ตติยภาณวาร และ อรรถกถาปริญเญยยนิทเทส
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 319
ตติยภาณวาร
อรรถกถาปริญเญยยนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 319
ตติยภาณวาร
[๕๖] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ เป็นสุตมยญาณอย่างไร.
ธรรมอย่างหนึ่งควรกำหนดรู้ คือ ผัสสะอันมีอาสวะเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ธรรม ๒ ควรกำหนดรู้ คือ นาม ๑ รูป ๑, ธรรม ๓ ควรกำหนดรู้ คือ เวทนา ๓, ธรรม ๔ ควรกำหนดรู้ คืออาหาร ๔, ธรรม ๕ ควรกำหนดรู้ คือ อุปาทานขันธ์ ๕, ธรรม ๖ ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะภายใน ๖, ธรรม ๗ ควรกำหนดรู้ คือ วิญญาณฐิติ ๗, ธรรม ๘ ควรกำหนดรู้ คือ โลกธรรม ๘, ธรรม ๙ ควรกำหนดรู้ คือ สัตตาวาส ๙, ธรรม ๑๐ ควรกำหนดรู้ คือ อายตนะ ๑๐.
[๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่ควรกำหนดรู้คืออะไร คือ ตา รูป จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง.
หู เสียง ฯลฯ จมูก กลิ่น ฯลฯ ลิ้น รส ฯลฯ กาย โผฏฐัพพะ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 320
[๕๘] รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักขุ ฯลฯ ชราและมรณะ ฯลฯ นิพพานที่หยั่งลงในอมตะด้วยความว่าเป็นที่สุด ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง บุคคลผู้พยายามเพื่อจะได้ธรรมใดๆ เป็นอันได้ธรรมนั้นๆ แล้ว ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้วอย่างนี้.
[๕๙] บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้เนกขัมมะ เป็นอันได้เนกขัมมะแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้.
บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ความไม่พยาบาท เป็นอันได้ความไม่พยาบาทแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้อาโลกสัญญา เป็นอันได้อาโลกสัญญาแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ความไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอันได้ความไม่ฟุ้งซ่านแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้การกำหนดธรรม เป็นอันได้การกำหนดธรรมแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ญาณ เป็นอันได้ญาณแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ความปราโมทย์ เป็นอันได้ความปราโมทย์แล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 321
อรรถกถาปริญเญยยนิทเทส
๕๖] พึงทราบวินิจฉัยในปริญเญยยนิทเทสดังต่อไปนี้ ท่านสงเคราะห์ปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา ๑ ตีรณปริญญา ๑ ปหานปริญญา ๑ ด้วยปริญญาศัพท์ไว้ก็จริง แต่ในนิทเทสนี้ ท่านประสงค์เอา ตีรณปริญญา เท่านั้น เพราะท่านกล่าวถึง ญาตปริญญา ว่า อภิญฺเยฺยา ควรรู้ยิ่งไว้แล้วในตอนหลัง เพราะท่านกล่าวถึง ปหานปริญญา ว่า ปหาตพฺพา ควรละไว้ตอนต่อไป.
บทว่า ผสฺโส สาสโว อุปาทานโย ผัสสะอันมีอาสวะเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ได้แก่ ผัสสะอันเป็นไปในภูมิ ๓ เป็นปัจจัยแห่งอาสวะและอุปาทาน. จริงอยู่ ผัสสะนั้นชื่อว่า สาสวะ เพราะทำตนให้เป็นอารมณ์พร้อมกับอาสวะที่เป็นไปอยู่ ชื่อว่า อุปาทานิยะ เพราะเข้าถึงความเป็นอารมณ์ แล้วหน่วงอุปาทานไว้ด้วยการผูกพันไว้กับอุปาทาน. เพราะเมื่อผัสสะกำหนดรู้ได้ด้วยตีรณปริญญา อรูปธรรมแม้ที่เหลือย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยผัสสะเป็นประธาน และรูปธรรมย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยเป็นไปตามผัสสะนั้น, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวผัสสะอย่างเดียวเท่านั้น. แม้ในธรรมที่เหลือก็พึงประกอบตามควร.
บทว่า นามํ ได้แก่ นามขันธ์ ๔ และนิพพานอันไม่มีรูป.
