๔. รัฏฐปาลเถรคาถา ว่าด้วยคนโง่ติดใจในโครงสร้างของร่างกาย
[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 54
เถรคาถา วีสตินิบาต
๔. รัฏฐปาลเถรคาถา
ว่าด้วยคนโง่ติดใจในโครงสร้างของร่างกาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 54
๔. รัฏฐปาลเถรคาถา
ว่าด้วยคนโง่ติดใจในโครงสร้างของร่างกาย
[๓๘๘] เชิญดูอัตภาพอันธรรมดาตกแต่งให้วิจิตร มีกายเป็น แผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย คนพาลพากันดำริหวังมาก อันไม่มีความยั่งยืนตั้งมั่น เชิญ ดูรูปอันปัจจัยกระทำให้จิตรด้วยแก้วมณีและกุณฑล หุ้ม ด้วยหนังมีร่างกระดูกอยู่ภายใน งามพร้อมไปด้วยผ้าต่างๆ มีเท้าทั้งสองอันฉาบทาด้วยครั่งสด มีหน้าอันไล้ด้วยฝุ่น สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำให้ ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง ผมทั้งหลายอันบุคคลตบแต่ง เป็นลอนคล้ายกระดานหมากรุก นัยน์ตาทั้งสองอันหยอด ด้วยยาตา สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่ สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง กายอันเปื่อยเน่า อันบุคคลตบแต่งแล้ว เหมือนกล่องยาตาใหม่ๆ วิจิตร ด้วยลวดลายต่างๆ สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ ไม่สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง.
นายพรานเนื้อดักบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อ นายพรานเนื้อคร่ำครวญอยู่ พวกเนื้อพากันนากินเหยื่อ แล้วหนีไป บ่วงของนายพรานขาดไปแล้ว เนื้อไม่ติด บ่วง เมื่อนายพรานเนื้อเศร้าโศกอยู่ พวกเนื้อพากันมา กินเหยื่อแล้วหนีไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 55
เราเห็นหมู่มนุษย์ที่มีทรัพย์ในโลกนี้ ได้ทรัพย์แล้ว ไม่ให้ทานเพราะความลุ่มหลง ได้ทรัพย์แล้วทำการสั่งสม ไว้ และปรารถนาอยากได้ยิ่งขึ้นไป พระราชากดขี่ช่วง ชิงเอาแผ่นดิน ครอบครองแผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด ตลอดฝั่งสมุทรข้างนี้แล้ว ไม่รู้จักอิ่ม ยังปรารถนาจัก ครอบครองฝั่งสมุทรข้างโน้นอีกต่อไป. พระราชาก็ดีมนุษย์ เหล่าอื่นเป็นอันมากก็ดี ผู้ยังไม่ปราศจากตัณหา ย่อมเข้า ถึงความตาย ยังไม่เต็มความประสงค์ ก็พากันละทิ้ง ร่างกายไป ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายย่อมไม่มีในโลก เลย หมู่ญาติพากันสยายผมร้องไห้คร่ำครวญถึงผู้นั้นและ รำพันว่า ทำอย่างไรหนอ พวกญาติของเราจึงจะไม่ตาย ครั้นพวกญาติตายแล้ว ก็เอาผ้าห่อนำไปเผาเสียที่เชิง ตะกอน ผู้ที่ตายไปนั้นถูกเขาแทงด้วยหลาว เผาด้วยไฟ ละโภคะทั้งหลาย มีแต่ผ้าผืนเดียวติดตัวไป เมื่อบุคคล จะตาย ย่อมไม่มีญาติหรือมิตรสหายช่วยต้านทานได้ พวกที่รับมรดกก็มาขนเอาทรัพย์ของผู้ตายนั้นไป ส่วน สัตว์ที่ตายย่อมไปตามยถากรรม เมื่อตายไม่มีทรัพย์ สมบัติอะไรๆ คือ พวกบุตร ภรรยา ทรัพย์ แว่นแคว้น สิ่งใดๆ จะติดตามไปได้เลย บุคคลจะได้อายุยืนเพราะ ทรัพย์ก็หาไม่ จะละความแก่รูปแม้เพราะทรัพย์ก็หาไม่.
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นแล ว่าเป็นของน้อย ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมีและ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 56
คนยากจน ย่อมถูกต้องผัสสะเหมือนกัน ทั้งคนพาล และคนฉลาดก็ถูกต้องผัสสะเหมือนกันทั้งนั้น แต่คนพาล ถูกอารมณ์ที่ไม่พอใจเบียดเบียน ย่อมอยู่เป็นทุกข์เพราะ ความเป็นพาล ส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อม ไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้นแล ปัญญาจึงจัดว่าประเสริฐ กว่าทรัพย์ เพราะปัญญาเป็นเหตุให้บรรลุนิพพาน แต่ คนพาลไม่ปรารถนาจะบรรลุ พากันทำกรรมชั่วต่างๆ อยู่ ในภพน้อยภพใหญ่เพราะความหลง ผู้ใดทำกรรมชั่วแล้ว ผู้นั้น จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ในวัฏสงสารร่ำไป บุคคลผู้มีปัญญาน้อย เมื่อมาเชื่อต่อการทำของบุคคลผู้ที่ ทำความชั่วนั้น ก็จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ร่ำไปเหมือน กัน โจรผู้มีธรรมอันชั่วช้า ถูกเขาจับได้พร้อมทั้งของ กลางย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน ฉันใด หมู่สัตว์ ผู้มีธรรมอันชั่วช้า ละไปแล้วย่อมเดือดร้อนไปปรโลก เพราะกรรมของตน ฉันนั้น.
กามทั้งหลายงามวิจิตร มีรสอร่อย น่ารื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตด้วยรูปแปลกๆ ดูก่อนมหาบพิตร เพราะ อาตมภาพได้เห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงออกบวช สัตว์ทั้งหลายทั้งหนุ่มทั้งแก่ ย่อมตกไปเพราะร่างกายแตก เหมือนผลไม้หล่นฉะนั้น.
