์ไรๆ ให้ลำบาก. สมณธรรมชื่อว่า กิจของตน โดยสังเขป ได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา, เมื่อบุคคลบำเพ็ญ สมณธรรมนั้น แม้แต่เลศในการเบียดเบียนผู้อื่นย่อมไม่มี เพราะเมื่อมี การเบียดเบียนผู้อื่น ความเป็นสมณะก็มีไม่ได้. สมจริงดังที่พระผู้มี-

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 25

พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียน สัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ ดังนี้. ก็ในที่นี้ ท่านถือเอาวาริตศีลด้วย วต ศัพท์. ถือเอาฌานและวิปัสสนาเป็นต้นพร้อมกับจาริตศีล ด้วย สมาจาร ศัพท์ เพราะเป็นธรรมต้องประพฤติ. เพราะฉะนั้น วาริตศีล จึงเป็นใหญ่เป็นประธาน.

ก็แม้ในข้อนั้น เพราะเหตุที่เมื่ออินทรีย์สังวรสำเร็จ ศีลทั้งปวงจึง เป็นอันรักษาดีแล้ว คุ้มครองดีแล้ว ฉะนั้น พระเถระประสงค์จะแสดง อินทรีย์สังวรก่อน เมื่อจะประกาศโทษในการไม่รักษาอินทรีย์ และอานิสงส์ ในการรักษาอินทรีย์ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อินฺทฺริยานิ มนุสฺสานํ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อินฺทฺริยานิ เป็นบทแสดงไขถึงธรรม ที่จะต้องรักษา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอธิบายไว้ว่า อินทรีย์ ๖ มี จักขุนทรีย์เป็นต้น.

บทว่า มนุสฺสานํ เป็นบทแสดงไขถึงบุคคลผู้ประกอบในการรักษา.

บทว่า หิตาย แปลว่า เพื่อประโยชน์.

บทว่า อหิตาย แปลว่า เพื่อมิใช่ประโยชน์. คำที่เหลือว่า โหนฺติ ควรนำมาเชื่อมเข้า. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็อินทรีย์เหล่านั้นนั่นแล ย่อมมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์อย่างไร? พระเถระจึงกล่าวคำมีอาทิว่า รกฺขิตานิ รักษาแล้ว ดังนี้.

คำนั้นมีอธิบายว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้น บุคคลใดไม่ปิด ด้วยประตูคือสติ ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายแก่บุคคลนั้น โดยความ เป็นประตูให้บาปธรรมมีอภิชฌาเป็นต้น เป็นไปในอารมณ์มีรูปเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 26

ที่ปิดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพราะไม่มีอภิชฌาเป็นต้นนั้น.

บทว่า อินฺทฺริยาเนว สารกฺขํ ความว่า พระเถระเมื่อจะแสดงว่า เพราะเหตุที่อินทริยสังวรบริบูรณ์ ย่อมทำศีลสัมปทาให้บริบูรณ์, ศีลสัมปทาบริบูรณ์ ย่อมทำสมาธิสัมปทาให้บริบูรณ์, สมาธิสัมปทาบริบูรณ์ ย่อมทำปัญญาสัมปทาให้บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น การรักษาอินทรีย์ จึง เป็นมูลรากแห่งการปฏิบัติเพื่อประโยชน์คนแท้ ดังนี้ จึงกล่าวว่า รักษา อินทรีย์เท่านั้น อธิบายว่า รักษาด้วยการอารักขามีสติเป็นเบื้องหน้า คือ อันดับแรก รักษาโดยชอบซึ่งอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยโยนิโสมนสิการ ปิด กั้นอินทรีย์เหล่านั้นไว้ โดยประการที่โจรคืออกุศล ไม่เข้าทางทวารนั้นๆ ปล้นทรัพย์คือกุศลในจิตสันดาน. ก็บทว่า สารกฺขํ ท่านกล่าว สํ ศัพท์ กระทำให้เป็น สา เหมือนในประโยคว่า สาราโค เป็นต้น บาลีว่า สํรกฺขํ ดังนี้ก็มี.

