พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ปฐมภาณวาร สัจนิทเทส และ อรรถกถาทุกขสัจเป็นต้น

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 พ.ย. 2564
หมายเลข  40890
อ่าน  479

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 250

ปฐมภาณวาร

สัจนิทเทส

อรรถกถา ทุกขสัจเป็นต้น


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 250

สัจนิทเทส

[๑๐] ทุกข์ควรรู้ยิ่ง ทุกขสมุทัย....ทุกขนิโรธ... ทุกขนิโรธคามีนีปฏิปทา... รูป... รูปสมุทัย... รูปนิโรธ... รูปนิโรธคามินีปฏิปทา... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... จักขุ ฯลฯ ชรามรณะ... ชรามรณสมุทัย... ชรามรณนิโรธ... ชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา (ทุกอย่าง) ควรรู้ยิ่ง.

[๑๑] สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งทุกข์ ภาพที่ควรละแห่งทุกขสมุทัย สภาพที่ควรทำให้แจ้งแห่งทุกขนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งรูป สภาพที่ควรละแห่งรูปสมุทัย สภาพที่ควรทำให้แจ้งแห่งรูปนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งรูปนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ แห่งจักขุ ฯลฯ สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งชรามรณะ สภาพที่ควรละแห่งชรามรณสมุทัย สภาพที่ควรทำให้แจ้งแห่งชรามรณนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๒] สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ทุกข์ สภาพที่แทงตลอดด้วยการละทุกขสมุทัย สภาพที่แทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งทุกขนิโรธ สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้รูป สภาพที่แทงตลอดด้วยการละรูปสมุทัย

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 251

สภาพที่แทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งรูปนิโรธ สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญรูปนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ จักขุ ฯลฯ สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ชรามรณะ สภาพที่แทงตลอดด้วยการละชรามรณสมุทัย สภาพที่แทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งชรามรณนิโรธ สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๓] ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ความดับเหตุให้เกิดทุกข์ ความดับฉันทราคะในทุกข์ ความยินดีในทุกข์ โทษแห่งทุกข์ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ รูป เหตุให้เกิดรูป ความดับเหตุให้เกิดรูป ความยินดีในรูป โทษแห่งรูป อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป แห่งเวทนา ฯลฯ แห่งสัญญา ฯลฯ แห่งสังขาร ฯลฯ แห่งวิญญาณ ฯลฯ แห่งจักขุ ฯลฯ ชราและมรณะ เหตุให้เกิดชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ ความดับเหตุให้เกิดชราและมรณะ ความดับฉันทราคะในชราและมรณะ คุณแห่งชราและมรณะ โทษแห่งชราและมรณะ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งชราและมรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๔] ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโร ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความยินดีในทุกข์ โทษแห่งทุกข์ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ รูป เหตุให้เกิดรูป ความดับรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับรูป ความยินดี

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 252

ในรูป โทษแห่งรูป อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ จักขุ ฯลฯ ชรา และมรณะ เหตุให้เกิดชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ ปฏิปทาอันให้ถึงความดับชราและมรณะ ความยินดีในชราและมรณะ โทษแห่งชราและมรณะ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งชราและมรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๕] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง การพิจารณาเห็นทุกข์ การพิจารณาเห็นอนัตตา การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่าย การพิจารณาเห็นด้วยความคลายกำหนัด การพิจารณาเห็นด้วยความดับ การพิจารณาเห็นด้วยความสละคืน การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป การพิจารณาเห็นความทุกข์ในรูป การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่ายในรูป การพิจารณาเห็นด้วยความคลายกำหนัดในรูป การพิจารณาเห็นด้วยความดับในรูป การพิจารณา เห็นด้วยความสละคืนในรูป การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ฯลฯ ในสังขาร ฯลฯ ในวิญญาณ ฯลฯ ในจักขุ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นทุกข์ในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นอนัตตาในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่ายในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความคลายกำหนัดในชราและมรณะ การพิจารณา