บทว่า รูปํ ได้แก่ มหาภูตรูป ๘ และ อุปาทายรูป ๒๔ อาศัยมหาภูตรูป ๔. ขันธ์ ๔ ชื่อว่า นาม เพราะ อรรถว่าน้อมไป. จริงอยู่ ขันธ์เหล่านั้นมีอารมณ์เป็นตัวนำ ย่อมน้อมไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 322
นามแม้ทั้งหมดก็ชื่อว่า นาม ในอรรถว่าให้น้อมไป. จริงอยู่ ขันธ์ ๔. ยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์, นิพพานยังธรรมที่ไม่มีโทษให้น้อมไปในตน เพราะเป็นปัจจัยแห่งความเป็นใหญ่ในอารมณ์. ชื่อว่า รูปํ เพราะอรรถว่าเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเย็นเป็นต้น โดยอำนาจ สันตติ - ความสืบต่อ.
บทว่า รูปนฏฺเน ได้แก่ ความกำเริบ. ธรรมชาติที่ถูกความหนาวเป็นต้น กระทบด้วยการปรวนแปรของสันตติ ท่านกล่าวว่า รูปํ. แต่ในที่นี้ บทว่า นามํ ท่านประสงค์เอานามที่เป็นโลกิยะเท่านั้น, ส่วนรูปเป็นโลกิยะโดยส่วนเดียว.
บทว่า ติสฺโส เวทนา เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. เวทนาเหล่านั้นเป็นไปในโลกเท่านั้น.
บทว่า อาหารา ได้แก่ ปัจจัย. ปัจจัย ชื่อว่า อาหารา เพราะนำมาซึ่งผลแก่ตน. อาหาร ๔ อย่าง คือ กพฬีการาหาร (อาหาร คือ คำข้าว) ๑ ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะ) ๑ มโนสัญเจตนาหาร (อาหาร คือ มโนสัญเจตนา) ๑ วิญญาณาหาร (อาหาร คือ วิญญาณ) ๑. ชื่อว่า กฬฬีการะ เพราะควรทำให้เป็นคำด้วยวัตถุ. ชื่อว่า อาหาร เพราะควรกลืนกิน. บทนี้เป็นชื่อของโอชะอันเป็นวัตถุมีข้าวสุกและขนมทำด้วยถั่วเขียวเป็นต้น. โอชะนั้น ชื่อว่า อาหาร เพราะนำมาซึ่งรูปมีโอชะเป็นที่ ๘. ผัสสะ ๖ อย่าง มีจักขุสัมผัสเป็นต้น ชื่อว่า อาหารเพราะนำมาซึ่งเวทนา ๓. ชื่อว่า มโนสัญเจตนา เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 323
มีความตั้งใจของใจ มิใช่ของสัตว์ เหมือนความที่จิตมีอารมณ์เดียว. อีกอย่างหนึ่ง สัญเจตนาสัมปยุตด้วยใจ ชื่อว่า มโนสัญเจตนา เหมือนรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย. ได้แก่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาเป็นไปในภูมิ ๓. มโนสัญเจตนานั้น ชื่อว่า อาหาร เพราะนำมาซึ่งภพ ๓.
บทว่า วิญฺาณํ ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ อย่าง. ปฏิสนธิวิญญาณนั้นชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งนามรูปอันเป็นปฏิสนธิ.
บทว่า อุปทานกฺขนฺธา ได้แก่ ขันธ์อันเป็นโคจรของอุปาทาน พึงเห็นลบบทท่ามกลาง - มชฺฌปทโลโป. อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่เกิดเพราะอุปาทาน ชื่อ อุปาทานขึ้น เหมือนไฟไหม้หญ้า ไฟไหม้แกลบ. อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่เชื่อฟังอุปาทาน ชื่อ อุปาทานขันธ์ เหมือนราชบุรุษ. อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่มีอุปาทานเป็นแดนเกิด ชื่อว่า อุปาทานขันธ์ เหมือนต้นไม้มีดอก ต้นไม้มีผล อุปาทานมี ๔ อย่าง คือ กามุปาทาน - คือมั่นกาม ๑ ทิฏฐุปาทาน - คือมั่นทิฏฐิ ๑ สีลัพพตุปาทาน - คือมั่นศีลพรต ๑ อัตตวาทุปาทาน - คือมั่นวาทะว่าตน ๑. แต่โดยอรรถ ชื่อว่า อุปาทาน เพราะยึดถือจัด. อุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ ๑ เวทนูปาทานขันธ์ ๑ สัญญูปาทานขันธ์ ๑ สังขารูปาทานขันธ์ ๒ วิญญาณูปาทานขันธ์ ๑.