บทว่า อินฺทฺริยานิ จ โคปยํ เป็นคำไวพจน์ของบทว่า อินฺทฺริยาเนว สารกฺขํ นั้นนั่นแหละ, ประโยชน์ในคำไวพจน์พึงทราบโดยนัยดังกล่าวใน อรรถกถาเตติปกรณ์นั่นเทอญ.

ด้วยบทว่า อตฺตโน กิจฺจการีสฺส นี้ ท่านแสดงถึงการปฏิบัติ ประโยชน์ตน, ด้วยบทว่า น จ กิญฺจิ วิเหเย นี้ แสดงถึงอาการปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ผู้อื่น, อีกอย่างหนึ่ง แม้ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงถึงการ ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนเท่านั้น เพราะถึงการไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นการ ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน.

อีกอย่างหนึ่ง แม้ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงถึงการปฏิบัติเพื่อ ประโยชน์ตน เพราะการที่ปุถุชนและพระเสกขะปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 27

ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน.

ครั้นท่านแสดงฝ่ายข้างบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยสังเขปว่า อินทรีย์ที่รักษา แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างนี้แล้ว แต่เมื่อจะจำแนกแสดง ฝ่ายข้างเศร้าหมองว่า อินทรีย์ที่ไม่รักษาย่อมไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล จึง กล่าวคำมีอาทิว่า จกฺขุนฺทฺริยํ เจ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขุนฺทฺริยํ เจ รูเปสุ คจฺฉนฺตํ อนิวารยํ อนาทีนวทสฺสาวี ความว่า หากบุคคลใดไม่ห้ามจักขุนทรีย์ที่ไป คือ ดำเนินไปตามชอบใจในรูปายตนะที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ชนิด รูปายตนะเขียว เหลือง เป็นต้น เป็นผู้ไม่เห็นโทษในการเป็นไปอย่างนั้น คือถ้าหากไม่เห็นอาทีนพโทษที่เป็นไปในปัจจุบัน และเป็นไปในในสัมปรายภพ. บาลีว่า คจฺฉนฺตํ นิวารเย อนิสฺสรณทสฺสาวี ดังนี้ก็มี.

ในบาลีที่ว่านั้น บุคคลใดดำรงในอาการเพียงสักว่าเห็น โดยวิธีที่ กล่าวไว้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นเพียงสักว่าเห็น ยังจักขุนทรีย์ให้เป็นไปใน รูปายตนะด้วยสติสัมปชัญญะ ชื่อว่าเป็นผู้มีปกติเห็นการสลัดออกใน รูปายตนะนั้น โดยปริยายายตรงกันข้ามจากที่กล่าวแล้ว พึงเห็นว่า เป็นผู้มี ปกติไม่เห็นการสลัดออก.

บทว่า โส ทุกฺขา น หิ มุจฺจติ ความว่า บุคคลนั้น คือเห็น ปานนั้น ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากวัฏทุกข์ได้เลย.

ก็ความเป็นไปโดยประการที่บาปธรรมมีอภิชฌาเป็นต้น ซ่านไป ทางทวารนั้น ชื่อว่าการไม่ห้ามจักขุนทรีย์ในที่นี้ ก็การไม่ห้ามจักขุนทรีย์ นั้น โดยใจความ พึงเห็นว่าเป็นการไม่ตั้งขึ้นแห่งสติสัมปชัญญะ. แม้ใน อินทรีย์ที่เหลือก็นัยนี้แหละ.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 28

บทว่า อธิมุจฺฉิโต ได้แก่ ถึงความสยบด้วยตัณหาอันนอนเนื่องอยู่.

บทว่า อมฺพิลํ แปลว่า รสเปรี้ยว.

บทว่า มธุรคฺคํ ได้แก่ โกฏฐาสแห่งรสหวาน.

อนึ่ง บทว่า ติตฺตสฺคฺคํ อนุสฺสรํ ได้แก่ หวนระลึกถึงรสนั้นๆ ด้วยอำนาจความชอบใจ. บทว่า คนฺถิโต ได้แก่ ผูกพันอยู่ในรสนั้นๆ. บางอาจารย์กล่าว ว่า คธิโต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถึงความกำหนัด.

