ปหาตัพพนิทเทส
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 334
ปหาตัพพนิทเทส
อรรถกถาปหาตัพพนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 334
ปหาตัพพนิทเทส
[๖๐] บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ปฐมฌาน เป็นอันได้ปฐมฌานแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำลังรู้แล้ว และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ทุติยฌาน ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 335
ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน เป็นอันได้จตุตถฌานแล้ว... บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้อากาสานัญจายตนสมาบัติ... วิญญาณัญจายตนสมาบัติ... อากิญจัญญายตนสมาบัติ... เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เป็นอันได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้วอย่างนี้.
[๖๑] บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้อนิจจานุปัสนา เป็นอันได้อนิจจานุปัสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ทุกขานุปัสนา... อนัตตานุปัสนา... นิพพิทานุปัสนา... วิราคานุปัสนา... นิโรธานุปัสนา... ปฏินิสสัคคานุปัสนา... ขยานุปัสนา... วยานุปัสนา... วิปริณามานุปัสนา... อนิมิตตานุปัสนา... อัปปณิหิตานุปัสนา... สุญญตานุปัสนา... เป็นอันได้สุญญตานุปัสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้.
[๖๒] บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้อธิปัญญาธรรมวิปัสสนา การพิจารณาเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นอันได้อธิปัญญาธรรมวิปัสสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ยถาภูตญาณทัสนะ... อาทีนวานุปัสนา... ปฏิสังขานุปัสนา... วิวัฏฏนานุปัสนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 336
... เป็นอันได้วิวัฏฏนานุปัสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้.
[๖๓] บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้โสดาปัตติมรรค เป็นอันได้โสดาปัตติมรรคแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้สกทาคามิมรรค... อนาคามิมรรค... อรหัตตมรรค เป็นอันได้อรหัตตมรรคแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลผู้พยายามเพื่อต้องการจะได้ธรรมใดๆ เป็นอันได้ธรรม นั้นๆ แล้ว ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้แล้วและพิจารณาแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญา เครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ชื่อว่าสุตมยญาณ.
[๖๔] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรละ ชื่อว่าสุตมยญาณ อย่างไร?
ธรรมอย่างหนึ่งควรละ คือ อัสมิมานะ, ธรรม ๒ ควรละ คือ อวิชชา ๑ ตัณหา ๑, ธรรม ๓ ควรละ คือ ตัณหา ๓, ธรรม ๔ ควรละ คือ โอฆะ ๔, ธรรม ๕ ควรละ คือ นิวรณ์ ๕, ธรรม ๖ ควรละ คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 337
หมวดตัณหา ๖, ธรรม ๗ ควรละ คือ อนุสัย ๗, ธรรม ๘ ควรละ คือ มิจฉัตตะ - ความเป็นผิด ๘, ธรรม ๙ ควรละ คือ ธรรมมีตัณหาเป็นมูลเหตุ ๙. ธรรม ๑๐ ควรละ คือ มิจฉัตตะ ๑๐.
[๖๕] ปหานะ ๒ คือ สมุจเฉทปหานะ ๑ ปฏิปัสสัทธิปหานะ ๑ สมุทเฉทปหานะอันเป็นโลกุตรมรรค และปฏิปัสสัทธิ- ปหานะอันเป็นโลกุตรผลในขณะแห่งผล ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญมรรค เครื่องให้ถึงความสิ้นไป.
ปหานะ ๓ คือ เนกขัมมะ เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งกาม ๑ อรูปฌาน เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป ๑ นิโรธ เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ๑ บุคคลผู้ได้เนกขัมมะเป็นอันละและสละกามได้แล้ว บุคคลผู้ได้อรูปฌานเป็นอันละและสละรูปได้แล้ว บุคคลผู้ได้นิโรธเป็นอันละและสละสังขารได้แล้ว.
ปหานะ ๔ คือ บุคคลผู้แทงตลอดทุกขสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑ บุคคลผู้แทงตลอดสมุทยสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการละ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑ บุคคลผู้แทงตลอดนิโรธสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้ง ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑ บุคคลผู้แทงตลอดมรรคสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการเจริญ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 338
ปหานะ ๕ คือ วิกขัมภนปหานะ ๑ ตทังคปหานะ ๑ สมุจเฉทปหานะ ๑ ปฏิปัสสัทธิปหานะ ๑ นิสสรณปหานะ ๑ การละนิวรณ์ด้วยการข่มไว้ ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญปฐมฌาน การละทิฏฐิด้วยองค์นั้นๆ ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญสมาธิอันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส สมุจเฉทปหานะอันเป็นโลกุตรมรรค และปฏิปัสสัทธิปหานะ อันเป็นโลกุตรผลในขณะแห่งผล ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญมรรคเครื่องให้ถึงความสิ้นไป และนิสสรณปหานะเป็นนิโรธ คือ นิพพาน.
[๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงควรละคืออะไร คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยควรละทุกอย่าง.
หู เสียง ฯลฯ จมูก กลิ่น ฯลฯ ลิ้น รส ฯลฯ กาย โผฏฐัพพะ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ ฯลฯ มโนวิญญาณ ฯลฯ มโนสัมผัส ฯลฯ สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยควรละทุกอย่าง.
เมื่อพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ เมื่อพิจารณาเห็นเวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... จักษุ... ชราและมรณะ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ เมื่อพิจารณาเห็นนิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 339
ด้วยความเป็นอนัตตา ด้วยความว่าเป็นที่สุด ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ธรรมใดๆ เป็นธรรมที่ละได้แล้วธรรมนั้นๆ เป็นอันสละได้แล้ว ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ไดสดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรละ ชื่อว่า สุตมยญาณ.
จบ ตติยภาณวาร
อรรถกถาปหาตัพพนิทเทส
๖๐ - ๖๔] พึงทราบวินิจฉัยในปหาตัพพนิทเทส ดังต่อไปนี้.
บทว่า อสฺมิมาโน - มานะว่าเป็นเรา ได้แก่ ชื่อว่า มานะ เพราะเป็นเราในอุปาทานขันธ์ ๕ มีรูปเป็นต้น. จริงอยู่เมื่อละมานะนั้นได้ เป็นอันได้บรรลุพระอรหัต พึงทราบว่า แม้เมื่อรูปราคะเป็นต้น ยังมีอยู่ก็ไม่กล่าวถึงสังโยชน์ที่เหลือกกล่าวถึงอัสมิมานะเท่านั้น เพราะอัสมิมานะนั้นหยาบเทียบได้กับทิฏฐิ.
บทว่า อวิชฺชา คือความไม่รู้ในฐานะ ๔ มีทุกข์เป็นต้น โดยสุตตันตปริยาย, การไม่รู้ในฐานะ ๘ กับที่สุดของเบื้องต้นเป็นต้น โดยอภิธรรมปริยาย. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 340
ในธรรมเหล่านั้นอวิชชาเป็นไฉน? อวิชชาคือความไม่รู้ทุกข์ ๑ ไม่รู้ทุกขสมุทัย ๑ ไม่รู้ทุกขนิโรธ ๑ ไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ ไม่รู้ส่วนเบื้องต้น ๑ ไม่รู้ส่วนเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้ทั้งส่วนเบื้องต้นและส่วนเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรมอันเป็นอิทัปปัจจยตา (๑) - สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี.
บทว่า ภวตณฺหา ได้แก่ ปรารถนาในภพมีกามภพเป็นต้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ในตัณหา ๓ นั้น ภวตัณหาเป็นไฉน? ภวตัณหา คือ ความพอใจในภพ ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความอยากในภพ ความเสน่หาในภพ ความเร่าร้อนในภพ ความสยบในภพ ความพะวงหลงใหลในภพ. (๒)
บทว่า ติสฺโส ตณฺหา - ตัณหา ๓ ได้แก่ กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑. ในอภิธรรมท่านชี้แจงตัณหาเหล่านั้นไว้อย่างนี้ว่า ในตัณหา ๓ นั้น ภวตัณหาเป็นไฉน? ราคะสหรคตด้วยภวทิฏฐิ ฯลฯ จิตมีราคะ นี้เรียกว่าภวตัณหา.
๑. อภิ. สํ. ๓๔/๖๙๑. ๒. อภิ. วิ. ๓๕/๙๑๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 341
วิภวตัณหาเป็นไฉน? ราคะสหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ ฯลฯ จิตมีราคะ นี้เรียกว่าวิภวตัณหา. ตัณหานอกนั้นเป็นกามตัณหา
กามตัณหาเป็นไฉน? ราคะประกอบด้วยกามธาตุ ฯลฯ จิตมีราคะ นี้เรียกว่ากามตัณหา.
ภวตัณหาเป็นไฉน? ราคะประกอบด้วยรูปธาตุและอรูปธาตุ ฯลฯ
วิภวตัณหาเป็นไฉน? ราคะสหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ (๑) ฯลฯ
แต่ในอรรถกถาท่านกล่าวว่า ราคะเป็นไปในกามคุณ ๕ ชื่อว่า กามตัณหา, ราคะในรูปภพและอรูปภพ ราคะสหรคตด้วยความใคร่ในฌาน และสัสสตทิฏฐิ ความปรารถนาด้วยอำนาจภพ ชื่อว่า ภวตัณหา, ราคะสหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่า วิภวตัณหา. นี้แก้ไว้โดยปริยายแห่งทสุตตรสูตร. แม้ตัณหาท่านกล่าวไว้โดยปริยายแห่งสังคีติ และโดยปริยายแห่งอภิธรรมว่า ตัณหา ๓ อย่างอื่นอีก คือ กามตัณหา รูปตัณหา อรูปตัณหา. อย่างอีกอีก ๓ คือ รูปตัณหา อรูปตัณหา นิโรธตัณหา (๒) ถูกต้องในนิทเทสนี้. ในตัณหาเหล่านั้น ตัณหา ๕ ประกอบด้วยกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ, ตัณหาสุดท้ายสหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ.