บทว่า ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ จักขายตนะ ๑ โสตายตนะ ๑ ฆานายตนะ ๑ ชิวหายตนะ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 324
กายายตนะ ๑ มนายตนะ ๑.
บทว่า สตฺต วิญฺาณฏฺิติโย ได้แก่ วิญญาณฐิติ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ๗.
วิญญาณฐิติ มีอะไรบ้าง? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นมนุษย์ทั้งหลาย เทพบางพวก วินิปาติกะ เปรตบางหมู่ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพผู้อยู่ในพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภัสสรา นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหา นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดับปฏิฆสัญญา ไม่มนสิการถึงสัญญาต่างกัน เป็นผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุด นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 325
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า อนนฺตํ วิญฺาณํ วิญญาณไม่มีที่สุด นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า นตฺถิ กิญฺจิ ไม่มีอะไรๆ. นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ ๗ เหล่านี้แล. (๑)
บทว่า วิญฺาณฏฺิติโย - ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ได้แก่ ขันธ์พร้อมกับวิญญาณอันเป็นฐานแห่งปฏิสนธิวิญญาณ
ในบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาตลงในอรรถว่า การชี้แจง.
บทว่า มนุสฺสา คือ มนุษย์ แม้สองคนจะเป็นเช่นคนเดียวกัน ก็ไม่มีด้วยวรรณะและสัณฐานเป็นต้นของมนุษย์ ไม่มีประมาณ ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้. แม้มนุษย์จะเหมือนกันด้วยวรรณะหรือสัณฐาน ก็ไม่เหมือนกันด้วยการแลและการเหลียวเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตกายา - มีกายต่างกัน.
ปฏิสนธิสัญญาของมนุษย์เหล่านั้น เป็นติเหตุกะบ้าง ทวิเหตุกะบ้าง อเหตุกะบ้าง, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตสญฺิโน - มีสัญญาต่างกัน.
บทว่า เอกจฺเจ จ เทวา - เทพบางพวก ได้แก่ กามาวจรเทพ
๑. องฺ. สตฺตก. ๒๓/๔๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 326
๖ ชั้น. บรรดาเทพเหล่านั้น เทพบางพวกมีกายสีเขียว, บางพวกมีผิวพรรณสีเหลืองเป็นต้น, แต่สัญญาของเทพเหล่านั้นเป็นไปกับติเหตุกะบ้าง ทวิเหตุกะบ้าง, ไม่เป็นอเหตุกะ.
บทว่า เอกจฺเจ จ วินิปาติกา - วินิปาติกะบางพวก ได้แก่ เวมานิกเปรตเหล่าอื่นอาทิอย่างนี้ คือ ยักษิณี ชื่อ ปุนัพพสุมาตา ปิยังกรมาตา ผุสสมิตตา ธรรมคุตตา พ้นจากอบาย ๔. เปรตเหล่านั้นมีกายต่างกัน โดยมีผิวขาว ดำ เหลือง และสีนิลเป็นต้น และโดยมีลักษณะผอม อ้วน เตี้ย สูง. แม้สัญญาก็ต่างกันด้วยอำนาจติเหตุกะ ทวิเหตุกะและอเหตุกะเหมือนสัญญาของมนุษย์ทั้งหลาย. แต่เวมานิกเปรตเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ใหญ่เหมือนเทพทั้งหลาย. มีศักดิ์น้อย อาหารและเสื้อผ้าหาได้ยาก ถูกทุกข์บีบคั้นเหมือนมนุษย์ยากไร้.
วินิปาติกะบางพวก ในวันข้างแรมได้รับทุกข์ ในวันข้างขึ้นได้รับสุข, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วินิปาติกา เพราะตกไปจากการสะสมสุข.
อนึ่ง ในบทนี้ แม้การรู้ธรรมของวินิปาติกะที่เป็นติเหตุกะก็มีได้ ดุจการรู้ธรรมของยักษิณี ชื่อว่า ปิยังกรมาตาเป็นต้น.
บทว่า พฺรหฺมกายิกา - พวกเทพผู้อยู่ในจำพวกพรหม ได้แก่ พรหมปาริสัชชะ พรหมปุโรหิตะ และมหาพรหม.