บทว่า หทยํ นาวพุชฺฌติ ความว่า ย่อมไม่รู้ คือไม่กำหนดเอา ความคิดที่เกิดขึ้นในขณะบรรพชาเป็นต้นว่า จักทำที่สุดทุกข์ อธิบายว่า เป็นผู้กำหนัดด้วยตัณหาในรสอันเป็นเหตุย่ำยีธรรมที่ไม่มีโทษ จึงไม่รู้สึก คือไม่รู้ ได้แก่ไม่ปฏิบัติใจ คือส่วนภายในแห่งพระศาสนา.

บทว่า สุภานิ แปลว่า งาม.

บทว่า อปฺปฏิกูลานิ ได้แก่ เป็นที่รื่นรมย์ใจ คือน่าปรารถนา.

บทว่า โผฏฺพฺพานิ ได้แก่ ผัสสะ ชนิดที่มีใจครองและไม่มีใจ ครอง.

บทว่า รตฺโต ได้แก่ กำหนัดด้วยราคะอันมีความกำหนัดเป็น สภาวะ.

บทว่า ราคาธิกรณํ แปลว่า มีราคะเป็นเหตุ.

บทว่า วิวิธํ วินฺทเต ทุขํ ความว่า ย่อมได้เฉพาะทุกข์อันเป็น ปัจจุบันด้วยความเร่าร้อน เพราะราคะเป็นต้น และทุกข์อันเป็นไปใน สัมปรายภพด้วยการเดือดร้อนในนรกเป็นต้น.

บทว่า มนํ เจเตหิ ได้แก่ (ไม่อาจรักษา) ใจ จากธรรมเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 29

มีรูปารมณ์เป็นต้น และมีธรรมารมณ์เป็นประเภท. บทว่า นํ ได้แก่ บุคคล.

บทว่า สพฺเพหิ ได้แก่ ทั้งหมดคือแม้ทั้ง ๕. ท่านอธิบายไว้ว่า ไม่อาจรักษาคือคุ้มครองใจได้แก่มโนทวาร จากธรรม ๕ ประการ มีรูป เป็นต้นตามที่กล่าวแล้วนั้น และจากประเภทแห่งธรรมารมณ์ ด้วยการ ห้ามบาปกรรมที่เป็นไปในธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น คือเพราะไม่รักษา ใจนั้น ทุกข์อันมีการไม่รักษาใจนั้นเป็นเหตุ ย่อมติดตาม คือไปตาม บุคคลนั้น และเมื่อติดตามไป ย่อมติดตามไปด้วยธรรมแม้ทั้ง ๕ นี้ มี รูปารมณ์เป็นต้น กับอารมณ์ที่ ๖ (ธรรมารมณ์) แม้ทั้งหมด เป็น อารัมมณปัจจัย.

ก็ในอธิการนี้ ท่านกล่าวจักขุนทรีย์และโสตินทรีย์ว่า ไม่ห้ามจักขุนทรีย์และโสตินทรีย์ที่ไปอยู่ เพราะเป็นอินทรีย์ที่ยึดเอาอารมณ์ที่ยังไม่ ประจวบเข้า, อินทรีย์นอกจากนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นอินทรีย์ที่ยึดถือเอา อารมณ์ที่ประจวบเข้า เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า หากว่าซ่องเสพกลิ่น ดังนี้.

ก็แม้ในข้อนั้นก็พึงเห็นว่า ตัณหาในรส และตัณหาในโผฏฐัพพะ ยังหนาแน่นแก่สัตว์ทั้งหลายโดยพิเศษ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ผู้ กำหนัดในรส หวนระลึกถึงโผฏฐัพพะทั้งหลาย ดังนี้.

พระเถระครั้นแสดงทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่คุ้มครองทวาร อันมี ความไม่สำรวมในอารมณ์ทั้ง ๖ โดยทวารทั้ง ๖ ด้วยประการอย่างนี้แล้ว เมื่อจะวิจัยสภาวะแห่งสรีระอันเป็นเหตุให้ความไม่สำรวมนี้นั้นเกิดขึ้นเพราะ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 30

การไม่รู้สภาวะแห่งสรีระ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา โดยนัยมีอาทิดังนี้ว่า ปุพฺพโลหิตสมฺปุณฺณํ เต็มด้วยหนองและเลือด.