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพเห็นความไม่เที่ยงแม้ข้อ นี้จึงออกบวช ความเป็นสมณะอันไม่ผิดนั้นแลประเสริฐ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 57
อาตมภาพออกบวชด้วยศรัทธา เข้าถึงการปฏิบัติชอบใน ศาสนาของพระชินเจ้า บรรพชาของอาตมภาพไม่มีโทษ อาตมภาพไม่เป็นหนี้บริโภคโภชนะ อาตมภาพเห็นกาม ทั้งหลายโดยเป็นของอันไฟติดทั่วแล้ว เห็นทองทั้งหลาย โดยเป็นศาสตรา เห็นทุกข์จำเดิมแต่ก้าวลงในครรภ์ เห็น ภัยใหญ่ในนรก จึงออกบวช อาตมภาพเห็นโทษอย่างนี้ แล้ว ได้ความสังเวชในกาลนั้น ในกาลนั้นอาตมภาพ เป็นผู้ถูกลูกศร คือราคะเป็นต้นแทงแล้ว บัดนี้บรรลุถึง ความสิ้นอาสวะแล้ว พระศาสดาอันอาตมภาพคุ้นเคย แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอาตมภาพทำสำเร็จแล้ว อาตมภาพได้ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่อง นำไปสู่ภพขึ้นแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวช เป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ ทั้งปวงแล้ว.
จบรัฏฐปาลเถรคาถา
อรรถกถารัฏฐปาลเถรคาถาที่ ๔
คาถาของ ท่านพระรัฏฐปาลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ได้ยินว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระจะเสด็จอุบัติ พระเถระบังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล ในนครหังสวดี เติบโตแล้ว เมื่อ บิดาล่วงลับไป ก็ครอบครองบ้านเรือน ได้เห็นทรัพย์ที่ตกทอดมาตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 58
วงศ์ตระกูลนับประมาณไม่ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาคลังรัตนะแสดงให้ดู จึง คิดว่า บรรพชนมีบิดา ปู่ และปู่ทวดเป็นต้นของเรา ไม่สามารถพาเอา กองทรัพย์มีประมาณเท่านี้ไปกับคน แต่เราควรจะพาเอาไป จึงได้ให้ มหาทานแก่คนเดินทางและคนกำพร้าเป็นต้น.
ท่านได้อุปัฏฐากดาบสรูปหนึ่งผู้ได้อภิญญา อันดาบสนั้นชักนำใน ความเป็นใหญ่ในเทวโลก จึงได้บำเพ็ญบุญมากหลายจนตลอดอายุ จุติ จากอัตภาพนั้นบังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติ ดำรงอยู่ในเทวโลกนั้น ตลอดกาลกำหนดของอายุ จุติจากเทวโลกนั้น บังเกิดเป็นบุตรคนเดียว ของตระกูลที่สามารถรวบรวมรัฐซึ่งต่างแบ่งแยกกันในมนุษยโลกไว้.
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมตตระ เสด็จอุบัติขึ้นโนโลก ทรง ประกาศพระธรรมจักรอันบวร ยังเวไนยสัตว์ให้ลุถึงภูมิอันเกษม กล่าว คือมหานครนิพพาน. ลำดับนั้น กุลบุตรนั้นรู้เดียงสาโดยลำดับ วันหนึ่ง ไปวิหารกับพวกอุบาสก เห็นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม มีจิต เลื่อมใส จึงนั่งลง ณ ท้ายบริษัท. ก็สมัยนั้นแล พระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศ กว่าภิกษุผู้บวชด้วยศรัทธา เขาเห็นดังนั้นมีจิตเลื่อมใส จึงตั้งจิตไว้เพื่อ ต้องการตำแหน่งนั้น แล้วบำเพ็ญมหาทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ผู้อัน ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูปห้อมล้อม ด้วยสักการะใหญ่ตลอด ๗ วัน แล้วได้ กระทำความปรารถนาไว้.
พระศาสดาทรงเห็นว่าความปรารถนานั้นสำเร็จโดยไม่มีอันตราย จึง ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล กุลบุตรผู้นี้จักเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้บวช ด้วยศรัทธา ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม. เขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 59
ถวายบังคมพระศาสดาและไหว้ภิกษุสงฆ์แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป. เขา ทำบุญมากหลายในอัตภาพนั้นตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วท่อง เที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ผุสสะ เมื่อราชบุตร ๓ พระองค์ ผู้ เป็นพระภาดาต่างพระชนนีกันกับพระศาสดา ทรงอุปัฏฐากพระศาสดาอยู่ ได้กระทำกิจแห่งบุญกิริยาของราชบุตรเหล่านั้น.