บทว่า ปมาภินิพฺพตฺตา - ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน ได้แก่ พวกเทพทั้งหมดนั้นเกิดแล้วด้วยปฐมฌาน. ส่วนพรหมปาริสัชชะเกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 327
ด้วยฌานเล็กน้อย, พรหมปุโรหิตะเกิดด้วยฌานอย่างกลาง. อนึ่ง กายของพวกเทพเหล่านั้นแผ่ซ่านยิ่ง. มหาพรหมเกิดด้วยฌานอันประณีต, กายของมหาพรหมเหล่านั้นแผ่ซ่านยิ่งนัก. พรหมกายิกาเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เพราะกายต่างกัน เพราะสัญญาอย่างเดียวกันด้วยอำนาจปฐมฌาน.
สัตว์ที่เกิดในอบาย ๔ ก็เหมือนกัน. ในนรกบางพวกร่างกายคาวุตหนึ่ง, บางพวกกึ่งโยชน์, บางพวก ๓ คาวุต ส่วนเทวทัตมีร่างกายร้อยโยชน์. แม้ในเดียรัจฉาน บางพวกก็เล็ก, บางพวกก็ใหญ่. แม้ในเปตติวิสัย บางพวกก็ ๖๐ ศอก บางพวกก็ ๘๐ ศอก บางพวกผิวงาม บางพวกผิวทราม. เหมือนกาลกัญชิกาสูร. อนึ่ง บรรดาเปรต เหล่านี้ พวกทีฆปิฏฐิกาเปรตก็มีกายสูง ๖๐ โยชน์. สัญญาของเปรตทั้งหมดนั้นเป็นไปกับอเหตุกะมีอกุศลเป็นวิบาก. แม้สัตว์ในอบายทั้งหลายก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน.
บทว่า อาภสฺสรา - พวกเทพอาภัสสระ รัศมีจากร่างกายของอาภัสสรเทพเหล่านั้นรุ่งเรืองสว่างไสวดุจขาดแล้วๆ ตกลงมาเหมือนคบเพลิงมีด้าม จึงชื่อว่า อาภัสสรา. บรรดาเทพเหล่านั้นรัศมีเกิดขึ้น เพราะเจริญทุติยฌานและตติยฌานทั้งสองในปัญจกนัยนิดหน่อย จึงชื่อว่า ปริตตาภา. รัศมีเกิดขึ้นเพราะเจริญฌานปานกลาง จึงชื่อว่า อัปปมาณาภา. รัศมีเกิดขึ้นเพราะเจริญฌานประณีต จึงชื่อว่า อาภัส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 328
สรา. แต่ในที่นี้ท่านกำหนดเอาเทพทั้งหมดเหล่านั้นด้วยการกำหนดชั้นยอด. กายของเทพเหล่านั้นทั้งหมดแผ่ซ่านเป็นอันเดียวกัน, แต่สัญญาต่างกัน เพราะไม่มีวิตกมีแต่วิจาร และเพราะไม่มีทั้งวิตกและวิจาร.
บทว่า สุภกิณฺหา - พวกเทพสุภกิณหะ ได้แก่ พวกเทพผู้เปี่ยมกระจายไปด้วยความงาม. อธิบายว่า มีรัศมีเป็นก้อนเดียวกันด้วยสีรัศมีจากร่างกาย. รัศมีของพวกสุภกิณหเทพเหล่านั้นไม่ขาดเป็นตอนๆ เหมือนรัศมีของพวกอาภัสสรเทพ. พวกเทพปริตตสุภะ อัปปมาณสุภะ สุภกิณหะเกิดขึ้นด้วยอำนาจตติยฌานในจตุกกนัย จตุตถฌานในปัญจกนัย อันเป็นฌานนิดหน่อย ปานกลาง และประณีต. พวกเทพทั้งหมด เหล่านั้น พึงทราบว่า มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ด้วยสัญญาในจตุตถฌาน. เวหัปผละ ย่อมรวมเข้ากับ วิญญาณฐิติ ข้อที่ ๔. อสัญญสัตว์ - สัตว์ไม่มีสัญญา ไม่สงเคราะห์เข้าในวิญญาณฐิตินี้ เพราะไม่มีวิญญาณ, สงเคราะห์เข้าใน สัตตาวาส - ภพเป็นที่อยู่ของสัตว์.
สุทธาวาส - ภพเป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในฝ่ายแห่ง วิวัฏฏะ (นิพพาน) มิใช่ดำรงอยู่ตลอดทุกกาล. ภพเทพสุทธาวาสย่อมไม่เกิดในโลกที่ว่างจากพระพุทธเจ้าตลอดแสนกัปบ้าง, ตลอดอสงไขยกัปบ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 329
เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติในระหว่างหนึ่งหมื่นหกพันกัป ภพเทพสุทธาวาสจึงเกิด. พวกเทพเหล่านั้นเป็นเหมือนกองทัพของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกาศพระธรรมจักร, เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นวิญญาณฐิติ. ทั้งไม่รวมเข้ากับสัตตาวาส. พระมหาสีวเถระกล่าวโดยพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร สัตตาวาสที่เราไม่เคยอาศัยอยู่ นอกจากเทพสุทธาวาสโดยกาลยาวนานนี้หาได้ไม่ง่ายนักแล ดังนี้ (๑) แม้สุทธาวาสก็รวมเข้ากับวิญญาณฐิติที่ ๔ และสัตตาวาสที่ ๔, สูตรนั้นท่านเห็นตามด้วย เพราะเป็นสูตรที่ไม่ได้ห้ามไว้.
ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะวิญญาณละเอียดจะมีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ เหมือนสัญญาละเอียด, เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่กล่าวไว้ในวิญญาณฐิติ.
บทว่า อฏฺ โลกธมฺมา - โลกธรรม ๘ เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ เสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ เสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ เมื่อความเป็นไปของโลกมีอยู่ ธรรมของโลก จึงเรียกว่า โลกธรรม เพราะมีความเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา. ชื่อว่า สัตว์จะพ้นจากโลกธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่มี. จะมีก็แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น. ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้ย่อมหมุนไปตามโลก, และโลกก็ย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘. โลกธรรม ๘ คืออะไรบ้าง. โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑
๑. ม.มู. ๑๒/๑๘๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 330
เสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ เสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้ย่อมหมุนไปตามโลก. และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ เหล่านี้. (๑)
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุปริวตฺตนฺติ - ย่อมหมุนไปตาม ได้แก่ ติดตามไป คือไม่ละ. อธิบายว่า ไม่กลับไปจากโลก.
บทว่า ลาโภ - ลาภ คือลาภของบรรพชิต มีจีวรเป็นต้น, ของคฤหัสถ์ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น. เมื่อไม่ได้ลาภนั้น ชื่อว่า เสื่อมลาภ. เมื่อกล่าวว่า น ลาโภ อลาโภ ไม่ใช่ลาภ - ชื่อว่า ไม่มีลาภ ไม่ควรเข้าใจโดยความไม่มีประโยชน์.
บทว่า ยโส - ยศ ได้แก่ บริวารยศ. เมื่อไม่ได้ยศนั้น ชื่อว่า เสื่อมยศ.
บทว่า นินฺทา คือ พูดกล่าวโทษ. บทว่า ปสํสา คือ พูดกล่าวถึงคุณ.
บทว่า สุขํ ได้แก่ สุขทางกายและสุขทางใจของกามาวจร.
บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจของปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี, พระอนาคามีและพระอรหันต์มีแต่ทุกข์ทางกายเท่านั้น.
๑. อง อฏฺฐก. ๒๓/๙๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 331
บทว่า นว สตฺตาวาสา ได้แก่ ที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย, อธิบายว่า สถานที่เป็นที่อยู่.
สถานที่อยู่เหล่านั้น ได้แก่ ขันธ์อันเป็นที่ปรากฏรู้กันแล้ว. สัตตาวาส ๙ คืออะไรบ้าง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส ๙ เหล่านี้, สัตตาวาส ๙ คืออะไรบ้าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกวินิปาติกะ (เปรต) นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๑.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพผู้อยู่ในจำพวกพรหม ผู้เกิดในปฐมฌาน นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๒.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภัสสระ. นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๓.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหะ นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๔.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่น พวกเทพผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจถึงสัญญาต่างกัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 332
เข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุด. นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๖.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า อนนฺตํ วิญญาณํ - วิญญาณไม่มีที่สุด นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๗.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า นตฺถิ กิญฺจิ - ไม่มีอะไรๆ นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๘.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้เป็นสัตตาวาส ข้อที่ ๙.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส ๙ เหล่านี้แล. (๑)
บทว่า ทสายตนานิ ได้แก่ อายตนะ ๑๐ อย่างนี้ คือ จักขายตนะ ๑ รูปายตนะ ๑ โสตายตนะ ๑ สัททายตนะ ๑ ฆานายตนะ ๑ คันธายตนะ ๑ ชิวหายตนะ ๑ รสายตนะ ๑ กายายตนะ ๑ โผฏฐัพพายตนะ ๑. ส่วนมนายตนะ ธัมมายตนะ ท่านไม่จัดไว้ เพราะเจือด้วยโลกุตระ.
๕๗] ในการวิสัชนา ๑๐ เหล่านี้ ท่านกล่าวถึง ตีรณปริญญา ด้วยอำนาจวิปัสสนา.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมี อาทิว่า สพฺพํ ภิกฺขเว ปริญฺเยฺยํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้ ดังต่อไปนี้. ท่านกล่าวถึง
๑. อง. นวก. ๒๓/๒๒๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 333
ตีรณปริญญา ด้วยการได้เฉพาะธรรมเหล่านี้ คือธรรม ๓ มี อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์ คืออัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผลของผู้ปฏิบัติ) เป็นต้น, ธรรม ๑๕ มี อนุปปาทธรรม เป็นต้น ของการออกไปแห่งทุกข์เป็นต้น อันเป็นปฏิปทาของการดับทุกข์ เป็นการเจริญเพื่อทำให้แจ้ง เป็นการแทงตลอดธรรมเหล่านั้น, ธรรม ๓๑ มี ปริคฺคหฏฺโ - สภาพที่กำหนดไว้, ธรรม ๓ มี อุตตริปฏิเวธัฏะ- สภาพที่แทงตลอดยิ่งขึ้นไปเป็นต้น, ธรรม ๘ อันเป็นองค์มรรค, ธรรม ๒ มีสภาพสงบแห่งปโยคะเป็นต้น, ธรรม ๒ มีสภาพออกไปแห่งสภาพที่เป็นอสังขตะ, ธรรม ๓ มีสภาพตรัสรู้ตามสภาพที่นำสัตว์ออกไปเป็นต้น, ธรรม ๓ มีอนุโพธนัฏฐะ - สภาพที่รู้ตาม เป็นต้น, ธรรม ๓ มีอนุโพธปักขิยะ - ธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ตาม เป็นต้น, ธรรม ๔ มีอุชโชตนัฏฐะ - สภาพที่รุ่งเรือง เป็นต้น, ธรรม ๑๘ มีปตาปนัฏฐะ - สภาพที่ทำให้เร่าร้อน เป็นต้น, ธรรม ๙ มีวิวัฏฏนานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นนิพพาน เป็นต้น. ญาณใน ความสิ้นไปและญาณในความไม่เกิด นิพพานอันเป็นปัญญาวิมุตติ, พึงทราบว่า ตีรณปริญญา ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาตามสมควรแก่หมู่ธรรม และด้วยอำนาจการได้เฉพาะ.
๕๘] ท่านกล่าวถึงตีรณปริญญาด้วยอรรถว่า เข้าถึงกิจ ด้วย บทว่า เยสํ เยสํ ธมฺมานํ ฯเปฯ ติริตา จ ความว่า บุคคลผู้พยายามเพื่อจะได้ธรรมใดๆ เป็นอันได้ธรรมนั้นๆ แล้ว. ธรรมเหล่านั้นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 334
ธรรมอันบุคคลกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้วอย่างนี้. เมื่อเข้าถึงกิจแล้ว เป็นอันได้ธรรมนั้นๆ แล้ว. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ญาตปริญญา ของผู้ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา นั่นไม่ดีเลย เพราะ ญาตปริญญา ท่านกล่าวด้วยธรรมควรรู้ยิ่ง.
บทว่า ปริญฺตา เจว โหนฺติ ตีริตา จ ธรรมอันบุคคลกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้ว ความว่า ธรรมอันบุคคลได้แล้ว ชื่อว่า เป็นอันกำหนดรู้แล้ว และชื่อว่าพิจารณาแล้ว. เป็นอันท่านกล่าวความที่กำหนดรู้ ด้วยการเข้าถึงสมาบัติอย่างนี้.
๕๙] บัดนี้ เพื่อประกอบอรรถนั้น ด้วยการได้ธรรมอย่างหนึ่งๆ แล้วแสดงสรุปในที่สุด พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า เนกฺขมฺมํ เป็นต้น. พึงทราบบททั้งหมดนั้นโดยทำนองตามดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในตอนก่อนแล.
จบ อรรถกถาปริญเญยยนิทเทส