สงสัยว่าจะเจริญสติทุกเวลานั้นได้อย่างไร
ผม และอีกหลายคนอาจเป็นเหมือนกัน ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า ต้องไปปฏิบัติที่นั่นที่นี่ หรือสงสัยว่าจะเจริญสติทุกเวลานั้นได้อย่างไร ส่วนตัวผมมีประสบการณ์ คือ เมื่อเกิดสติก็จะรู้ว่า ตัวเองขาดสติมากมายเมื่อเทียบกับขณะไม่มีสติ ความอยากก็แทรกแซง (อย่างละเอียด) ความเพ่ง ความตั้งใจอย่างยิ่ง ทำให้เกิดลักษณะคล้ายๆ สมาธิน้อยๆ เป็นการจ้อง แต่คงเป็นมิจฉาสมาธิ และมีลักษณะของโมหะเกิดร่วมด้วย มีความไม่รู้เกิด ร่วมด้วย เป็นลักษณะไม่แจ่มแจ้ง ยิ่งเพ่งก็ยิ่งไม่รู้ สำหรับผมแม้นว่าจะโดยปริยัติจะเชื่อว่าสติเกิดร่วมด้วยได้ทุกเวลา โดยไม่ทำให้นามรูปอื่นที่เกิดร่วมด้วยผิดปกติไป จนไม่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ด้วยความหลงนั้นทำให้บางครั้ง ผมก็อยากจะถามว่า สติ เจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตใดแล้ว จะทำให้ชีวิตประจำวันจะเป็นอย่างไรหนอ ถ้าจะพูด ถึงความยากนั้น บางคนที่ผมอยากให้ได้รู้ได้ยินอย่างนี้บ้าง เขาก็ ทำนองว่ารู้แล้ว หรือไม่เห็นคุณค่าว่าจะดีกว่าที่เขาคิดว่าได้รู้มาแล้วอย่างไร ในส่วนตัวผม อย่าว่าปัญญา ระดับสติปัฏฐานเลยครับ ระดับคิดนึก ระดับพยัญชนะ ก็ยังไม่แจ่มแจ้งแทงตลอด บางครั้งพยัญชนะที่ผมคิดว่าเข้าใจแล้ว โดยความจำได้กล่าวได้จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจ จริงๆ โดยทดสอบจากเวลาที่มีคนให้อธิบาย หรือเวลามีปัญหาไม่สามารถตอบปัญหานั้นด้วยตนเองได้ ทั้งๆ ที่ คำตอบก็คือส่วนที่ได้จำได้กล่าวได้แล้วนั่นเอง และเมื่อก้าวสู่สติปัฏฐานก็ไม่ต้องพูดถึงว่า จะมีความไม่รู้ ความสงสัย ความติดขัดมากน้อยเท่าใด สำหรับผมเห็นว่าปริยัติที่ถูกต้องชัดเจนละเอียดกว้างขวางจะช่วยได้มาก เพราะผมคิดว่า จริงอยู่หากสงสัยก็ถามกัลยาณมิตรได้ และก็มีอยู่ที่นี่แต่สภาพธรรมมีนับไม่ถ้วน ถ้าถามเรื่อยไป ก็คงไม่ไหว
ขอแสดงความคิดเห็นไว้เท่านี้ครับ ท่านใดมีอะไรแนะนำ ก็ขออนุโมทนาครับ
ในชีวิตประจำวัน ถ้าโสภณเจตสิกเป็นเจตสิกฝ่ายดี เกิดร่วมกับกุศลจิต เช่น สติเกิดระลึกเป็นในทาน ในศีล ในภาวนา จิตขณะนั้นปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ แต่สติเกิด ไม่มีปัญญาประกอบด้วยก็ได้ แต่ปัญญาเกิดมีสติเกิดร่วมด้วยทุกครั้งค่ะ และถ้าสติไม่เกิดระลึกเป็นไปในทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นก็หลงลืมสติ เพราะฉะนั้น สติไม่สามารถเกิดได้ทุกเวลา หรือว่าตลอดเวลา เพราะโดยปกติชีวิตประจำวันอยู่ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอให้สหายธรรมอดทนที่จะฟังธรรมนั้นเอง จะทำกิจหน้าที่ค่อยๆ เข้าใจละความไม่รู้ทีละเล็กละน้อย เหมือนไม่รู้สึกตัวเลย ดั่งการจับด้ามมีด ทีละครั้งไม่รู้สึกเลยว่าได้สึกไปเท่าไหร่แล้ว และหนทางนี้เป็นเรื่องของการอบรมที่ยาวนาน ดังคำว่า จิรกาลภาวนา
เมื่อเราเพิ่งเริ่มอบรม ฝ่ายที่ถูกต้องเพียงเล็กน้อย ต่างกับที่เราได้สะสมอวิชชามามากเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้น จึงเป็นธรรมดามากที่มีความไม่รู้มากมาย แต่การอบรมปัญญาก็ต้องเริ่มจากการฟังนั่นเอง โดยเข้าใจพื้นฐานว่า ธรรมคือ อะไร และมีอยู่ในขณะไหนและปัญญารู้อะไรโดยขั้นการฟัง ส่วนสติปัฏฐานจะเกิด ไม่เกิด เป็นหน้าที่ ของธรรม เมื่อเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมและอนัตตา ก็ศึกษาธรรมด้วยความเบา ไม่รู้ก็ คือไม่รู้เพราะเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าธรรมคืออะไร และธรรมมีอยู่ในขณะนี้ ก็ย่อมไปหาที่ที่เหมาะสม ลืมไปว่าธรรมก็มีอยู่ในขณะนี้ แต่ที่ขาดคือปัญญาต่างหากที่ไม่ สามารถจะรู้ความจริงในขณะนี้ได้ครับ แม้ไปสถานที่อื่น กิเลสไม่ได้หาย ไปด้วย ยังตามไป และที่สำคัญตราบใดยังไม่มีความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ก็ไม่มีทางเลยที่สติจะเกิด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามครับ ดังนั้นควรพิจารณาว่า ธรรมอยู่ในขณะไหนและไม่ลืมว่า ความวุ่นวายหรือกิเลสที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพียงแต่ปัญญาไม่รู้เอง หน้าที่คือฟังจนเข้าใจ จนสติปัฏฐานเกิด ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เพราะทุกที่มีธรรม และไม่ลืมว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแม้สติ ดังนั้น จึงไม่มีใครที่จะบังคับให้สติเลือกเกิดในที่สงบเงียบหรือวุ่นวายเพราะธรรมทั้งหลายแม้สติก็เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เป็นวาทะที่ฟังแล้ว ร่าเริงยินดียิ่งครับ