เขาสั่งสมกุศลนั้นๆ เป็นอันมากในภพนั้นๆ อย่างนี้ ท่องเที่ยวอยู่ แต่เฉพาะสุคติเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในเรือนของรัฐปาล เศรษฐี ในถุลลโกฏฐิกนิคม ในกุรุรัฐ, เพราะเกิดในตระกูลที่สามารถรวบ รวมรัฐที่แตกแยกออกของท่านรัฐปาลเศรษฐีนั้น จึงได้มีนามตามตระกูล วงศ์ว่า รัฐปาละ. รัฐปาละนั้นเจริญด้วยบริวารเป็นอันมาก ถึงความเป็น หนุ่มโดยลำดับ บิดามารดาจึงหาภรรยาที่สมควรให้ และให้ดำรงอยู่ใน ยศใหญ่ เสวยเฉพาะสมบิติดุจสมบัติทิพย์.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปยังชนบทในแคว้นกุรุรัฐ เสด็จถึงถุลลโกฏฐิกนิคมโดยลำดับ. รัฐปาลกุลบุตรได้สดับดังนั้น จึงเข้าไป เฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้วได้ศรัทธาประสงค์ จะบวช ได้ทำการอดอาหาร ๗ วัน ให้บิดามารดาอนุญาตอย่างแสนยาก ลำบาก แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลขอบรรพชา ได้บวชในสำนักของ พระเถระรูปหนึ่ง โดยอาณัติ (คำสั่ง) ของพระศาสดา กระทำกรรมโดย โยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑
๑. ขุ. อ. ๓๒/ข้อ ๒๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 60
เราได้ถวายช้างตัวประเสริฐมีงางอนงามควรเป็นราชพาหนะ ทั้งลูกช้างอันงาม มีเครื่องทัตถาลังการ กั้น ฉัตรขาว แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ เราซื้อสถานที่ทั้งหมดนั้นแล้ว ได้ให้สร้างอารามถวายแก่สงฆ์ ได้ให้สร้างปราสาทไว้ ภายในวิหารนั้น ๕๔,๐๐๐ หลัง ได้ทำทานดุจห้วงน้ำใหญ่ มอบถวายแด่พระพุทธเจ้า. พระสยัมภูมหาวีรเจ้า ผู้เป็น อัครบุคคล ทรงอนุโมทนา ทรงยังชนทั้งหมดให้ร่าเริง ทรงแสดงอมตบท. พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายก พระนาม ว่าปทุมุตตระ ทรงกระทำผลบุญที่เราทำแล้วนั้นให้แจ้งชัด แล้ว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถา เหล่านี้ว่า ผู้นี้ได้ให้สร้างปราสาท ๕๔,๐๐๐ หลัง เราจัก แสดงวิบากของคนผู้นี้ ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว กูฏาคารหมื่นแปดพันหลังจักมีแก่ผู้นี้ และกูฏาคารเหล่า นั้นสำเร็จด้วยทองล้วน เกิดในวิมานอันอุดม ผู้นี้จักเป็น จอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติ ๕๐ ครั้ง และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง. ในกัปที่แสน พระศาสดาพระนามว่า โคดม โดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้อันกุศลมูลกระตุ้น เตือนแล้ว จักจุติจากเทวโลก ไปบังเกิดในสกุลที่เจริญ มีโภคสมบัติมาก ภายหลังอันกุศลมูลกระตุ้นเตือน จัก บวช จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา โดยมีชื่อว่ารัฐปาละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 61
เขามีใจตั้งมั่นในความเพียร เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ- กิเลส จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง แล้วไม่มีอาสวะ นิพพาน ดังนี้.
เราจึงลุกขึ้นแล้วสละโภคทรัพย์ออกบวช ความรักใน โภคสมบัติอันเปรียบด้วยก้อนเขฬะ ไม่มีแก่เรา เรามี ความเพียรอันนำไปซึ่งธุระ เป็นเครื่องนำเอาธรรมอันเป็น แดนเกษมจากโยคะมา เราทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้ แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราทำเสร็จแล้ว.
ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ทูลขออนุญาตพระศาสดา ไปยังถุลลโกฏฐิกนิคม เพื่อเยี่ยมบิดามารดา ได้เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกใน นิคมนั้น ได้ขนมกุมมาสบูดที่นิเวศน์ของบิดา ฉันขนมกุมมาสนั้น ประดุจฉันสิ่งที่เป็นอมฤต อันบิดานิมนต์ จึงรับนิมนต์เพื่อจะฉันในวัน รุ่งขึ้น ในวันที่ ๒ จึงฉันบิณฑบาตในนิเวศน์ของบิดา เมื่อหญิงในเรือน ตกแต่งประดับประดาแล้ว เข้าไปหากล่าวคำมีอาทิว่า พระลูกเจ้า นางฟ้า เหล่านั้นเป็นเช่นไร อันเป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์ ดังนี้แล้ว เริ่มกระทำการประเล้าประโลม จึงได้เปลี่ยนกลับความประสงค์ของเธอ เสีย เมื่อจะแสดงธรรมอันปฏิสังยุตด้วยความไม่เที่ยงเป็นต้น จึงได้กล่าว คาถาเหล่านี้ ความว่า
เชิญดูอัตกาพอันธรรมดาตกแต่งให้วิจิตร มีกายเป็น แผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 62
คนพาลดำริหวังกันทาก ไม่มีความยั่งยืนตั้งมั่ง. เชิญดู รูปอันปัจจัยกระทำให้วิจิตร ด้วยแก้วมณีและกุณฑล หุ้มด้วยหนัง มีร่างกระดูกอยู่ภายใน งามพร้อมไปด้วย ผู้ต่างๆ. มีเท้าทั้งสองฉาบทาด้วยครั่งสด มีหน้าอันไล้ ทาด้วยฝุ่น สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่ สามารถทำผู้แสวงหาฝั่งโน้นให้ลุ่มหลง ผมทั้งหลายอัน บุคคลตกแต่งเป็นลอนคล้ายกระดานหมากรุก นัยน์ตาทั้ง สองหยอดด้วยยาตา สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำผู้แสวงฝั่งโน้นให้ลุ่มหลง. กายอันเปื่อย เน่าอันบุคคลตกแต่งแล้ว เหมือนกล่องยกตาใหม่ วิจิตร ด้วยลวดลายต่างๆ สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ ไม่สามารถทำผู้แสวงหาฝั่งโน้นให้ลุ่มหลง.
นายพรานเนื้อดักบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อ นายพรานเนื้อคร่ำครวญอยู่ พวกเนื้อพากันมากินเหยื่อ แล้วหนีไป บ่วงของนายพรานขาดแล้ว เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อนายพรานเนื้อเศร้าโศกอยู่ พวกเนื้อพากันกินเหยื่อ แล้วหนีไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตกตํ แปลว่า กระทำให้วิจิตร ชื่อว่า กระทำให้วิจิตรงดงาม, อธิบายว่า กระทำให้วิจิตรงดงามด้วยผ้า อาภรณ์ และระเบียบดอกไม้เป็นต้น.