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 253

เห็นความดับในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความสละคืนในชราและมรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๖] ความเกิดขึ้น ความเป็นไป เครื่องหมาย ความประมวลมา (กรรมอันปรุงแต่งปฏิสนธิ) ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ อุปายาส ความไม่เกิดขึ้น ความไม่เป็นไป ความไม่มีเครื่องหมาย ความไม่มีประมวลมา ความไม่สืบต่อ ความไม่ไป ความไม่บังเกิด ความไม่อุบัติ ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่ป่วยไข้ ความไม่ตาย ความไม่เศร้าโศก ความไม่รำพัน, ความไม่คับแค้นใจ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๗] ความเกิดขึ้น ความไม่เกิดขึ้น ความเป็นไป ความไม่เป็นไป เครื่องหมาย ความไม่มีเครื่องหมาย ความประมวลมา ความไม่ประมวลมา ความสืบต่อ ความไม่สืบต่อ ความไป ความไม่ไป ความบังเกิด ความไม่บังเกิด ความอุบัติ ความไม่อุบัติ ความเกิด ความไม่เกิด ความแก่ ความไม่แก่ ความป่วยไข้ ความไม่ป่วยไข้ ความตาย ความไม่ตาย ความเศร้าโศก ความไม่เศร้าโศก ความรำพัน ความไม่รำพัน ความคับแค้นใจ ความไม่คับแค้นใจ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง.

[๑๘] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความเป็นไปเป็นทุกข์ เครื่องหมายเป็นทุกข์ ความประมวลมาเป็นทุกข์ ปฏิสนธิเป็นทุกข์ คติเป็นทุกข์ ความบังเกิดเป็นทุกข์ อุบัติเป็นทุกข์ ชาติเป็นทุกข์

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 254

พยาธิเป็นทุกข์ มรณะเป็นทุกข์ โสกะเป็นทุกข์ ปริเทวะเป็นทุกข์ อุปายาสเป็นทุกข์.

[๑๙] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นเป็นสุข ความไม่เป็นไปเป็นสุข ความไม่มีเครื่องหมายเป็นสุข ความไม่ประมวลมาเป็นสุข ความไม่สืบต่อเป็นสุข ความไม่ไปเป็นสุข ความไม่บังเกิดเป็นสุข ความไม่อุบัติเป็นสุข ความไม่เกิดเป็นสุข ความไม่แก่เป็นสุข ความไม่ป่วยไข้เป็นสุข ความไม่ตายเป็นสุข ความไม่เศร้าโศกเป็นสุข ความไม่รำพันเป็นสุข ความไม่คับแค้นใจเป็นสุข.

[๒๐] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความไม่เกิดขึ้นเป็นสุข ความเป็นไปเป็นทุกข์ ความไม่เป็นไปเป็นสุข เครื่องหมายเป็นทุกข์ ความไม่มีเครื่องหมายเป็นสุข ความประมวลมาเป็นทุกข์ ความไม่ประมวลมาเป็นสุข ความสืบต่อเป็นทุกข์ ความไม่สืบต่อเป็นสุข ความไปเป็นทุกข์ ความไม่ไปเป็นสุข ความบังเกิดเป็นทุกข์ ความ ไม่บังเกิดเป็นสุข ความอุบัติเป็นทุกข์ ความไม่อุบัติเป็นสุข ความเกิดเป็นทุกข์ ความไม่เกิดเป็นสุข ความแก่เป็นทุกข์ ความไม่แก่เป็นสุข ความป่วยไข้เป็นทุกข์ ความไม่ป่วยไข้เป็นสุข ความตายเป็นทุกข์ ความไม่ตายเป็นสุข ความเศร้าโศกเป็นทุกข์ ความไม่เศร้าโศกเป็นสุข ความรำพันเป็นทุกข์ ความไม่รำพันเป็นสุข ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความไม่คับแค้นใจเป็นสุข.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 255

[๒๑] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความเป็นไปเป็นภัย เครื่องหมายเป็นภัย ความประมวลมาเป็นภัย ความสืบต่อเป็นภัย ความไปเป็นภัย ความบังเกิดเป็นภัย ความอุบัติเป็นภัย ความเกิดเป็นภัย ความแก่เป็นภัย ความป่วยไข้เป็นภัย ความตายเป็นภัย ความเศร้าโศกเป็นภัย ความรำพันเป็นภัย ความคับแค้นใจเป็นภัย.