คำแห่งคาถาทั้งสองนั้นมีความว่า ชื่อว่าสรีระนี้บริบูรณ์ คือเต็ม ด้วยหนองและเลือด และซากศพอย่างอื่นเป็นอันมากมีดีและเสมหะเป็นต้น สรีระนี้นั้นอันช่างผู้ฉลาด คือศิลปาจารย์ผู้ฉลาดในหมู่ชนการทำไว้เกลี้ยง เกลา วิจิตรงดงามด้วยประพรมด้วยน้ำครั่งเป็นต้น แต่ภายในเต็มด้วย ของไม่สะอาดมีคูถเป็นต้น เป็นดุจสมุกน่ารื่นรมย์ใจแต่เพียงผิว เป็นที่ ลุ่มหลงแห่งพาลชน ชื่อว่าเผ็ดร้อน เพราะมีทุกข์เป็นสภาวะ และเพราะ ความเร่าร้อนด้วยทุกข์มีนรกเป็นต้น ชื่อว่ามีรสหวานชื่นใจ เพราะเป็น ของอร่อยด้วยเหตุสักว่าความชอบใจ อันไม่มีมูลเหตุอันเกิดจากความดำริ ชื่อว่าเกี่ยวพันด้วยความรัก เพราะผูกพันด้วยภาวะที่น่ารักนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นทุกข์เพราะทนได้ยาก และเพราะมีความชื่นใจน้อย, ชาวโลก ผู้ไม่รู้จักทุกข์อันใหญ่หลวงที่ตนได้เสวยอยู่ เพราะความโลภด้วยอำนาจ ความพอใจในสรีระเช่นนี้ เป็นผู้ติดในรสอร่อย พึงเห็นเสมือนคนเลียคม มีดโกนฉะนั้น. บัดนี้พระเถระเมื่อจะแสดงว่า ธรรมมีรูปเป็นต้นเหล่านี้เป็นอารมณ์ ของจักษุเป็นต้นที่กล่าวแล้วนั้น โดยพิเศษ เนื่องในหญิงที่บุรุษจะพึงใคร่ เพราะเหตุนั้น พึงทำการสำรวมในรูปเป็นต้นนั้น จึงกล่าวคำอาทิว่า อิตฺถิรูเป ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตฺถิรูเป ได้แก่ ในวรรณรูปกล่าว คือรูปายตนะอันเกิดจากสมุฏฐาน ๔ ของหญิง. อีกอย่างหนึ่ง วรรณะ อย่างใดอย่างหนึ่งแห่งเครื่องประดับที่ประดับแล้ว หรือแห่งกลิ่นและสี

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 31

เป็นต้น หรือแห่งเครื่องประดับและระเบียบดอกไม้ของหญิงที่เนื่องด้วย กาย ย่อมสำเร็จโดยเป็นอารมณ์แห่งจักษุวิญญาณของบุรุษ ทั้งหมดนั้น พึงทราบว่าอิตถีรูป เหมือนกัน.

บทว่า อิตฺถิสเร ได้แก่ เสียงขับร้อง เสียงพูด เสียงหัวเราะ และ เสียงร้องไห้ของหญิง. อีกอย่างหนึ่ง เสียงผ้าที่หญิงก็ดี เสียงเครื่องประดับที่ หญิงประดับก็ดี เสียงขลุ่ย พิณ สังข์ และบัณเฑาะก์เป็นต้นที่สำเร็จด้วย ประโยคของหญิงก็ดี ในที่นี้ พึงทราบว่าท่านสงเคราะห์ด้วย อิตถิสร ศัพท์ ศัพท์ว่า เสียงหญิง. เสียงแม้ทั้งหมดนั่น พึงทราบว่าฉุดคร่าเอาจิตของ บุรุษมา. ส่วนในบาลีว่า อิตฺถิรเส ในรสแห่งหญิง ท่านกล่าวด้วย อำนาจรสายตนะอันเกิดจากสมุฏฐาน ๔. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า กิจคือการรับคำด้วยการจัดการงานเป็นต้น และกิจคือการบริโภคของหญิง ชื่อว่าเป็นอิตถีรส.