บท พิมฺพํ ได้แก่ อัตภาพที่ประดับด้วยอวัยวะน้อยใหญ่มี อวัยวะยาวเป็นต้น ในที่ที่ควรเป็นอวัยวะยาวเป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 63
บทว่า อรุกายํ ได้แก่ มีของไม่สะอาดไหลออกทางปากแผลทั้ง ๙ และขุมขน และกายอันเป็นแผลทั่วไป หรือกลุ่มแห่งแผลทั้งหลาย.
บทว่า สมุสฺสิตํ ได้แก่ อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว.
บทว่า อาตุรํ ได้แก่ ป่วยไข้เป็นนิตย์ เพราะเป็นกายที่ต้อง บริหารด้วยการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นต้น ตลอดกาลทั้งปวง.
บทว่า พหุสงฺกปฺปํ ได้แก่ อันพาลชนยกขึ้นไม่เป็นของจริงแล้ว ดำริตริเอาโดยมาก.
บทว่า ยฺสส นตูถิ ธุวิ ิติ ความว่า ความยั่งยืน คือสภาพ ตั้งมั่น ย่อมไม่มีแก่กายใด คือมีแต่การแตกทำลาย เรี่ยราย กระจัดกระจาย ไปเป็นธรรมดาโดยส่วยเดียวเท่านั้น.
ด้วยบท ตํ ปสฺส พระเถระกล่าวหมายถึงชนผู้อยู่ในที่ใกล้ หรือกล่าวหมายเอาตนเอง.
บทว่า รูปํ ได้แก่ ร่างกาย จริงอยู่แม้ร่างกายก็เรียกว่ารูป ใน ประโยคมีอาทิว่า อากาศอาศัยกระดูก อาศัยเอ็น อาศัยเนื้อ และอาศัย หนังหุ้มห่อแล้ว ย่อมหมายถึงการนับว่า รูป.
บทว่า มณินา กุณฺฑเลน จ ความว่า กระทำให้วิจิตรงดงาม ด้วยแก้วมณีและกุณฑล ที่จัดเป็นเครื่องอาภรณ์สวมศีรษะเป็นต้น.
บทว่า อฏึ ตเจน โอนทฺธํ มีวาจาประกอบความว่า ท่านจง ดูกระดูกอันเกินกว่า ๓๐๐ ประเภทซึ่งหนังสดหุ้มไว้. ด้วย จ ศัพท์ในบท ว่า กุณฑเลน จ สงเคราะห์เอาอาภรณ์และเครื่องประดับอย่างอื่นเข้า ด้วย.
บทว่า สห วตฺเถหิ โสภติ ความว่า รูปนี้นั้นแม้เขาทำให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 64
งดงามด้วยแก้วมณี ที่เขาปกปิดด้วยผ้าต่างๆ เท่านั้น จึงงดงาม ที่ไม่ ปกปิดย่อมไม่งดงาม, ก็อาจารย์เหล่าใด กล่าวว่า อฏิตเจน อาจารย์ เหล่านั้นอธิบายว่า ร่างกายที่มีหนังห่อย่อมงาม เพราะหุ้มด้วย หนังที่มีประโยชน์.
บทว่า อลตฺตกกตา แปลว่า ทำการย้อมด้วยครั่งสด คือย้อมด้วย ครั่ง.
บทว่า ปาทา แปลว่า เท้า.
บทว่า มุขํ จุณฺณกมกฺขิตํ ความว่า มีหน้าพอกด้วยผง, คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาข้อที่ชนผู้ชอบการตกแต่ง ขจัดต่อมบทใบหน้าเป็นต้น ด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาดสุก แล้วเอาดินเค็มมาถูเอาเลือดเสียออกแล้วลูบไล้ ฝุ่นที่ใบหน้า.
บทว่า อลํ ความว่า สามารถทำคนพาลคือปุถุชนผู้บอด ไม่ใช่ ผู้แสวงหาฝั่ง คือผู้ยังยินดีในวัฏฏะ ให้หลง คือให้ลุ่มหลง ได้แก่สามารถ ทำจิตของคนพาลนั้นให้ลุ่มหลง แต่ไม่อาจ คือไม่สามารถทำบุคคลผู้ แสวงหาฝั่ง คือผู้ยินดีในวิวัฏฏะ ให้หลง.
บทว่า อฏฺปทกตา ความว่า การแต่งผมที่เขาทำ คือแต่งโดย อาการคล้ายกระดานสกา คือที่เขาแต่งโดยกำหนดเอาผมด้านหน้าปิด หน้าผาก ชื่อว่า อัฏฐปทะ ซึ่งท่านเรียกว่า อลกะ ก็มี.
บทว่า เนตฺตา อญฺชนมกฺขิตา ความว่า แม้นัยน์ตาทั้งสองข้าง ก็หยอดยาตา โดยประการที่เงายาหยอดปรากฏในภายในตาและขอบตาทั้ง สองข้าง.
บทว่า อญฺชนีว นวา จิตฺตา ปูติกาโย อลงฺกโต ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 65
กล่องยาตา คือกล่องยาหยอดตาใหม่ๆ วิจิตรด้วยมาลากรรม คือทำเป็น ลวดลายดอกไม้และสลักเป็นฟันมังกรเป็นต้น ภายนอกเกลี้ยงเกลาขึ้นเงา น่าดู แต่ภายในไม่น่าดู ฉันใด. กายของหญิงเหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือน กัน ตกแต่งด้วยการอาบน้ำ หยอดยาตา ผ้าและเครื่องอลังการทั้ง หลาย ภายนอกสดใส แต่ภายในเสีย เต็มด้วยของไม่สะอาดนานประการ ตั้งอยู่.
บทว่า โอทหิ แปลว่า ดักบ่วง.
บทว่า มิคโว แปลว่า นายพรานเนื้อ.