[๒๒] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นปลอดภัย ความไม่เป็นไปปลอดภัย ความไม่มีเครื่องหมายปลอดภัย ความไม่ประมวลมาปลอดภัย ความไม่สืบต่อปลอดภัย ความไม่ไปปลอดภัย ความไม่บังเกิดปลอดภัย ความไม่อุบัติปลอดภัย ความไม่เกิดปลอดภัย ความไม่แก่ปลอดภัย ความไม่ป่วยไข้ปลอดภัย ความไม่ตายปลอดภัย ความไม่เศร้าโศกปลอดภัย ความไม่รำพันปลอดภัย ความไม่คับแค้นใจปลอดภัย.

[๒๓] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความไม่เกิดขึ้นปลอดภัย ความเป็นไปเป็นภัย ความไม่เป็นไปปลอดภัย เครื่องหมายเป็นภัย ความไม่มีเครื่องหมายปลอดภัย ความประมวลมาเป็นภัย ความไม่ประมวลมาปลอดภัย ความสืบต่อเป็นภัย ความไม่สืบต่อปลอดภัย ความไปเป็นภัย ความไม่ไปปลอดภัย ความบังเกิดเป็นภัย ความไม่บังเกิดปลอดภัย ความอุบัติเป็นภัย ความไม่อุบัติปลอดภัย ความเกิดเป็นภัย ความไม่เกิดปลอดภัย ความป่วยไข้เป็นภัย ความไม่ป่วยไข้ปลอดภัย ความตายเป็นภัย. ความไม่ตายปลอดภัย ความเศร้าโศก

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 256

เป็นภัย ความไม่เศร้าโศกปลอดภัย ความรำพันเป็นภัย ความไม่รำพันปลอดภัย ความคับแค้นใจเป็นภัย ความไม่คับแค้นใจปลอดภัย.

[๒๔] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นมีอามิส (เครื่องล่อ) ความ เป็นไปมีอามิส ความสืบต่อมีอามิส ความประมวลมามีอามิส ความบังเกิดมีอามิส ความอุบัติมีอามิส ความเกิดมีอามิส ความป่วยไข้มีอามิส ความตายมีอามิส ความเศร้าโศกมีอามิส ความรำพันมีอามิส ความคับแค้นใจมีอามิส.

[๒๕] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นไม่มีอามิส (หมดเครื่องล่อ) ความไม่เป็นไปไม่มีอามิส ความไม่มีเครื่องหมายไม่มีอามิส ความไม่ประมวลมาไม่มีอามิส ความไม่สืบต่อไม่มีอามิส ความไม่ไปไม่มีอามิส ความไม่บังเกิดไม่มีอามิส ความไม่มีอุบัติไม่มีอามิส ความไม่เกิดไม่มีอามิส ความไม่แก่ไม่มีอามิส ความไม่ป่วยไข้ไม่มีอามิส ความไม่ตายไม่มีอามิส ความไม่เศร้าโศกไม่มีอามิส ความไม่รำพันไม่มีอามิส ความไม่คับแค้นใจไม่มีอามิส.

[๒๖] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นมีอามิส ความไม่เกิดขึ้นไม่มีอามิส ความเป็นไปมีอามิส ความไม่เป็นไปไม่มีอามิส เครื่องหมายมีอามิส ความไม่มีเครื่องหมายไม่มีอามิส ความประมวลมามีอามิส ความไม่ประมวลมาไม่มีอามิส ความสืบต่อมีอามิส ความไม่สืบต่อไม่มีอามิส ความไปมีอามิส ความไม่ไปไม่มีอามิส ความบังเกิดมีอามิส ความไม่บังเกิดไม่มีอามิส ความอุบัติไม่มีอามิส ความไม่อุบัติไม่มีอามิส

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 257

ความเกิดมีอามิส ความไม่เกิดไม่มีอามิส ความแก่มีอามิส ความไม่แก่ไม่มีอามิส ความป่วยไข้มีอามิส ความไม่ป่วยไข้ไม่มีอามิส ความตายมีอามิส ความไม่ตายไม่มีอามิส ความเศร้าโศกมีอามิส ความไม่เศร้าโศกไม่มีอามิส ความรำพันมีอามิส ความไม่รำพันไม่มีอามิส ความคับแค้นใจมีอามิส ความไม่คับแค้นใจไม่มีอามิส.