รสมีน้ำลายที่เปื้อนเนื้อริมฝีปากหญิง และรสข้าวยาคูแลภัตเป็นต้น ที่หญิงนั้นให้แก่บุรุษทั้งหมดนั่น พึงทราบว่า อิตถีรสเหมือนกัน. และ แม้ในโผฏฐัพพะ กายสัมผัสของหญิง และผัสสะแห่งผ้า เครื่องประดับ และดอกไม้เป็นต้น ที่อยู่ในร่างกายหญิง พึงทราบว่า อิตถีโผฏฐัพพะ เหมือนกัน. ก็ในบทว่า โผฏฺพฺเพปิ นี้ พึงเห็นว่า สงเคราะห์เอาอิตถี รส ด้วย อปิ ศัพท์ ของอาจารย์พวกหนึ่งที่อ้างบาลีว่า อิตฺถิรูเป อิตฺถิสเร นั้น.

บทว่า อิตฺถิคนฺเธสุ ได้แก่ ในคันธายตนะอันเกิดแต่สมุฏฐาน ๔ ของหญิง. ธรรมดาว่า กลิ่นร่างกายของหญิงเป็นกลิ่นเหม็น. จริงอยู่ หญิงบางพวกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นม้า บางพวกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นแพะ บาง

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 32

พวกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นเหงื่อ บางพวกมีกลิ่นคล้ายกลิ่นเลือด. แม้ถึงอย่าง นั้น คนผู้บอดเขลาก็ยังยินดีในหญิงเหล่านั้นอยู่นั่นแหละ.

ส่วนนางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ มีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก กลิ่นดังกล่าวมานี้ ย่อมไม่มีแก่หญิงทั่วไป เพราะเหตุนั้น กลิ่นเครื่องสูบไล้ที่จัดหามาเสริมเข้าในร่างกายหญิง พึง ทราบว่า อิตถีคันธะ กลิ่นหญิง.

บทว่า สารตฺโต ได้แก่ กำหนัดนักแล้ว คือยินดี สยบแล้ว, ก็

บทว่า สารตฺโต นี้ พึงประกอบแม้ในบทว่า อิตฺถิรูเป เป็นต้นไป.

บทว่า วิวิธํ วินฺทเต ทุขํ ความว่า ย่อมได้เฉพาะทุกข์มีประการ ต่างๆ ที่เป็นไปในปัจจุบัน ด้วยการฆ่าและการจองจำเป็นต้น ที่เป็นไป ในภายภาคหน้าด้วยเครื่องจองจำครบ ๕ ประการเป็นต้น ซึ่งมีความ กำหนัดนักในรูปหญิงเป็นต้นเป็นเหตุ.

บทว่า อิตฺถิโสตานิ สนฺพานิ ความว่า กระแสตัณหา ๕ ประการ ทั้งหมด คือไม่เหลือ มีรูปเป็นต้น ของหญิงเป็นอารมณ์ ย่อมไหลไป.

บทว่า ปญฺจสุ ได้แก่ ในทวารทั้ง ๕ ของบุรุษ.

บทว่า เตสํ ได้แก่ กระแสทั้ง ๕ เหล่านั้น.

บทว่า อาวรณํ ได้แก่ การปิดกั้น, อธิบายว่า บุคคลผู้สามารถ เพื่อตั้งสติสัมปชัญญะแล้วยังความสำรวมให้ดำเนินไป โดยประการที่ความ ไม่สำรวมจะเกิดขึ้นไม่ได้นั้นเป็นผู้มีความเพียร คือเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมแล้วยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม.

พระเถระ ครั้นแสดงข้อปฏิบัติของบรรพชิตในอารมณ์มีรูปเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 33

อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า โส อตฺถวา ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส อตฺถวา โส ธมฺมฏฺโ โส ทกฺโข โส วิจกฺขโณ ความว่า บุคคลนั้น เป็นผู้รู้อรรถ คือเป็นผู้มีความรู้ ตั้งอยู่ในธรรม ขยันในธรรม คือฉลาดหรือไม่เกียจคร้านในธรรม มี ปัญญาเครื่องพิจารณาในโลกนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ฉลาดใน ความเป็นกิจที่จะพึงกระทำ