"ส่วนสติปัฏฐานจะเกิด ไม่เกิด เป็นหน้าที่ของธรรม เมื่อเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและอนัตตา ก็ศึกษาธรรมด้วยความเบา ไม่รู้ก็คือไม่รู้ เพราะเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ"
"ดังนั้นควรพิจารณาว่า ธรรมอยู่ในขณะไหน และไม่ลืมว่า ความวุ่นวายหรือกิเลสที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพียงแต่ปัญญาไม่รู้เอง" ฯ
ขออนุโมทนา
ความต้องการอย่างละเอียด ตัวตนที่คิดนึกจะคอยแทรกเป็นตัวตนอยู่ตลอด ข้ามสภาพธรรมที่กำลังปรากฎทางอื่นๆ ขอให้ท่านสะสมการฟังที่ถูกต้องต่อไปเรื่อยๆ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงจะเกิดจึงจะมีได้
เข้าใจเรื่องสติ แต่พอมีอะไรมากระทบ เจ้าคำว่าสติ กับวิ่งหลบหายเหมือนเล่นซ่อนหา กว่าจะเรียกกลับมาอีกที่ ก็ต้องใช้แรงกาย แรงใจ อย่างมากในการตามหา มีวิธีใดที่จะ จับสติให้อยู่นิ่งได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ บัญชาของใครมีวิธีเดียวคือฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจขึ้น และมีความเห็นถูกไม่หาวิธีจับสติ เพราะสติเป็นอนัตตาจับไม่ได้ค่ะ
ฟัง mp 3 ของอ. สุจินต์ และอ่านหนังสือธรรมหลายเล่ม แต่บางขณะ ก็ยอมรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เจอในชีวิตประจำวัน นี่หละคือสิ่งที่การปฎิบัติไม่ก้าวหน้าเท่าทีควร
ขอบคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ความก้าวหน้าของการศึกษาพระธรรม คือ การค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ละความไม่รู้แม้ขั้นการฟังจากการที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ไม่ใช่จะไม่ให้มีโทสะ ถ้าไม่มีโทสะต้องเป็นพระอนาคามีครับ แต่จะต้องเป็นพระโสดาบันก่อนคือ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนก่อนครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ธรรมมะ คือ ธรรมชาติ คำนี้มีความหมายในตัวเองจริงๆ ค่ะ และที่ อ.สุจินต์สอนว่า ต้องค่อยเป็นค่อยไป เข้าใจในวันเดียวไม่ได้ไม่ต้องไปเร่ง คำสอนนี้ได้กับตัวเองจริงๆ เลยค่ะ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว สามารถทำเรื่องยากให้กลายเป็นง่ายไปเลยค่ะ
เงี่ยหูสดับตรับฟังธรรมถึงแม้จะไม่เข้าใจ ก็พยายามวันละเล็กละน้อย เรื่อยๆ ไป เพื่อให้สติ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกเพิ่มขึ้นตามวัน เดือน ปี ที่ได้ล่วงไป ธรรมะเป็นสิ่งสุขุมลุ่มลึกละเอียดอ่อนยากที่สัตว์ทั้งปวงจะรู้ตามได้
ขออนุโมทนาค่ะ
ต้องเป็นหน้าที่ของ สังขารธรรม ที่จะปรุงแต่งให้ ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออวิชชาคือ สติสัมปชัญญะ เกิดคั่นกระแสของอกุศลธรรมในขณะนั้นได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำหน้าที่ระลึกได้ ไม่หลงลืม ศึกษาพิจารณา แล้วเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็ต้องมาจากการฟังพระธรรม สั่งสมเจริญปัญญาในแต่ละขั้น หรือถ้าเป็นสังขารธรรมฝ่ายเดียวกับอวิชชา ก็จะปรุงแต่งให้ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสติ คือ อวิชชา เกิด แล้วพาลงสู่กระแสของอกุศลธรรม ทำให้หลงลืม คือ กั้นไม่ให้เกิด ให้ติดด้วยโลภะและให้เห็นผิดด้วยทิฏฐิ ในทุกขณะที่มีความเป็น เรา ก็เป็นเรา เป็นตัวตนด้วยอกุศลธรรม
ตัวอักษรไม่ใช่ความจริง แต่ความจริงไม่ต้องอาศัยตัวอักษร
ถ้าไม่อาศัยบัญญัติ แล้วจะถ่ายทอดปรมัตถ์อย่างไร ช่วยบอกที ไรท์แจกแล้วไง ตามแต่อัธยาศัย แต่ไม่อนุโมทนา