[๒๗] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ความเป็นไปเป็นสังขาร เครื่องหมายเป็นสังขาร ความประมวลมาเป็นสังขาร ความอุบัติเป็นสังขาร ความไปเป็นสังขาร ความบังเกิดเป็นสังขาร ความอุบัติเป็นสังขาร ความเกิดเป็นสังขาร ความแก่เป็นสังขาร ความป่วยไข้เป็นสังขาร ความตายเป็นสังขาร ความเศร้าโศกเป็นสังขาร ความรำพันเป็นสังขาร ความคับแค้นใจเป็นสังขาร.

[๒๘] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นเป็นนิพพาน ความไม่เป็นไปเป็นนิพพาน ความไม่มีเครื่องหมายเป็นนิพพาน ความไม่ประมวลมาเป็นนิพพาน ความไม่สืบต่อเป็นนิพพาน ความไม่ไปเป็นนิพพาน ความไม่บังเกิดเป็นนิพพาน ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความไม่เกิดเป็นนิพพาน. ความไม่แก่เป็นนิพพาน ความไม่ป่วยไข้เป็น นิพพาน ความไม่ตายเป็นนิพพาน ความไม่เศร้าโศกเป็นนิพพาน ความไม่รำพันเป็นนิพพาน ความไม่คับแค้นใจเป็นนิพพาน.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 258

[๒๙] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ความไม่เกิดขึ้นเป็นนิพพาน ความเป็นไปเป็นสังขาร ความไม่เป็นไปเป็นนิพพาน เครื่องหมายเป็นสังขาร ความไม่มีเครื่องหมายเป็นนิพพาน ความประมวลมาเป็นสังขาร ความไม่ประมวลมาเป็นนิพพาน ความสืบต่อเป็นสังขาร ความไม่สืบต่อเป็นนิพพาน ความไปเป็นสังขาร ความไม่ไปเป็นนิพพาน ความบังเกิดเป็นสังขาร ความไม่บังเกิดเป็นนิพพาน ความอุบัติเป็นสังขาร ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความเกิดเป็นสังขาร ความไม่เกิดเป็นนิพพาน ความแก่เป็นสังขาร ความไม่แก่เป็นนิพพาน ความป่วยไข้เป็นสังขาร ความไม่ป่วยไข้เป็นนิพพาน ความตายเป็นสังขาร ความไม่ตายเป็นนิพพาน ความเศร้าโศกเป็นสังขาร ความไม่เศร้าโศกเป็นนิพพาน ความรำพันเป็นสังขาร ความไม่รำพันเป็นนิพพาน ความคับแค้นใจเป็นสังขาร ความไม่คับแค้นใจเป็นนิพพาน.

จบ ปฐมภาณวาร

อรรถกถาทุกขสัจเป็นต้น

๑๐] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อ มีทุกข์ เป็นต้นโดยประกอบเข้ากับอริยสัจ ๔. พระสารีบุตรกล่าวประมวล การวิสัชนา ๒๔ อย่าง ด้วยจตุกกะ ๖ ไว้ในบทมีอาทิว่า ทุกฺขํ อภิญฺเยฺยํ ทุกข์ควรรู้ยิ่ง ด้วยการวิสัชนา ๑๙๕ มีอาทิว่า จกฺขุํ อภิญฺเยฺยํ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 259

โสตํ อภิญฺเยฺยํ จักขุ... โสตะ ควรรู้ยิ่ง ในไปยาล (ละคำ) ว่า จกฺขุํ ฯเปฯ ชรามรณํ - จักขุ ฯลฯ ชรามรณะ เป็นอันได้ ๑๙๕ จตุกกะ ด้วยอำนาจของจสุกกะเหล่านั้น จึงเป็นการวิสัชนา ๗๘๐, ในจตุกกะมีอาทิว่า ชรามรณํ อภิญฺเยฺยํ - ชรามรณะควรรู้ยิ่งทั้งหมด จึงเป็นการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อ โดยประการฉะนี้ว่า จตฺตาริ วิสชฺชนานิ การวิสัชนา ๔ ข้อ.