บทว่า ปาสํ ได้แก่ บ่วงมีคัน (ด้าม)
บทว่า นาสทา แปลว่า ไม่ติด. บท วาคุรํ แปลว่า บ่วง.
บทว่า นิวาปํ ได้แก่ อาหารมีหญ้าเป็นต้น ที่เขาใส่ไว้เพื่อให้ พวกเนื้อกิน. พระเถระยกอุปมานี้เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง.
ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ :- เมื่อพรานเนื้อดักบ่วงมีด้ามเพื่อต้องการฆ่าพวกเนื้อ เอาเหยื่อโปรยที่บ่สงนั้นแล้วแอบซุ่มอยู่ เนื้อตัวหนึ่งใน ป่านั้นฉลาดสมบูรณ์ด้วยเชาวน์และความพยายาม ไม่กระทบบ่วงเลย เคี้ยว กินเหยื่อตามสบาย เมื่อนายพรานเนื้อรู้ว่า เนื้อมันลวง จึงร้อนขึ้น ก็ไป เสียฉันใด เนื้อตัวอื่นมีกำลัง ฉลาด สมบูรณ์ เชาวน์ ไปในที่นั้น เคี้ยวกินเหยื่อ ทำบ่วงในที่นั้นๆ ให้ขาด เมื่อนายพรานเนื้อรู้ว่า เนื้อ มันฉลาด ทำบ่วงขาด เศร้าโศกอยู่ ก็ไปเสียฉันใด แม้เราทั้งหลายก็ฉัน นั้น เมื่อก่อนในคราวเป็นปุถุนชน บริโภคโภคะที่บิดามารดามอบให้ เพื่อ ให้ติดข้องอยู่ ไม่ติดข้องในโภคะนั้นๆ ออกไปเสีย ก็บัดนี้ เราทั้งหลาย ตัดกิเลสได้สิ้นเชิงแล้ว เป็นผู้ไม่บ่วง บริโภคโภชนะที่บิดามารดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 66
เหล่านั้นให้ เมื่อท่านทั้งสองเศร้าโศกอยู่นั่นแล ก็ไปเสีย.
พระเถระแสดงบิดามารดากระทำให้เป็นเสมือนพรานเนื้อ กระทำ เงินทอง และเรือนหญิงให้เป็นดุจบ่วง กระทำโภคะที่ตนใช้สอยในกาล ก่อน และโภชนะที่ตนบริโภคในกาลนี้ ให้เป็นดุจเหยื่อคือหญ้า และ กระทำให้เป็นดุจเนื้อใหญ่. ท่านกล่าวคาถานี้แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาสไป นั่ง อยู่ที่แผ่นศิลาอันเป็นมงคลของพระเจ้าโกรพยะ ในมิคาชินอุทยาน.
ได้ยินว่าโยมบิดาของพระเถระให้ใส่ดาลที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ แห่ง แล้ว สั่งคนปล้ำไว้ว่า อย่าให้ออกไป จงดึงผ้ากาสายะออกให้นุ่งผ้าขาว เพราะฉะนั้น พระเถราจึงไปทางอากาศ. ลำดับนั้น พรเจ้าโกพยะ ทรง สดับว่า พระเถระนั่งอยู่ที่นั้น จึงเสด็จเข้าไปหา ทรงทำสัมโมทนียคาถาอัน เป็นเครื่องระลึกถึงกันให้ผ่านไปแล้ว จึงตรัสถามว่า ท่านรัฐปาละผู้เจริญ บุคคลผู้จะบวชในโลกนี้ เป็นผู้ประสบความเสื่อมเพราะเป็นโรค หรือ ความเสื่อมเพราะชรา โภคะ และญาติ จึงออกบวช ส่วนตัวท่าน ไม่ประสบความเสื่อมอะไรๆ เลย เพราะเหตุไร จึงออกบวช.
ลำดับนั้น พรเถระจึงกล่าวถึงตนผู้มีภาวะอันวิเวกต่อธัมมุทเทส ๔ ประการนี้แด่พระราชาว่า โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน, โลกไม่มีผู้ ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน, โลกไม่เป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้ง ปวงไป, โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสตัณหาดังนี้ เมื่อจะ กล่าวการร้อยกรองตามลำดับแห่งเทศนานั้น จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
เราเห็นหมู่มนุษย์ที่มีทรัพย์ในโลกนี้ ได้ทรัพย์แล้ว ไม่ให้ทาน เพราความลุ่มหลง ได้ทรัพย์แล้วทำการสั่ง สมไว้ และปรารถนาอยากได้ยิ่งขึ้นไป พระราชากดขี่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 67
ช่วงชิงเอาแผ่นดิน ครอบครองแผ่นดินอันมีสาครเป็น ที่สุด ตลอดฝั่งสมุทรข้างนี้แล้ว ไม่รู้จักอิ่ม ยังปรารถนา จักครอบครองฝั่งสมุทรข้างโน้นอีกต่อไป พระราชก็ดี มนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมากก็ดี ผู้ยังไม่ปราศจากตัณหา ย่อมเข้าถึงความตาย ยังไม่เต็มความประสงค์ก็พากันละ ทิ้งร่างกายไป ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายย่อมไม่มีในโลก เลย หมู่ญาติพากันสยายผมร้องไห้คร่ำครวญถึงผู้นั้น และรำพันว่า ทำอย่างไรหนอ พวกญาติของเราจึงจะไม่ ตาย ครั้นพวกญาติตายแล้ว ก็เอาผ้าห่อนำไปเผาเสียที่ เชิงตะกอน ผู้ที่ตายไปนั้นถูกเขาแทงด้วยหลาว เผาด้วย ไฟ ละโภคะทั้งหลาย มีแต่ผ้าผืนเดียวติดตัว ไปเมื่อ บุคคลจะตามย่อมไม่มีญาติหรือมิตรสหายช่วยต้านทานได้ พวกที่รับมรดกก็มาขนเอาทรัพย์ของผู้ตายนั้นไป ส่วน สัตว์ที่ตายย่อมไปตามยถากรรม เมื่อตายไม่มีทรัพย์ สมบัติอะไรๆ คือ พวกบุตร ภรรยา ทรัพย์ แว่นแคว้น สิ่งใดๆ จะติดตามไปได้เลย บุคคลจะได้อายุยืนเพราะ ทรัพย์ก็หาไม่ จะละความแก่ไปแม้เพราะทรัพย์ก็หาไม่.
