๓. อุปจาลาเถรีคาถา
[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 282
เถรีคาถา สัตตกนิบาต
๓. อุปจาลาเถรีคาถา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 282
๓. อุปจาลาเถรีคาถา
[๔๖๑] พระอุปจาลาเถรี กล่าวคาถาเป็นอุทานว่า
ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี มีสติ มีจักษุ มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว รู้แจ้งตลอดสันตบท อันอุดมบุรุษเสพแล้ว.
มารผู้มีบาปกล่าวว่า
เหตุไฉน แม่นางจึงไม่ชอบใจความเกิด เพราะผู้เกิดมาแล้ว ย่อมบริโภคกามทั้งหลาย เชิญแม่นาง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 283
บริโภคความยินดีในกามทั้งหลายเถิด อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย.
พระอุปาลาเถรีกล่าวว่า.
ผู้เกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย ถูกตัดมือเท้า ถูกฆ่าถูกจองจำ ผู้เกิดมาแล้ว จำต้องประสบทุกข์.พระสัมพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติในตระกูลศากยะผู้ทรงชนะแล้วมีอยู่ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม อันเป็นอุบายล่วงเสียซึ่งชาติ คือทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความล่วงทุกข์ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางดำเนินให้ถึงความระงับทุกข์โปรดเรา ข้าพเจ้าฟังคำสอนของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา ข้าพเจ้าได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าทำเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงได้แล้ว ทำลายกองแห่งความมืดแล้ว ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ดูก่อนมารผู้กระทำที่สุด ตัวท่านข้าพเจ้าก็กำจัดได้แล้ว.
จบ อุปจาลาเถรีคาถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 284
๓. อรรถกถาอุปจาลาเถรีคาถา
คาถาว่า สตีมตี ดังนี้เป็นต้น เป็นคาถาของพระอุปจาลาเถรี.
เรื่องของนางอุปจาลาเถรีนั้น ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องพระจาลาเถรีก็พระอุปจาลาเถรีแม้นี้ บวชแล้วเหมือนพระจาลาเถรี เริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต เมื่อเปล่งอุทาน ได้กล่าวคาถาเหล่านั้นว่า
ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี มีสติ มีจักษุ มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว รู้แจ้งตลอดสันตบท อันอุดมบุรุษเสพแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตีมตี ความว่า ถึงพร้อมด้วยสติคือเป็นผู้ประกอบด้วยสติ รักษาตนไว้ได้เป็นอย่างยิ่ง อันเป็นส่วนเบื้องต้นประกอบด้วยสติสูงสุด โดยถึงความไพบูลย์แห่งสติ เพราะเจริญอริยมรรคในภายหลัง.
บทว่า จกฺขมตี ได้แก่ ประกอบด้วยปัญญาจักษุ คือประกอบอุทยัตถคามินีปัญญา อันชำแรกกิเลสออกไปอย่างประเสริฐ ท่านอธิบายว่า ประกอบด้วยปัญญาจักษุเป็นอย่างยิ่ง โดยถึงความไพบูลย์แห่งปัญญา. บาทคาถาว่าอกาปุริสเสวิตํ ได้แก่ บุรุษผู้ไม่ต่ำ คืออุดมบุรุษ ได้แก่พระอริยะมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว.
มารประสงค์จะชักนำพระเถรีเข้าไปในกามทั้งหลาย จึงกล่าวคาถาว่ากึ นุ ชาตึ น โรเจสิ ดังนี้. ความจริงพระเถรีถูกมารถามว่า แม่ภิกษุณีแม่นางไม่ชอบใจอะไร? จึงตอบว่า ท่านเอย เราไม่ชอบใจชาติความเกิดจริงๆ ลำดับนั้น มารเมื่อแสดงว่าสัตว์ที่เกิดแล้วบริโภคกาม เพราะฉะนั้น จึงปรารถนาชาติบ้าง บริโภคกามบ้าง ได้กล่าวคาถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 285
เหตุไฉน แม่นางจึงไม่ชอบใจความเกิด เพราะผู้เกิดมาแล้วย่อมบริโภคกามทั้งหลาย เชิญแม่นางบริโภคความยินดีในกามทั้งหลายเถิด อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย.