บทว่า กาเรยฺย รมมาโนปิ กิจฺจํ ธมฺมตฺถสํหิตํ ความว่า แม้ผู้ ยินดีในการครองเรือน ก็พึงการทำกิจที่พึงกระทำนั้นอันประกอบด้วย ธรรมและอรรถ คือไม่ปราศจากธรรมและอรรถ คือพึงทำโภคะที่ยังไม่ เกิดให้เกิดขึ้น พึงกระทำรักษาและใช้สอยโภคะที่เกิดขึ้นแล้ว อธิบายว่า พึงประกอบเนืองๆ ซึ่งประโยชน์แก่คน สัตว์ และวัตถุทั้ง ๓ หมู่ โดยไม่ โกรธเคืองกันแลกัน (และ) โดยไม่เบียดเบียนกันแลกัน. ก็นัยนี้ ของชน เหล่าใดย่อมเป็นไปด้วยอำนาจประโยชน์ของคนทั้ง ๓ เหล่า โดยไม่ผิด จากสัมมาปฏิบัติ เหมือนดังพระเจ้าพิมพิสารมหาราชเป็นต้น ท่านก็กล่าว ไว้ด้วยอำนาจของชนเหล่านั้น พึงเห็นว่า ท่านไม่กล่าวไว้ด้วยอำนาจคน บางพวก.

บทว่า อโถ สีทติ สญฺุตฺตํ ความว่า ถ้ากำหนดถือเอาประโยชน์ ปัจจุบันซึ่งประกอบดีแล้วในโลกนี้ดำรงอยู่.

บทว่า วชฺเช กิจฺจํ นิรตฺถกํ ความว่า แม้ถ้าว่าพึงสละ คือละกิจ อันประกอบด้วยความฉิบหาย ซึ่งเหินห่างจากประโยชน์ชาติหน้า.

บทว่า น ตํ กิจฺจนฺติ มญฺิตฺวา อปฺปมตฺโต วิจกฺขโณ ความว่า

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 34

เป็นผู้ไม่ประมาทด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติ มีปัญญาเครื่องพิจารณาโดย เกิดจากวิจารณปัญญา รู้ว่า กิจนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราไม่ควรทำ ดังนี้แล้วพึงงดเว้นเสีย.

ก็ครั้นงดเว้นแล้วพึงยึดถือสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ และความ ยินดีอันประกอบด้วยธรรม แล้วพึงประพฤติ อธิบายว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งอัน ประกอบด้วยประโยชน์เกื้อกูล อันต่างด้วยทิฏฐธัมมิกประโยชน์และ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือเป็นเหตุนำประโยชน์เกื้อกูลทั้งสองประเภท นั้นมา และความยินดีอันประกอบด้วยกุศลอันยิ่ง คือที่ประกอบด้วยสมถะ และวิปัสสนา พึงยึดถือเอาให้ดี คือทำการยึดถือเอาสิ่งที่ประกอบด้วย ประโยชน์และความยินดีอันประกอบด้วยธรรมนั้นแล้วประพฤติ. ก็เพราะ พระบาลีว่า ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง ความยินดีนั้น จึงชื่อว่าความยินดีชั้นสูงสุด เพราะให้บรรลุประโยชน์สูงสุดโดยส่วนเดียว.

ก็เพื่อจะแสดงความยินดีในคำที่กล่าวไว้ว่า กิจอันประกอบด้วย ความยินดีในกาม ไม่มีประโยชน์ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อุจฺจาวเจหิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺจาวเจหิ ได้แก่ ใหญ่และเล็ก.

บทว่า อุปาเยหิ แปลว่า ด้วยนัยทั้งหลาย.

บทว่า ปเรสมภิชิคีสติ ความว่า บุคคลใดปรารถนาเพื่อจะชิง เอาสิ่งของของคนอื่น หรือทำคนอื่นให้เสื่อมโดยประการทั้งปวง ปล้น ฆ่า หรือทำคนอื่นให้เศร้าโศก ปล้นเอาของคนอื่นโดยทารุณ. ท่านกล่าวคำ อธิบายไว้ดังนี้ว่า บุคคลใดปล้น ฆ่า ทำผู้อื่นให้เศร้าโศกเพราะเหตุแห่ง กาม พยายามลักของคนอื่นด้วยอุบายต่างๆ มีการตัดช่อง ปีนหน้าต่าง และกรรโชกชิงเอาเป็นต้น กระทำการทารุณ ปล้น ชิงเอา ทำคนอื่นให้

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 35

เสื่อมเสียทรัพย์สมบัติ กิจนั้นของบุคคลนั้น ประกอบด้วยความยินดีใน กาม ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นกิจเลวทรามโดยส่วนเดียว.