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั่นแล ว่าเป็นของน้อย ไม่ยั่งยืน มีความเปรปรวนเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมีและ คนยากจนย่อมถูกต้องผัสสะเหมือนกัน ทั้งคนพาลและ คนฉลาดก็ถูกต้องผัสสะเหมือนกันทั้งนั้น แต่คนพาลถูก อารมณ์ที่ไม่ชอบใจเบียดเบียน ย่อมอยู่เป็นทุกข์เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 68
ความเป็นพาล ส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้อง ย่อม ไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้นแล ปัญญาจึงจัดว่าประเสริฐ กว่าทรัพย์ เพราะปัญญาเป็นเหตุให้บรรลุนิพพาน แต่ คนพาลไม่ปรารถนาจะบรรลุ พากันทำกรรมชั่วต่างๆ อยู่ ในภพน้อยภพใหญ่ เพราะความหลง. ผู้ใดทำกรรมชั่ว แล้ว ผู้นั้นจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารร่ำไป บุคคลผู้มีปัญญาน้อย เมื่อมาเชื่อต่อการทำของบุคคลผู้ทำ กรรมชั่วนั้น ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไปเหมือน กัน. โจรผู้มีธรรมอันชั่งช้า ถูกเขาจับได้พร้อมของกลาง ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนอันใด หมู่สัตว์ผู้มีธรรม อันชั่วช้า ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในปรโลกเพราะ กรรมของตนฉันนั้น.
กามทั้งหลายงามวิจิตร มีรสอร่อยน่ารื่นรมย์ใจ ย่อม ย่ำยีจิตด้วยรูปแปลกๆ. ดูก่อนมหาบพิตร เพราะอาตมภาพ ได้เห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงออกบวช สัตว์ ทั้งหลายทั้งหนุ่มทั้งแก่ ย่อมตกไปเพราะร่างหายแตก เหมือนผลไม้หล่นฉะนั้น.
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพเห็นความไม่เที่ยงไม้ ข้อนี้ จึงออกบวช. ความเป็นสมณะอันไม่ผิดนั่นและประเสริฐ อาตมภาพออกบวชด้วยศรัทธา เข้าถึงการปฏิบัติ ชอบในศาสนาของพระชินเจ้า บรรพชาของอาตมภาพ ไม่มีโทษ อาตมภาพไม่เป็นหนี้บริโภคโภชนะ อาตมภาพ เห็นกามทั้งหลายโดยเป็นของอันไฟติดทั่งแล้ว เห็นทอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 69
ทั้งหลายโดยเป็นศาสตรา เห็นทุกข์จำเดิมแต่ก้าวลงใน ครรภ์ เห็นภัยใหญ่ในนรก จึงออกบวช อาตมภาพเห็น โทษอย่างนี้แล้ว ได้ความสังเวชในกาลนั้น ในกาลนั้น อาตมภาพเป็นผู้ถูกลูกศรคือราคะเป็นต้นเสียบแทงแล้ว บัดนี้บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว พระศาสดาอันอาตมภาพคุ้นเคยแล้ว คำสั่งสอนอขงพระพุทธเจ้า อาตมภาพ ทำเสร็จแล้ว อาตมภาพได้ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอน ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว บรรลุถึงประโยชน์ที่ กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึง ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสามิ โลเก ความว่า ดูก่อน มหาบพิตร อาตมภาพเห็นหมู่มนุษย์ผู้มีทรัพย์คือสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ผู้มั่งคั่ง ในโลกนี้ ก็หมู่มนุษย์เหล่านั้นได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ คือได้ทรัพย์แล้ว ดำรงอยู่ในโภคสมบัติ ย่อมไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ ในบรรดาสมณพราหมณ์เป็นต้น. เพราเหตุไร? เพราเขลา คือเพราะไม่มีกัมมัสกตาปัญญา, เป็นผู้โลภ คือถูกโลภะครอบงำ ย่อมปรารถนาคือหวังเฉพาะ กาม คือกามคุณที่ยิ่งขึ้น คือสูงกว่ากามที่ได้รับว่า ก็เราพึงได้โภคะ เช่นนี้เหมือนอย่างนั้น ดังนี้ และกระทำความพยายามอันเกิดจากความ หวังนั้น.
พระเถระเมื่อจะแสดงอุทาหรณ์แห่งการปรารถนากามที่ยิ่งๆ ขึ้น จึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 70
กล่าวคำว่า มหาราช ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสยฺหปฺปวี วิเชตฺวา ความว่า ชนะ วิเศษเฉพาะแผ่นดินที่อยู่ในอำนาจของตน โดยพลการ.
บทว่า อาวสนฺโต แปลว่า ปกครองอยู่.
บทว่า โอรํ สมุทฺทสฺส ความว่า แม้ได้ส่วนในแห่งสมุทรจน หมดสิ้น ก็ยังไม่อิ่มด้วยการได้นั้น ก็ปรารถนาฝั่งคือทวีปอื่นๆ แห่งสมุทร ต่อไปอีก.
บทว่า อวีตตณฺหา ได้แก่ ผู้ไม่ปราศจากตัณหา.
บทว่า อูนาว ได้แก่ ผู้มีมโนรถยังไม่บริบูรณ์เลย.
บทว่า กาเมหิ โลกมฺหิ น หตฺถิ ติตฺติ ความว่า ชื่อว่าความ อิ่มด้วยวัตถุกามทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่มีแก่คนผู้ยังไม่ปราศจากตัณหา.