อนึ่ง ในการวิสัชนานี้ พึงทราบว่า ปัจจัยอันเป็นประธานของธรรมนั้นๆ เป็นสมุทัย, นิพพานว่างจากสังขารทั้งปวงเป็นนิโรธ. ในอธิการนี้ บทมีอาทิว่า อนญฺาตญฺสฺสามีตินฺทฺริยนิโรโธ การดับอินทรีย์ คืออัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผลของผู้ปฏิบัติ หมายถึงความไม่มีอินทรีย์อันเป็นโลกุตระ ๓ ประการ มี อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ เป็นต้น ถูกต้อง. บทว่า นิโรธคามินีปฏิปทา ในทุกแห่งเป็นอริยมรรคทั้งนั้น. แม้เมื่อท่านกล่าวถึงผลอย่างนี้ไว้ แม้อัญญินทรีย์ (อินทรีย์ คือการตรัสรู้สัจธรรมด้วยมรรค) อัญญาตาวินทรีย์ (อินทรีย์ของพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้สัจธรรมแล้ว) ย่อมถูกต้อง เพราะมีชื่อเรียกว่า มรรค. พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อ ด้วยสภาพที่ควรกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้นต่อไป. ท่านได้ชี้แจงการวิสัชนา ๘๐๘ ข้อ ด้วยสภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้นอีก. การกำหนดรู้และการแทงตลอดด้วยสภาพที่ควรแทงตลอด ชื่อว่า ปริญญาปฏิเวธะ.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 260

อรรถคือปริญญาปฏิเวธะนั้นแล ชื่อว่า ปริญฺาปฏิเวธฏฺโ - สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้.

๑๑ - ๑๔] พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑,๖๑๖ ข้อ มีทุกข์เป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุด ต่อไปด้วย ๒๐๒ อัฏฐกะ ประกอบ ด้วยบทอย่างละ ๗ บท มีสมุทัยเป็นต้น.

ในอธิการนั้น ปัจจัยอันเป็นประธาน คือ สมุทัย, การดับสมุทัยนั้น คือ สมุทยนิโรธ. ความกำหนัดคือความพอใจ คือ ฉันทราคะ, ความกำหนัดคือความพอใจทุกข์ ด้วยสำคัญในทุกข์ว่า เป็นสุข, ความดับฉันทราคะนั้น คือ ฉันทราคนิโรธ. สุขโสมนัส เกิดขึ้นเพราะอาศัยทุกข์ คือความยินดีในทุกข์. ความไม่เที่ยงแห่งทุกข์ ความแปรปรวนเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ คือโทษแห่งทุกข์. การนำออกซึ่งฉันทราคะ การละฉันทราคะในทุกข์ คืออุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์. นิพพานนั่นแล คืออุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ เพราะบาลี ว่า ยํ โข ปน กิญฺจิ ภูตํ สงฺขตํ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ นิโรโธ ตสฺส นิสฺสรณํ - นิโรธเป็นเครื่องสลัดออกแห่งสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น. พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึง นิพพานในฐานะ ๔ อย่าง ด้วยคำอันมีปริยายต่างๆ โดยตรงกันข้ามกับสังขตธรรมต่างๆ ว่า การดับทุกข์. การดับสมุทัย. การดับฉันทราคะ, อุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ ๑. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะ

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 261

อาหารเป็นต้นเหตุ ทุกข์จึงเกิด เพราะดับอาหารทุกข์จึงดับ การดับสมุทัยด้วยอำนาจความเป็นไปกับด้วยกิจ - กิจรส. อีกอย่างหนึ่ง การดับสมุทัยด้วยการเห็นความเกิดและความดับ มรรคพร้อมด้วยวิปัสสนา เป็นการดับฉันทราคะ. เมื่อท่านกล่าวไว้อย่างนี้พึงถือเอานัยที่กล่าวไว้ตอนแรกว่า ยังไม่เป็นสรรพสาธารณะเพราะอินทรีย์อันเป็นโลกุตระยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา. นัยที่ท่านกล่าวว่า การดับฉันทราคะเพราะไม่มีฉันทราคะในอินทรีย์อันเป็นโลกุตระนั่นแลจึงถูกต้อง. เป็นอันกระทำ ฉันทราคะแม้ในผมเป็นต้น อันเป็นส่วนหนึ่งของสรีระ ด้วยความกำหนัดคือความพอใจในสรีระนั่นแล. เป็นอันกระทำฉันทราคะแม้ในชราและมรณะ ด้วยความกำหนัดคือความพอใจ ในการมีชราและมรณะโดยแท้ พึงประกอบแม้ความพอใจและโทษไว้อย่างนี้ด้วย. พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑,๔๑๔ นัย มี ๒๐๒ บท มีทุกข์เป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุดต่อไป ด้วย ๒๐๒ สัตตกะประกอบด้วยบทอย่าง ละ ๖ มีสมุทัยเป็นต้น.

๑๕] บัดนี้ เพื่อแสดงประกอบบท ๒๐๑ บท มีรูปเป็นต้น ชรามรณะเป็นที่สุดด้วยอนุปัสนา ๗ พระสารีบุตรจึงชี้แจงอนุปัสนา ๗ มีอนิจจานุปัสนาเป็นต้นก่อน. ทั้งหมดเหล่านั้นเป็นการวิสัชนา ๑,๔๑๔ นัย พร้อมด้วยการวิสัชนาอนุปัสนาล้วน ๗ ประการ. การพิจารนาเห็นว่าไม่เที่ยง คือ อนิจจานุปัสนา.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 262

อนิจจานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อ นิจสัญญา ความสำคัญว่าเที่ยง. การพิจารณาเห็นว่า เป็นทุกข์ คือ ทุกขานุปัสนา. ทุกขานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อสุขสัญญา - ความสำคัญว่าเป็นสุข. การพิจารณาเห็นว่า เป็นอนัตตา คือ อนัตตานุปัสนา. อนัตตานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อ อัตสัญญา - ความสำคัญว่าเป็นอัตตา. พระโยคาวจรย่อมเบื่อหน่าย เพราะอนุปัสนา ๓ บริบูรณ์ ฉะนั้น จึงชื่อว่า นิพพิทา, นิพพิทานั้นด้วยอนุปัสนาด้วย ชื่อว่า นิพพิทานุปัสนา. นิพพิทานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อความเพลิดเพลิน. พระโยคาวจรย่อมคลายกำหนัด เพราะอนุปัสนา ๔ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า วิราโค, วิราคะนั้นด้วย อนุปัสนาด้วย ชื่อว่า วิราคานุปัสนา. วิราคานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อราคะ. พระโยคาวจรย่อมดับราคะเสียได้ เพราะอนุปัสนา ๕ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า นิโรโธ. นิโรธนั้นด้วย อนุปัสนาด้วย ชื่อว่า นิโรธานุปัสนา. นิโรธานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อสมุทัย. พระโยคาวจรย่อมสละคืนเสียได้ เพราะอนุปัสนา ๖ บริบูรณ์ จึงชื่อว่า ปฏินิสฺสคฺโค. ปฏินิสสัคคะนั้นด้วย อนุปัสนาด้วย ชื่อว่า ปฏินิสสัคคานุปัสนา. ปฏินิสสัคคานุปัสนานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการยึดมั่น. เมื่ออินทรีย์อันเป็นโลกุตระเข้าถึงวิปัสนายังไม่มี พึงทราบว่า ท่านประกอบอนุปัสนา ๗ ไว้ด้วยธรรมะแม้เหล่านั้น โดยพิจารณาเห็นว่า ชื่อว่า มีนิโรธ เพราะไม่มีความเพลิดเพลินและความกำหนัดในสิ่งที่สำคัญว่า เที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน เพราะสิ่ง