โดยนัยตรงกันข้ามกันกิจที่ไม่มีประโยชน์นั้น ท่านจึงประกาศความ ที่ความยินดีในธรรม เป็นความยินดีอย่างสูงสุด โดยส่วนเดียวแท้จริง.

บัดนี้ เมื่อจะประกาศการปิดกั้นอินทรีย์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลใด สามารถทำการปิดกั้นอินทรีย์เหล่านั้น ดังนี้ พร้อมด้วยอุบาย จึงกล่าวคำ มีอาทิว่า บุคคลผู้มีกำลัง เมื่อจะผ่าไม้ย่อมตอกลิ่มด้วยลิ่มฉันใด ดังนี้.

ช่างถากไม้ผู้มีกำลัง คือผู้ประกอบด้วยกำลังกาย และกำลังความรู้ ประสงค์จะเอาลิ่มที่ติดอยู่ในท่อนไม้ออก จึงตอกลิ่มที่แข็งกว่าลิ่มนั้น จึง จะนำออกจากท่อนไม้นั้นได้ฉันใด ภิกษุผู้ฉลาดก็ฉันนั้น ประสงค์จะสกัด อินทรีย์มีจักษุเป็นต้นด้วยกำลังแห่งวิปัสสนา ก็ย่อมสกัดด้วยอินทรีย์นั่น เอง.

เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า สกัดด้วยอินทรีย์เหล่าไหน? จึงกล่าว คำมีอาทิว่า สทฺธํ อินทรีย์คือศรัทธา ดังนี้.

คำนั้นมี อธิบายว่า ภิกษุอบรม คือเจริญอินทรีย์ ๕ อันเป็นเครื่อง บ่มวิมุตติแม้นี้ คือศรัทธามีลักษณะน้อมใจเชื่อ, ความเพียรมีลักษณะ ประคองไว้, สมาธิมีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน, สติมีลักษณะปรากฏ. ปัญญามี ลักษณะเห็น จึงกำจัด อินทรีย์มีจักษุเป็นต้น ด้วยอินทรีย์ ๕ เหล่านี้ โดยกำจัดความเป็นทวารแห่งการเกิดกิเลส มีความยินดีและความขัดเคือง เป็นต้น แล้วตัดได้เด็ดขาดซึ่งกิเลสทั้งหลาย อันเป็นที่อาศัยแห่งอินทรีย์นั้น ด้วยอริยมรรค แต่นั้นนั่นแล เป็นพราหมณ์ผู้ไม่มีทุกข์ คือหมดทุกข์ ย่อมเข้าถึงอนุปาทิเสสปรินิพพานทีเดียว.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 36

บทว่า โส อตฺถวา ความว่า บุคคลนั้นเป็นพราหมณ์ตามที่กล่าว แล้ว ชื่อว่าผู้รู้อรรถเพราะประกอบด้วยอรรถอันสูงสุด ชื่อว่าตั้งอยู่ใน ธรรมเพราะตั้งอยู่ในธรรมอันยังอรรถนั้นให้ถึงพร้อม การทำตามอนุสาสนี อันเป็นพระดำรัส คือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยประการทั้งปวง คืออย่างสิ้นเชิงทุกวิธีแล้วดำรงอยู่ แต่นั้น แล นระคือบุรุษผู้สูงสุดนั้นย่อมถึงคือพอกพูน ทำสุขคือพระนิพพานให้ เจริญ.

ก็เพราะพระเถระประกาศข้อปฏิบัติ โดยการประกาศอาการคิดของ ตนอย่างนี้ การประกาศความคิดนี้แหละ พึงเห็นว่าเป็นการพยากรณ์ พระอรหัตตผลของพระเถระนั้น.

จบอรรถกถาปาราปริยเถรคาถาที่ ๒