บทว่า กนฺทนฺติ นํ ความว่า ย่อมกระทำความคร่ำครวญระบุถึง คุณของเขา เจาะจงคนที่ตายไปแล้ว.
บทว่า อโห วตา โน อมราติ จาหุ ความว่า ย่อมคร่ำครวญ ว่า ทำอย่างไรหนอ ญาติทั้งหลายของพวกเราจะพึงไม่ตาย, ก็ในที่นี้ เพื่อ สะดวกในการผูกคาถา ท่านจึงทีฆะ (วต) เป็น วตา.
บทว่า โส ฑยฺหติ สูเลหิ ตุชฺชมาโน ความว่า สัตว์ผู้ตาย แล้วนั้น สัปเหร่อเอาหลาวแทงเพื่อเผ่าง่าย. บทว่า ตาณา แปลว่า ผู้ กระทำการต้านทาน.
บทว่า เยนกมฺมํ แปลว่า ตามยถากรรม.
บทว่า ธนํ ได้แก่ วัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บุคคลพึงออกเสียงร้อง (ว่า นี้ของเรา). ท่านกล่าว ธนํ ซ้ำอีก โดยหมายถึงเงินและทอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 71
ท่านกล่าวถึงความไม่มีการตอบแทนแห่งกามคุณและชรา ด้วยบท มีอาทิว่า น ทีฆายุ อายุไม่ยืน เพื่อจะแสดงซ้ำถึงความทีกามคุณนั้น เป็นฝ่ายเดียวกัน จึงกล่าวคำว่า อปฺปํ หิ=น้อยนัก ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ผุสนฺติ ความว่า ย่อมถูกต้อง คือได้รับผัสสะอันไม่น่า ปรารถนา, ในการถูกต้องผัสสะนั้น ท่านแสดงว่า ความเป็นคนมั่งคั่ง และขัดสน ไม่ใช่เหตุ.
บทว่า ผสฺสํ พาโล จ ธีโร จ ตเถว ผุฏฺโ ความว่า คนพาล ถูกต้องผัสสะทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ฉันใด นักปราชญ์ก็ ย่อมถูกต้องผัสสะทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ฉันนั้นเหมือนกัน. ในข้อนี้ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ไม่มีความผิดแผกอะไรกัน, ส่วนข้อ ที่แปลกกันมีดังนี้ ก็คนพาลเป็นผู้ถูกเบียดเบียนอยู่เพราะความเป็นคนพาล อธิบายว่า พาลบุคคลอันทุกขธรรมอะไรๆ ถูกต้องแล้ว เศร้าโศก ลำบาก คร่ำครวญทุบอก เป็นผู้ถูกเบียดเบียนอยู่เพราะความเป็นคนพาล คือคน พาลอันผัสสะถูกต้องแล้ว หมุนมาหมุนไปทางโน้นทางนี้ ร้อนใจ หวั่น ไหวอยู่ ส่วนนักปราชญ์คือบัณฑิตอันทุกขสัมผัสถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่น ไหว คือแม้มาตรว่า ความหวั่นไหวก็ไม่มีแก่นักปราชญ์นั้น.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่คนพาลและบัณฑิตมีความ เป็นไปในโลกธรรมเป็นเช่นนี้ เพราเหตุนั้นแล ปัญญาอันเป็นคุณเครื่อง ให้บรรลุถึงที่สุดในโลกนี้ จึงประเสริฐกว่าทรัพย์ อธิบายว่า ปัญญาอัน เป็นคุณเครื่องให้บรรลุถึงที่สุด คือพระนิพานอันเป็นที่สุดแห่งภพ จึง เป็นคุณชาติน่าสรรเสริญกว่าทรัพย์.
บทว่า อโพฺยสิตตฺตา หิ ได้แก่ เพราะไม่ได้บรรลุถึงความสำเร็จ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 72
บทว่า ภวาภเวสุ ได้แก่ ในภพน้อยภพใหญ่ทั้งหลาย.
บทว่า อุเปติ คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลก สสารมาปชฺช ปรมฺ- ปราย ความว่า บุคคลใดกระทำบาปทั้งหลาย ถึงการท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ย่อมเข้าถึงครรภ์และโลกหน้า คือย่อมไม่พ้นไปจากการนอนอยู่ใน ครรภ์และการเกิดขึ้นในโลกหน้า คนแม้อื่นผู้ไม่มีปัญญาคืนคนพาล เชื่อ การกระทำของบุคคลผู้มีปกติทำกรรมชั่วนั้น คือปฏิบัติอยู่ว่า เรามีตน ย่อมไม่พ้นจากครรภ์และโลกหน้า โดยประการที่ตนปฏิบัติแล้วเข้าถึงอยู่ นั้น.
บทว่า โจโร ยถา ความว่า โจรผู้มีบาปธรรมตัดที่ต่อเรือน ถูก คนเฝ้าจับได้ที่ปากช่องต่อ ย่อมเดือดร้อนด้วยกรรมของตน คือด้วยกรรม คือการตัดที่ต่อของตนนั้น อันเป็นตัวเหตุ โดยการเฆี่ยนเป็นต้นด้วยแส้ เป็นต้น คือถูกพวกราชบุรุษเบียดเบียนและจองจำ ฉันใด.
บทว่า เอวํ ปชา ความว่า สัตว์โลกนี้ก็ฉันนั้น กระทำบาป ทั้งหลายในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า คือในนรก เป็นต้นเพราะกรรมนั้น คือย่อมถูกเบียดเบียนด้วยกรรมกรณ์เครื่องจองจำ ๕ อย่างเป็นต้น.
พระเถระประกาศธัมมุทเทส ๔ ประการตามสมควร ด้วยคาถา ๑๑ คาถานี้ด้วยประการอย่างนี้ บัดนี้ เมื่อจะประกาศความที่ตนเห็นโทษใน กามและสงสาร จึงบวชด้วยศรัทธา และการบรรลุถึงที่สุดแห่งกิจของ บรรพชิต จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า กามา หิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามา ความว่า ธรรมทั้งหลายมีรูป เป็นต้นอันเป็นที่รักของใจ ชื่อว่า วัตถุกาม ชนิดของราคะแม้ทั้งหมด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 73
ชื่อว่ากิเลสกาม. แต่ในที่นี้ต้องเข้าใจว่า วัตถุกาม. เพราะว่าวัตถุกาม เหล่านั้นชื่อว่า วิจิตร เพราะมีเป็นอเนกประการด้วยอำนาจรูปเป็นต้น.
ชื่อว่า อร่อย เพราะมีอาการน่าปรารถนาด้วยอำนาจความยินดีแห่ง ชาวโลก. ชื่อว่า น่ารื่นรมย์ใจ เพราะทำใจของพวกพาลปุถุชนให้ยินดี.
บทว่า วิรูปรูเปน ได้แก่ ด้วยรูปต่างๆ อธิบายว่า โดยสภาวะ หลายอย่าง.
จริงอยู่ กามทั้งหลายวิจิตรด้วยรูปเป็นต้น คือมีรูปแปลกๆ โดย เป็นรูปสีเขียวเป็นต้น. กามทั้งหลายแสดงความชอบใจโดยประการนั้นๆ ด้วยรูปแปลกๆ นั้นอย่างนี้แล้ว ย่อมย่ำยีจิต คือไม่ให้ยินดีในการบรรพชา เพราะเหตุนั้น เราเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย โดยมีความยินดีน้อยมีทุกข์ มากเป็นต้น เพราะฉะนั้น คือเพราะการเห็นโทษในกามคุณนั้น เราจึง บวช.
ผลไม้ทั้งหลาย ในเวลาสุกและเวลายังไม่สุก ย่อมตกไปในที่ใดที่ หนึ่ง โดยความพยายามของคนอื่น หรือโดยหน้าที่ของตน ฉันใด สัตว์ ทั้งหลายก็ฉันนั้น จะเป็นคนหนุ่มและคนแก่ ย่อมตกไปเหมือนกัน. เพราะร่างกายแตก
บทว่า เอตมฺปิ ทิสฺวา อธิบายว่า เราเห็นแม้ความไม่เที่ยงอย่างนี้ ด้วยปัญญาจักษุ ไม่ใช่เห็นเฉพาะโทษ เพราะมีความยินดีน้อยเป็นต้น อย่างเดียว.
บทว่า อปณฺณกํ ความว่า สามัญญะ คือความเป็นสมณะที่ไม่ผิด นั่นแหละประเสริฐ คือยิ่งกว่า.
บทว่า สทฺธาย ได้แก่ เชื่อกรรม ผลของกรรม ความที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 74
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ดีแล้ว ความที่พระธรรมเป็นธรรมดี และความ ปฏิบัติดีของพระสงฆ์.
บทว่า อุเปโต ชินสาสเน ได้แก่ เข้าถึงการปฏิบัติชอบใน ศาสนาของพระศาสดา.
การบรรพชาของเราไม่ไร้ผล เพราะเราได้บรรลุพระอรหัต. เพราะ เหตุนั้นแล เราจึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีหนี้ บริโภคโภชนะ เพราะบริโภคด้วย สามีบริโภค บริโภคโดยความเป็นเจ้าของด้วยอำนาจความหมดกิเลส.
บทว่า กาเม อาทิตฺตโต ทิสฺวา ความว่า เห็นวัตถุกามและ กิเลสกามทั้งหลาย โดยภาวะที่ถูกไฟ ๑๑ กองติดโชนแล้ว. บทว่า ชาตรูปานิ สตฺถโต ได้แก่ สุวรรณพิกัตทุกชนิด อันต่าง โดยทำเป็นรูปพรรณและไม่ได้ทำเป็นรูปพรรณ โดยเป็นศาสตรา เพราะ เป็นของนำความพินาศมา.
บทว่า คพฺภโวกฺกนฺติโต ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์อันเกิดจากความเป็น ไปในสงสารทั้งปวง จำเดิมแต่ก้าวลงสู่ครรภ์.
บทว่า นิรเยสุ มหพฺภยํ มีวาจาประกอบความว่า และเห็นภัย ใหญ่ที่จะได้รับในมหานรกทั้ง ๘ ขุม พร้อมด้วยอุสสทนรก นรกที่เป็น บริวาร ในที่ทุกแห่ง.
บทว่า เอตมาทีนวํ ตฺวา ได้แก่ รู้อาทีนพโทษแห่งกามทั้งหลาย นี้ มีความที่ไฟติดทั่วแล้วเป็นต้น ในสงสาร.
บทว่า สํเวคํ อลภึ คทา ความว่า ในเวลาที่ได้ฟังธรรมใน สำนักของพระศาสดานั้น เราได้ความสังเวชในภพเป็นต้น.
บทว่า วิทฺโธ ตทา สนฺโต ความว่า ในเวลาที่เราเป็นคฤหัสถ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 75
นั้น เราเป็นผู้ถูกเสียบแทงด้วยลูกศรคือราคะเป็นต้น บัดนี้ ได้ถึงความ สิ้นอาสวะ เพราะอาศัยคำสอนของพระศาสดา, อีกอย่างหนึ่ง เรารู้แจ้ง แล้ว อธิบายว่า รู้แจ้งเฉพาะแล้วซึ่งสัจจะทั้ง ๔. คำที่เหลือเข้าใจได้ง่าย ทั้งนั้น เพราะได้กล่าวไว้ในระหว่างๆ เป็นต้น.
พระเถระครั้นแสดงธรรมแก่พระเจ้าโกรพยะอย่างนี้แล้ว ไปเฝ้า พระศาสดาทีเดียว และในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลาง อริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บวช ด้วยศรัทธา ฉะนี้แล.
จบอรรถกถารัฐปาลเถรคาถาที่ ๔