คาถานั้น มีความว่า เหตุนั้นเป็นอย่างไรเล่า แม่อุปจาลา แม่นางไม่ชอบใจ คือไม่พอใจความเกิดด้วยเหตุใด เหตุนั้นก็ไม่มี เพราะเหตุที่ผู้เกิดแล้ว ย่อมบริโภคกามทั้งหลาย คือผู้เกิดแล้วในโลกนี้ เมื่อซ่องเสพรูปเป็นต้นที่ประกอบด้วยกามคุณ ย่อมชื่อว่าบริโภคกามสุข แต่กามสุขนั้นก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิดแล้ว ฉะนั้นเชิญแม่นางบริโภคความยินดีในกามทั้งหลายเถิด คือเชิญท่านเสวยความยินดีในการเล่นกับกามทั้งหลาย. บาทคาถาว่า มาหุ ปจฺฉานุตาปินี ความว่า อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อหนุ่มเราหาได้เสวยกามสุขในเมื่อโภคสมบัติมีอยู่ไม่ดังนี้ อธิบายว่า ธรรมดาว่า ธรรมทั้งหลายในโลกนี้มีประโยชน์ปรากฏไปจนถึงว่า ความต้องการและมีการบรรลุประโยชน์เป็นประโยชน์ ความต้องการมีกามสุขเป็นประโยชน์.
พระเถรีฟังคำนั้นแล้ว ก็ประกาศว่า ชาติเป็นเครื่องหมายแห่งทุกข์และว่าตนก้าวล่วงวิสัยของมารเสียแล้ว เมื่อขู่ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ผู้เกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย ถูกตัดมือเท้า ถูกฆ่า ถูกจองจำ ผู้เกิดมาแล้ว จำต้องประสบทุกข์.
พระสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในตระกูลศากยะ ผู้ทรงชนะแล้วมีอยู่ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันเป็นอุบายล่วงเสียซึ่งชาติ คือทุกข์ เหตุไม่เกิดทุกข์ ความล่วงทุกข์ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 286
ทางดำเนินให้ถึงความระงับทุกข์โปรดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนาข้าพเจ้าได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงได้แล้ว ทำลายกองแห่งความมืดแล้ว ดูก่อนมารผู้มีใจบาป ท่านจงรู้อย่างนี้เถิดดูก่อนมารผู้กระทำที่สุด ตัวท่านข้าพเจ้าก็กำจัดได้แล้ว.
บรรดาคาถาเหล่านั้น บาทคาถาว่า ชาตสฺส มรณํ โหติ ความว่าเพราะเหตุที่ความตายย่อมมีแก่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หามีแก่สัตว์ผู้ไม่เกิดไม่ มิใช่แต่ความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ โรคทั้งหลายมีโรคชราเป็นต้นมีประมาณเท่าใด โรคเหล่านั้นแม้ทั้งปวงซึ่งหาประโยชน์มิได้ มีชาติเป็นเหตุย่อมมีแก่ผู้เกิดมาแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดมี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ด้วยเหตุนั้นแล พระอุปจาลาเถรีจึงกล่าวว่า หตฺถปาทาน เฉทนํ ได้แก่ การถูกตัดมือและเท้า ย่อมมีแก่ผู้เกิดแล้ว หามีแก่ผู้ไม่เกิดไม่ ก็ในข้อนี้พึงเห็นว่าท่านแสดงแม้กรรมกรณ์ [การลงโทษ] ๓๒ อย่าง ไว้ด้วยการอ้างการถูกตัดมือเท้าเป็นตัวอย่าง. สองบาทคาถาว่า วธพนฺธปริเกฺลสํ ชาโต ทุกฺขํ นิคจฺฉติความว่า การถูกฆ่ามีการพรากชีวิตและการชกด้วยหมัดเป็นต้น การจองจำมีการจองจำด้วยโซ่ตรวนเป็นต้น และกรรมกรณ์อย่างอื่นทุกอย่าง ชื่อว่าทุกข์ผู้เกิดแล้วย่อมได้ประสบทุกข์นั้นทั้งหมด ผู้ไม่เกิดหาประสบไม่ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ชอบใจความเกิด.
บัดนี้ พระอุปจาลาเถรี เมื่อแสดงส่วนเกินของกามทั้งหลาย และตนก้าวล่วงกามได้ตั้งแต่ชาติเป็นมูล จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า มีพระสัมพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 287
ผู้เสด็จอุบัติในตระกูลศากยะ. ในบทเหล่านั้น บทว่า อปราชิโต ได้แก่ผู้อันมารไรๆ มีกิเลสมารเป็นต้นให้พ่ายแพ้ไม่ได้แล้ว [คือชนะ] แท้จริงพระศาสดาทรงเป็นพระสัพพาภิภู ผู้ทรงครอบงำโลกพร้อมทั้งเทวโลกไว้ได้โดยแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้อันใครให้แพ้มิได้. คำที่เหลือง่ายทั้งนั้นเพราะมีนัยอันกล่าวมาแล้ว.
จบ อรรถกถาอุปจาลาเถรีคาถา
จบ อรรถกถาสัตตกนิบาต