บทว่า จตฺตาโร โอฆา - โอฆะ ๔ คือ กาโมฆะ ๑ ภโวฆะ ๑ ทิฏโฐฆะ ๑ อวิชโชฆะ ๑. ชื่อว่า โอฆะ เพราะอรรถว่า ย่อมยังสัตว์
๑. อภิ. วิ. ๓๕/๙๓๓. ๒. ที. ปา. ๑๑/๒๒๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 342
นั้นให้จมลงในวัฏฏะ. โอฆะทั้งหลายเหล่านี้เป็นกิเลสมีกำลัง. โอฆะในกาม ได้แก่ กามคุณ ชื่อว่า กาโมฆะ. คำว่า กาโมฆะ นี้เป็นชื่อของ กามตัณหา. โอฆะในภพ ๒ อย่าง คือ รูปภพและอรูปภพ จากกรรม และจากอุปบัติ ชื่อว่า ภโวฆะ. คำว่า ภโวฆะ นี้ เป็นชื่อของ ภวตัณหา. โอฆะ คือ ทิฏฐินั่นแล ชื่อว่า ทิฏโฐฆะ คำว่า ทิฏฺโฐฆะ นี้ เป็นชื่อของทิฏฐิมีอาทิว่า สสฺสโต โลโก - โลกเที่ยง. โอฆะ คือ อวิชชานั่นแล ชื่อว่า อวิชโชฆะ. คำวำ อวิชโชฆะ นี้ เป็นชื่อของความไม่รู้ในทุกข์เป็นต้น.
บทว่า ปญฺจ นีวรณานิ - นิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑. ชื่อว่า นีวรณานิ -เพราะห้าม คือ รัดรึงจิตไว้. ชื่อว่า กามา - เพราะเป็นเหตุใคร่. ได้แก่ กามคุณ ๕. ความพอใจในกาม ชื่อว่า กามฉันทะ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กาโม เพราะย่อมใคร่. ความพอใจ คือ กาม, มิใช่ความพอใจใคร่จะทำ มิใช่ความพอใจในธรรม เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า กามฉันทะ. บทนี้เป็นชื่อของ กามตัณหา.
ชื่อว่า พฺยาปาโท เพราะจิตย่อมปองร้าย คือ ถึงความเสียด้วยความปองร้ายนั้น, อีกอย่างหนึ่ง จิตยังวินัย อาจาระ รูปสมบัติ ประโยชน์ สุข ให้ถึงความพินาศ. บทนี้เป็นชื่อของ โทสะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 343
ชื่อว่า ถีนํ เพราะความหดหู่, ชื่อว่า มิทฺธํ เพราะความท้อแท้, อธิบายว่า ความไม่เพิ่มพูน ความอุตสาหะและกำจัด ความไม่สามารถ. จิตไม่ขะมักเขม้น ชื่อว่า ถีนะ, ความที่เจตสิกไม่ควรแก่การงาน ชื่อว่า มิทธะ, ความหดหู่และท้อแท้ ชื่อว่า ถีนมิทธะ.
ความที่จิตฟุ้งซ่าน ชื่อว่า อุทฺธจฺจํ ได้แก่ ความไม่สงบ. บทนี้เป็นชื่อของความฟุ้งซ่าน. จิตทำความน่าเกลียด ชื่อว่า กุกฺกตํ, ความที่จิตทำความน่าเกลียด ชื่อว่า กุกฺกุจฺจํ, อธิบายว่า ความเป็นผู้มีกิริยาน่าติเตียน. บทนี้เป็นชื่อของความเดือดร้อนในภายหลัง.
ชื่อวา วิจิกิจฺฉา เพราะปราศจากความคิด, อธิบายว่า หมดปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิจิกิจฉา เพราะเป็นเหตุค้นหาความจริงยากลำบาก. บทนี้เป็นชื่อของความสงสัย. นิวรณ์ คือ กามฉันทะนั่นแล ชื่อว่า กามฉันทนิวรณ์. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.
บทว่า ฉ ธมฺมา ปาฐะว่า ฉทฺธมฺมา บ้าง. บทว่า ฉ ตณฺหากายา - หมวดตัณหา ๖ คือ รูปตัณหา ๑ สัททตัณหา ๑ คันธตัณหา ๑ รสตัณหา ๑ โผฏฐัพพตัณหา ๑ ธรรมตัณหา ๑. ตัณหาในรูป ชื่อว่า รูปตัณหา. ตัณหานั้นนั่นแลท่านกล่าวว่า เป็นหมวด ด้วยอรรถว่าเป็นกอง เพราะมีหลายประเภท โดยแยกกันมีกามตัณหา เป็นต้น แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 344
บทว่า สตฺตานุสยา - อนุสัย ๗ คือ กามราคานุสัย ๑ ปฏิฆานุสัย ๒ มานานุสัย ๑ ทิฏฐานุสัย ๑ วิจิกิจฉานุสัย ๑ ภวราคานุสัย ๑ อวิชชานุสัย ๑.
ชื่อว่า อนุสัย เพราะนอนเนื่องโดยอรรถว่าละไม่ได้. ความกำหนัดในกาม ชื่อว่า กามราคะ, อีกอย่างหนึ่ง ราคะ คือ กาม ชื่อว่า กามราคะ. ชื่อว่า ปฏิฆะ เพราะกระทบกระทั่งในอารมณ์. ชื่อว่า ทิฏฺิ เพราะอรรถว่า ไม่เห็นความเป็นจริง. ชื่อว่า มานะ เพราะสำคัญว่าดีกว่าเขาเป็นต้น. ความกำหนัดในภพ ชื่อว่า ภวราคะ. กามราคะมีกำลัง ชื่อว่า กามราคานุสัย. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.
บทว่า อฏฺ มิจฺฉตฺตา - ความเป็นผิด ๘ คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑ มิจฉาสังกัปปะ ๑ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ ๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑. ชื่อว่า มิจฉัตตา - ความเป็นผิด เพราะมีสภาพผิดโดยที่แม้หวังอย่างนี้ว่า เขาจักนำประโยชน์และความสุขมาให้แก่เราก็ไม่เป็นอย่างนั้น และโดยที่เป็นไปวิปริตในสิ่งไม่งามว่างามเป็นต้น. ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นผิด, หรือทิฏฐิเป็นเหตุเห็นผิด, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะความเห็นวิปริต, หรือเพราะความเห็นไม่จริง, หรือเพราะความเห็นเหลวไหล, หรือเพราะความเห็นอันบัณฑิตเกลียด เพราะนำความเสื่อมมาให้. แม้ในคำว่า มิจฉาสังกัปปะ เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 345
บทว่า มิจฺฉาทิฏิ - เห็นผิด ได้แก่ ยึดมั่นสัสสตทิฏ และอุจเฉททิฏฐิ.
บทว่า มิจฺฉาสงฺกปฺโป - ดำริผิด ได้แก่ วิตก ๓ อย่างมีกามวิตกเป็นต้น.
บทว่า มิจฺฉาวาจา - เจรจาผิด ได้แก่ เจตนา ๔ อย่างมีมุสาวาทเป็นต้น.
บทว่า มิจฺฉากมฺมนฺโต - การงานผิด ได้แก่ เจตนา ๓ อย่าง มีปาณาติบาตเป็นต้น.
บทว่า มิจฺฉาอาชีโว - อาชีพผิด ได้แก่ เจตนาตั้งขึ้นโดยประกอบมิจฉาอาชีวะ.
บทว่า มิจฺฉาวายาโม - เพียรผิด ได้แก่ ความเพียรประกอบด้วยอกุศลจิต.
บทว่า มิจฺฉาสติ - ระลึกผิด ได้แก่ อกุศลจิตเกิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสติ.
บทว่า มิจฺฉาสมาธิ - ตั้งใจผิด ได้แก่ อกุศลสมาธิ.
บทว่า นว ตณฺหามูลกา (๑) - ธรรมมีตัณหาเป็นมูลเหตุ ๙ ได้แก่ เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิด
๑. ที. มหา. ๑๐/๕๙.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 346
ลาภ ๑ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ ๑ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการรักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง ๑ เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดการยึดถือ ๑ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ ๑ เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน ๑ เพราะอาศัยการป้องกัน อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด การพูดปด ย่อมเกิดขึ้น ๑. ธรรมมีตัณหาเป็นมูลเหตุ ๙ เหล่านี้ ชื่อว่า ตัณหามูลกา เพราะธรรมมีตัณหาเป็นมูลเหตุ. การแสวงหาเป็นต้น เป็นอกุศลทั้งนั้น.
บทว่า ตณฺหํ ปฏิจฺจ คือ อาศัยตัณหา. บทว่า ปริเยสนา คือ การแสวงหาอารมณ์มีรูปเป็นต้น. เพราะเมื่อตัณหามีอยู่ การแสวงหานั้นก็มี.
บทว่า ลาโภ ได้แก่ การได้อารมณ์มีรูปเป็นต้น, เพราะเมื่อการแสวงหามีอยู่ ลาภนั้นก็มี. การตกลงใจมี ๔ อย่าง คือ ญาณ ๑ ตัณหา ๑ ทิฏฐิ ๑ วิตก ๑.
ในวินิจฉัย คือ การตกลงใจเหล่านั้น ชื่อว่า ญาณวินิจฺฉโย (๑) - การตกลงใจด้วยความรู้ เพราะพึงรู้สุขวินิจฉัย ครั้นรู้สุขวินิจฉัยแล้วพึงขวนขวายหาความสุขในภายใน.
๑. ม.อุ. ๑๔/๖๕๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 347
ตัณหาวิจริต ๑๑๘ ที่ปรากฏอย่างนี้ว่า บทว่า วินิจฺฉโย ได้แก่ วินิจฉัย ๒ อย่าง คือ ตัณหาวินิจฉัย ๑ ทิฏฐิวินิจฉัย ๑. ชื่อว่า ตณฺหาวินจฺฉโย (๑) - การตกลงใจด้วยตัณหา.
ทิฏฐิ ๖๒ ชื่อว่า ทิฏฺิวินิจฺฉโย - การตกลงใจด้วยทิฏฐิ. ในที่นี้ท่านกล่าววิตกว่า วินิจฉยะ มาแล้วในสูตรนี้ว่า ฉนฺโท โข เทวานมินฺท วิตกฺกนิทาโน (๒) - ข้าแต่จอมเทพ ฉันทะแลมีวิตกเป็นเหตุ. ครั้นได้ลาภแล้ว ย่อมตัดสินถึงสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ และดี ไม่ดี ด้วยวิตกว่า สิ่งมีประมาณเท่านี้จักมีแก่เราเพื่อประโยชน์แก่รูปารมณ์, มีประมาณ เท่านี้จักมีแก่เราเพื่อประโยชน์แก่สัททารมณ์เป็นต้น, มีประมาณเท่านี้จักเป็นของเรา, มีประมาณเท่านี้จักเป็นของผู้อื่น, มีประมาณเท่านี้เราจักใช้สอย, มีประมาณเท่านี้เราจักเก็บไว้. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ลาภํ ปฏิจฺจ วินิจฺฉโย - อาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ.
บทว่า ฉนฺทราโค - การรักใคร่พึงใจ ได้แก่ เมื่อวิตกถึงวัตถุด้วยอกุศลวิตกอย่างนี้แล้ว ย่อมเกิดราคะอย่างอ่อนและอย่างแรง. บทว่า ฉนฺโท เป็นชื่อของราคะอย่างอ่อน, บทว่า ราโค เป็นชื่อของราคะอย่างแรง.
๑. ขุ. มหา. ๒๙/๔๗๐. ๒. ที. มหา. ๑๐/๒๕๖.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 348
บทว่า อชฺโฌสานํ - ความพะวง ได้แก่ การตกลงอย่างแรงว่า เรา ของเรา.
บทว่า ปริคฺคโห - ความยึดถือ ได้แก่ ทำความยึดถือด้วยตัณหาทิฏฐิ.
บทว่า มจฺฉริยํ - ตระหนี่ ได้แก่ ไม่ยอมให้เป็นสิ่งสาธารณะแก่คนอื่น, ด้วยเหตุนั้นโบราณาจารย์จึงกล่าวความหมายของบทว่า มัจฉริยะ ไว้อย่างนี้ว่า ท่านกล่าวว่า มัจฉริยะ เพราะเป็นไปในความว่า ของอัศจรรย์นี้จงมีแก่เราเท่านั้น จงอย่ามีแก่ผู้อื่นเลย
บทว่า อารกฺโข - การป้องกัน ได้แก่ การรักษาด้วยดี ด้วยปิดประตู เก็บไว้ในหีบเป็นต้น.
ชื่อว่า อธิกรณํ เพราะทำให้ยิ่ง. บทนี้เป็นชื่อของเหตุ.
บทว่า อารกฺขาธิกรณํ - เป็นภาวนปุงสกลิงค์ ได้แก่ เหตุแห่งการป้องกัน.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีการถือไม้เป็นต้น ดังต่อไปนี้ การถือไม้เพื่อป้องกันผู้อื่น ชื่อว่า ทณฺฑาทานํ. การถือศัสตรามีคมข้างเดียว เป็นต้น ชื่อว่า สตฺถาทานํ. การทะเลาะทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ชื่อว่า กลโห. โกรธกันมาครั้งก่อนๆ ชื่อว่า วิคฺคโห. โกรธกันครั้งหลังๆ ชื่อว่า วิวาโท. บทว่า ตุวํตุวํ ได้แก่ พูด มึง มึง ด้วยความไม่เคารพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 349
บทว่า ทส มิจฺฉตฺตา - ความเป็นผิด ๑๐ คือ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มิจฺฉาาณํ - รู้ผิด ได้แก่ โมหะเกิดขึ้น ด้วยคิดถึงอุบายในการทำชั่ว และด้วยอาการพิจารณาว่า เราทำชั่ว ก็เป็นการทำของตนเอง.
บทว่า มิจฺฉาวมุตฺติ - พ้นผิด ได้แก่ เมื่อยังไม่พ้นสำคัญว่าพ้น.
๖๕] บัดนี้ เพื่อแสดงธรรมที่ควรละด้วยปหานะ มีประเภทหลายอย่าง พระสารีบุตรจึงเริ่มบทมีอาทิว่า เทฺว ปหานานิ - ปหานะ ๒ ก็เมื่อรู้แจ้งปหานะแล้วควรรู้ธรรมที่ควรละด้วยปหานะนั้นๆ. ในปหานะ ๕ ท่านกล่าวถึงโลุกุตรปหานะ ๒ พร้อมกับ ปโยคะ ก่อนเว้นปหานะ ๒ ทางโลก และ นิสสรณปหานะ การละด้วยอุบายเครื่องสลัดออก อันไม่เป็น ปโยคะ.
ชื่อว่า สมุจเฉทะ เพราะปหานะเป็นเหตุทำให้กิเลสขาดไปโดยชอบ, ชื่อว่า ปหานะ เพราะปหานะเป็นเหตุละกิเลส.
ชื่อว่า สมุจเฉทปหานะ เพราะละกิเลสอันเป็นสมุจเฉท ไม่ใช่ละกิเลสที่ยังมีเหลือ.
ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธิ เพราะกิเลสสงบ, ชื่อว่า ปหานะ เพราะละกิเลส, การละอันเป็นความสงบ ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธิปหานะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 350
ชื่อว่า โลกุตระ เพราะข้ามโลก. ชื่อว่า ขยคามี เพราะถึงความสิ้นไป ได้แก่ นิพพาน. ขยคามีและมรรค ชื่อว่า ขยคามิมรรค, อธิบายว่า มรรคของผู้เจริญขยคามิมรรค ชื่อว่า สมุจเฉทปหานะ. โลกุตรผลในขณะแห่งผล ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธิปหานะ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า กามานเมตํ นิสฺสรณํ - เนกขัมมะเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งกามเป็นต้น. ชื่อว่า นิสสรณะ เพราะเนกขัมมะเป็นเหตุสลัดออกจากกาม จากรูป จากสังขตะ. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า นิสสรณะ เพราะออกไปจากกามเหล่านั้น. นิสสรณะ คือ อสุภฌาน.
ชื่อว่า เนกขัมมะ เพราะออกจากกาม. หรือได้แก่ อนาคามิมรรค. จริงอยู่อสุภฌาน ชื่อว่า นิสสรณะ เพราะข่มกามไว้ได้. ส่วน อุปปาทิตอนาคามิมรรค - อนาคามิมรรคยังฌานให้เกิด ทำฌานนั้นให้เป็นบาท ชื่อว่า อจฺจนฺตนิสฺสรณํ - เป็นอุบายสลัดออกโดยส่วนเดียว เพราะขาดจากกามโดยประการทั้งปวง. ชื่อว่า รูปํ เพราะอรรถว่า สลายไป, อธิบายว่า อรูปมิใช่รูปเป็นปฏิปักษ์ต่อรูป ดุจอมิตรเป็นปฏิปักษ์ต่อมิตร, และดุจอโลภะเป็นต้น เป็นปฏิปักษ์ต่อโลภะเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อรูปํ เพราะอรรถว่า ในฌานนี้ไม่มีรูปด้วยอำนาจแห่งผล, อรูปนั่นแล ชื่อว่า อารุปฺปํ - อรูปฌาน. อารุปปะ คือ อรูปฌาน. อรูปฌานเหล่านั้นเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป. อรหัต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 351
มรรค ชื่อว่า อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูปโดยประการทั้งปวง เพราะห้ามการเกิดใหม่ด้วยอรูปฌาน.
บทว่า ภูตํ คือ เกิดแล้ว.
บทว่า สงฺขตํ คือ อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง.
บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ - ธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น ได้แก่ ปัจจัยนั้นๆ เกิดขึ้นโดยชอบและร่วมกัน. เป็นอันท่านแสดงความไม่เที่ยง ด้วยแสดงถึงความเกิดครั้งแรก, เมื่อมีความไม่เที่ยงครั้งที่ ๒ ท่านก็แสดงถึงความเป็นไปในเบื้องหน้าด้วยการแสดงถึงอานุภาพของปัจจัย, เมื่อมีความเป็นไปในเบื้องหน้าครั้งที่ ๓ ท่านก็แสดงถึงความเป็นธรรมดาอย่างนี้ ด้วยการแสดงถึงความเป็นผู้ขวนขวายปัจจัย.
บทว่า นิโรโธ คือ นิพพาน. ท่านกล่าวว่า นิโรโธ เพราะอรรถว่า อาศัยนิพพานดับทุกข์. นิโรธ นั้น ชื่อว่า เป็นอุบายสลัดออกแห่งสังขตะนั้น เพราะสลัดออกจากสังขตะทั้งหมด. ส่วนในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า
ในบทนี้ว่า นิโรโธ ตสฺส นิสฺสรณํ - นิโรธเป็นอุบายสลัดออกแห่งสังขตะนั้น ท่านประสงค์อรหัตตผลว่า นิโรธ. จริงอยู่เมื่อเห็นนิพพานด้วยอรหัตตผล สังขารทั้งปวงก็จะไม่มีต่อไปอีก เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว นิโรโธ เพราะเป็นปัจจัยแห่งนิโรธอันได้แก่พระอรหัต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 352
พึงทราบวินิจฉัยโดยบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมํ ปฏิลทฺธสฺส - เมื่อบุคคลผู้ได้เนกขัมมะแล้วมีดังต่อไปนี้ เมื่อบุคคลผู้ได้เนกขัมมะเป็นอัน ละและสละกามได้แล้ว ด้วย วิกขัมภนปหานะ ในเพราะอุบายสลัดออกแห่งอสุภฌาน. ด้วย สมุจเฉทปหานะ ในเพราะอุบายสลัดออกแห่งอนาคามิมรรค. พึงประกอบรูปทั้งหลายอย่างนี้ในเพราะอุบายสลัดออกแห่งอรูปฌานและในเพราะอุบายสลัดออกแห่งอรหัตตมรรค. การตัดขาดรูปย่อมมีด้วยการละฉันทราคะในรูปทั้งหลาย, อนึ่งในบทว่า รูปา นี้ เป็นลิงควิปลาส. เมื่อบุคคลผู้ได้นิโรธเป็นอันละและสละสังขารได้แล้ว ด้วย นิสสรณปหานะ ในเพราะพระนิพพานเป็นเครื่องสลัดออก, ด้วย ปฏิปัสสัทธิปหานะในเพราะอรหัตตผลเป็นเครื่องสลัดออก. พึงทราบว่า การได้เฉพาะด้วยสามารถทำให้เป็นอารมณ์ ในเพราะความที่พระนิพพานเป็นเครื่องสลัดออก
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ทุกฺขสจฺจํ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ปริญฺาปฏิเวธํ - การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้เป็นต้น เป็นภาวนปุงสกะ. การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ ชื่อว่า ปริญฺาปฏิเวธํ. ทุกขสัจนั้นเป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้.
บทว่า ปชหาติ - ย่อมละ พึงถือเอาความว่า บุคคลผู้แทงตลอดได้อย่างนั้นๆ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้. อธิบายว่า ย่อมละกิเลสเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 353
ด้วยละฉันทราคะแม้ในโลกิยะและโลกุตระ. ปาฐะว่า ปชหติ บ้าง. มรรคญาณย่อมตรัสรู้อริยสัจ ๔ ในขณะเดียวกันไม่ก่อนไม่หลัง. ย่อมตรัสรู้ทุกข์ด้วยปริญญาภิสมัย - การตรัสรู้ด้วยการกำหนดรู้, ย่อมตรัสรู้สมุทัยด้วยปหานาภิสมัย - การตรัสรู้ด้วยการละ, ย่อมตรัสรู้มรรคด้วยภาวนาภิสมัย - การตรัสรู้ด้วยการทำให้เกิด, ย่อมตรัสรู้นิโรธด้วยสัจฉิกิริยาสมัย - การตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง. เหมือนเรือย่อมทำกิจ ๔ อย่างในขณะเดียวกัน, ย่อมละฝั่งใน, ตัดกระแส, นำสินค้าไป, ย่อมถึงฝั่งโน้น ฉะนั้น. ท่านอธิบายไว้อย่างไร? พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึง ปหานะ แม้ในขณะเดียวกันก็ดุจแยกกัน เพราะท่านกล่าวว่า พระโยคาวจรทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุ ย่อมเห็น ย่อมแทงตลอดอริยสัจ ๔.
พึงทราบวินิจฉัยในปหานะ ๕ ดังต่อไปนี้ การข่ม การทำให้ไกลซึ่งปัจนิกธรรมมีนิวรณ์เป็นต้น ด้วยโลกิยสมาธินั้นๆ ดุจเอาหม้อเหวี่ยงลงไปในน้ำที่มีแหน ทำให้แหนกระจายไปไกล ฉะนั้น นี้ชื่อว่า วิกขัมภนปหานะ.
บทว่า วิกฺขมฺภนปหานญฺจ นีวรณานํ ปมชฺณานํ ภาวยโต - การละนิวรณ์ด้วยการข่มไว้ ย่อมมีแก่ผู้เจริญปฐมฌาน พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงการละนิวรณ์ เพราะนิวรณ์ปรากฏ. อันที่จริง นิวรณ์ยังไม่ครอบงำจิตเร็วนักทั้งในส่วนเบื้องต้น ทั้งในส่วนเบื้องหลัง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 354
แห่งฌาน. เมื่อจิตถูกนิวรณ์ครอบงำ ฌานย่อมเสื่อม, แต่วิตกเป็นต้น ยังเป็นไปได้ไม่เป็นปฏิปักษ์ทั้งก่อนหลังตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้น. เพราะฉะนั้น การข่มนิวรณ์จึงปรากฏ. การละธรรมที่ควรละนั้นๆ โดยเป็นปฏิปักษ์กันด้วยองค์ฌานอันเป็นส่วนของวิปัสสนานั้นๆ ดุจตามประทีปไว้ในตอนกลางคืนละความมืดเสียได้ นี้ชื่อว่า ตทังคปหานะ.
บทว่า ตทงฺคปฺปหานญฺจ ทิฏฺิคตานํ นิพฺเพธภาคิยํ สมาธึ ภาวยโต - การละทิฏฐิด้วยองค์นั้นๆ ย่อมมีแก่ผู้เจริญสมาธิอันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงการละทิฏฐิโดยเป็นของหยาบ. เพราะทิฏฐิเป็นของหยาบ, นิจสัญญาเป็นต้นละเอียด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺิคตานํ คือ ทิฏฐินั่นแล ชื่อว่า ทิฏฐิคตะ ดุจบทมีอาทิว่า คูถคตํ มุตฺตคตํ (๑) - คูถมูตร. ทิฏฐิคตะ นี้เที่ยวไปด้วยทิฏฐิ เพราะความเป็นของที่ควรไปบ้าง ชื่อว่า ทิฏิคตะ ไปในทิฏฐิ เพราะหยั่งลงภายในทิฏฐิ ๖๒ บ้าง ชื่อว่า ทิฏิ คตะ. ทิฏฐิคตะเหล่านั้น ท่านกล่าวเป็นพหุวจนะ.
บทว่า นิพฺเพธภาคิยํ สมาธึ - สมาธิอันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส ได้แก่ สมาธิสัมปยุตด้วยวิปัสสนา. การละโดยอาการที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแห่งธรรมอันเป็นสังโยชน์ ด้วยอริยมรรคญาณ ดุจต้นไม้ที่ถูกสายฟ้าฟาด นี้ชื่อว่า สมุจเฉทปหานะ.
๑. องฺ. นวก. ๒๓/๒๑๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 355
บทว่า นิโรโธ นิพฺพานํ - นิโรธ คือ นิพพาน ได้แก่ นิพพาน กล่าวคือ นิโรธ.
๖๖] เพื่อแสดงธรรมที่ควรละด้วยปหานะอย่างนี้แล้วแสดงธรรมที่ควรละอีกโดยสรุป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพุทธพจน์มีอาทิว่า สพฺพํ ภิกฺขเว ปหาตพฺพํ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรละ.
ในธรรมเหล่านั้น ควรละธรรมมีจักษุเป็นต้น ด้วยการละฉันทราคะ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า รูปํ ปสฺสนฺโต ปชหาติ - เมื่อเห็นรูปย่อมละ ได้แก่ เมื่อพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควรละได้. เมื่อพิจารณาเห็น สำรวจ เพ่ง ปรารถนา อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ในสองไปยาลว่า จกฺขุํ ฯเปฯ ชรามรณํ ฯเปฯ อมโตคธํ นิพฺพานํ, อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ในโลกุตรธรรมเหล่านั้น มีอาทิว่า ปสฺสนฺโต ปชหาติ - เมื่อพิจารณาเห็น ย่อมละได้ ย่อมละกิเลสที่ควรละในขณะแห่งวิปัสสนา เพราะเหตุนั้นควรประกอบโดยอนุรูปแก่ธรรมนั้นๆ.
จบ อรรถกถาปหาตัพพนิทเทส
จบ อรรถกถาตติยภาณวาร