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 263

เหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดังบาลีว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์. ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา และเพราะมีการสละด้วยการบริจาค การสละด้วยการแล่นไป. เมื่อผู้มีชรามรณะที่ตนเห็นแล้ว โดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นอันชื่อว่า เห็นแม้ชรามรณะโดยเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น, เมื่อ เบื่อหน่าย คลายกำหนัดในชรามรณะที่มีอยู่ เป็นอันเบื่อหน่ายและคลายกำหนัดในชรามรณะ, เมื่อมีชรามรณะที่เห็นแล้วโดยนิโรธ เป็นอันชื่อว่า เห็นแม้ชรามรณะโดยนิโรธ เมื่อสละในชรามรณะที่มีอยู่ ย่อมเป็นอันสละชรามรณะโดยแท้ พึงทราบว่า ท่านประกอบอนุปัสนา ๗ ด้วยชรามรณะ ด้วยประการฉะนี้.

๑๖ - ๒๙] บัดนี้ พระสารีบุตรได้ชี้แจงถึงการวิสัชนา ๑๕ ข้อ อันเป็นไวพจน์ของธรรมเหล่านั้น มี อุปฺปโท - ความเกิดขึ้นเป็นต้น และด้วยอารมณ์ ๕ มี อุปฺปาโท เป็นต้น อันเป็นวัตถุแห่ง อาทีนวญาณ - ความรู้ว่าเป็นโทษ, ชี้แจงการวิสัชนา ๑๕ ข้อ มี อนุปฺปาโท เป็นต้น ด้วยอารมณ์อันเป็นปฏิปักษ์แห่งธรรมนั้น แห่ง สนฺติปทญาณ - ความรู้ทางแห่งสันติ, ชี้แจงการวิสัชนา ๓๐ ประกอบบท มีอุปปาทะและอนุปปาทะเป็นต้นเหล่านั้นต่อไปด้วยเป็นคู่กัน ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นการวิสัชนา ๖๐ ในนัยนี้นั่นแล.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 264

ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปาโท - การเกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดในภพนี้ เพราะกรรมก่อนเป็นปัจจัย.

บทว่า ปวตฺตํ - ความเป็นไป ได้แก่ ความเป็นไปแห่งการเกิดอย่างนั้น.

บทว่า นิมิตฺตํ - เครื่องหมาย ได้แก่ เครื่องหมายสังขารทั้งหมด. เพราะสังขารของพระโยคาวจรย่อมปรากฏดุจมีทรวดทรง ฉะนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า นิมิตฺตํ.

บทว่า อายูหนา - ความประมวลมา ได้แก่ กรรมอันเป็นเหตุแห่งปฏิสนธิต่อไป เพราะว่ากรรมนั้นท่านเรียกว่า อายูหนา เพราะอรรถว่าปรุงแต่งปฏิสนธิ.

บทว่า ปฎิสนฺธิ ได้แก่ เกิดต่อไป. การเกิดนั้นท่านเรียกว่า ปฏิสนธิ เพราะสืบต่อกันในระหว่างภพ

บทว่า คติ - การไป ได้แก่ ปฏิสนธิ ที่ท่านเรียกว่า คติ เพราะสัตว์ต้องไป.

บทว่า นิพฺพตฺติ- ความบังเกิด ได้แก่ ความเกิดแห่งขันธ์ทั้งหลาย.

บทว่า อุปฺปตฺติ - อุบัติ ได้แก่ ความเป็นไปแห่งวิบากที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า สมาปนฺนสฺส วา อุปปนฺนสฺส วา-ธรรมคือจิตและเจตสิกของผู้เข้าถึงแล้วหรือผู้อุบัติแล้ว.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 265

บทว่า ชาติ - การเกิด ได้แก่ ความปรากฏครั้งแรกแห่งขันธ์ องสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในภพนั้นๆ.

บทว่า ชรา - ความเสื่อมโทรม อธิบายว่า ชรานั้นมี ๒ อย่าง คือ สังขตลักษณะอันได้แก่ลักษณะที่ตั้งอยู่และเป็นอย่างอื่น ๑ ภพเก่าแห่งขันธ์อันเนื่องในภพหนึ่งในสันตติ เป็นที่รู้กันว่ามีฟันหักเป็นต้น ๑. ในที่นี้ท่านประสงค์เอาชรานั้น.

บทว่า พฺยาธิ - ความเจ็บป่วย ได้แก่ อาพาธ ๘ อย่าง อันตั้งขึ้นเพราะธาตุกำเริบเป็นปัจจัย คือ น้ำดีเสมหะลมไข้สันนิบาต การเปลี่ยนฤดูการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอเพียรเกินไปวิบากของกรรม ๑. ชื่อว่า พฺยาธิ เพราะทุกข์ หลายอย่าง แผดเผา กลุ้มรุม หรือเพราะทุกข์เบียดเบียนให้เดือดร้อนหวั่นไหว.

บทว่า มรณํ คือพยาธิเป็นเหตุให้ตาย มรณะนั้น มี ๒ อย่าง คือ สังขตลักษณะอันมีความเสื่อมเป็นลักษณะ ๑ การตัดขาดการเกี่ยวเนื่องกันแห่งชีวิตินทรีย์อันนับเนื่องในภพหนึ่ง ๑. ในที่นี้ท่านประสงค์เอามรณะนั้น.

บทว่า โสโก คือ ความเหี่ยวแห้งใจ ได้แก่ ความเดือดร้อนใจของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติ สมบัติ โรค ศีล และทิฏฐิกระทบ.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 266

บทว่า ปริเทโว คือ ร้องไห้คร่ำครวญ ได้แก่ การพร่ำเพ้อของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้น กระทบ.

บทว่า อุปายาโส - แค้นใจมาก. ได้แก่ โทสะอันเกิดจากทุกข์ใจหนักของผู้ที่ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้น กระทบ.

ในนิทเทสนี้ท่านกล่าวอภิญไญยธรรม ๕ มี อุปฺปาโท เป็นต้น ด้วยสามารถเป็นวัตถุแห่งอาทีนวญาณ, ที่เหลือท่านกล่าวด้วยสามารถเป็นไวพจน์ของอภิญไญยธรรมเหล่านั้น, บทว่า นิพฺพตฺติ เป็นไวพจน์ของ อุปฺปาโท. บทว่า ชาติ เป็นไวพจน์ของ ปฏิสนธิ, สองบทว่า คติ อุปปตฺติ เป็นไวพจน์ของ ปวตฺตํ, ชรา เป็นต้นเป็นไวพจน์ของ นิมิตฺตํ. ท่านกล่าวนิพพานเท่านั้นด้วยคำ มี อนุปฺปาโท - ความไม่เกิดขึ้นเป็นต้น.

พระสารีบุตรชี้แจงบท ๖๐ มี อุปปาทะ และ อนุปปาทะ เป็นต้น การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยทุกข์และสุข, การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยภัยและความปลอดภัย, การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทว่าด้วยสามิส (มีเครื่องล่อ) และนิรามิส (ไม่มีเครื่องล่อ) , การวิสัชนา ๖๐ ประกอบด้วยบทแห่งสังขารและนิพพาน.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกขํ - เป็นทุกข์ อธิบายว่า ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็นของไม่เที่ยง. ชื่อว่า สุขเพราะตรงกันข้ามกับทุกข์. สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นภัย. ชื่อว่า เขมะ - ความปลอดภัย เพราะตรงกันข้ามกับภัย. สิ่งใดเป็นภัยสิ่งนั้นชื่อว่าเป็น สามิส (มีเครื่องล่อ)

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 267

เพราะไม่พ้นไปจากวัฏฏามิสและโลกามิส ชื่อว่า นิรามิส (ไม่มีเครื่องล่อ) เพราะตรงกันข้ามกับ สามิส. สิ่งใดเป็นสามิส สิ่งนั้นเป็นเพียงสังขารเท่านั้น. ชื่อว่า นิพพาน เพราะสงบจากสิ่งตรงกันข้ามกับสังขาร. เพราะสังขารเป็นของร้อน นิพพานเป็นของสงบ. พึงทราบว่าท่านกล่าวไว้อย่างนั้นหมายถึงความเป็นไปโดยอาการนั้นๆ อย่าง นี้ว่า โดยอาการที่เป็นทุกข์ โดยอาการที่เป็นภัย โดยอาการที่เป็นสามิส โดยอาการที่เป็นสังขาร ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาปฐมภาณวาร