พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

มัคคสัจนิทเทส

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 พ.ย. 2564
หมายเลข  40900
อ่าน  683

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑

มัคคสัจนิทเทส

อรรถกถามรรคสัจนิทเทส

อรรถกถาสัจปกิณกะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 457

มัคคสัจนิทเทส

[๘๕] ในจตุรอริยสัจนั้น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ... สัมมาสมาธิ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริในความออกจากกาม ความดำริในความไม่พยาบาท ความดำริในความไม่เบียดเบียน นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 458

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาวาจาเป็นไฉน เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดคำหยาบ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาวาจา.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมากัมมันตะเป็นไฉนเจตนา เป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นี้ท่านกล่าวว่า สัมมากัมมันตะ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาอาชีวะเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมละอาชีพที่ผิด สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยอาชีพที่ชอบ นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาอาชีวะ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาวายามะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้เพื่อยังอกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ. เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ย่อมยังฉันทะให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตตั้งจิตไว้เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 459

เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาวายามะ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสติเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย พิจารณาเห็นเวทนาทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่... พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาสติ.

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสมาธิเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม เข้าปฐมฌานมีวิตก วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌานอันเป็นความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ภิกษุเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป เข้าตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่ เป็นสุข เข้าจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้ท่านกล่าวว่า สัมมาสมาธิ นี้ท่านกล่าวว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ชื่อว่าญาณ ด้วยอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา ด้วยอรรถ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 460

ว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า นี้ทุกข์ นี้ กขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ชื่อว่าสุตมยญาณ ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว ชื่อว่าสุตมยญาณอย่างนี้.

อรรถกถามรรคสัจนิทเทส

๘๕] พึงวินิจฉัยใน มรรคสัจนิทเทส ดังต่อไปนี้

บทว่า อยเมว คือ กำหนดธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อมรรคอื่น.

บทว่า อริโย ชื่อว่า อริยะ เพราะไกลจากกิเลสอันมาด้วยมรรคนั้นๆ. เพราะทำ ความเป็นพระอริยะ และเพราะทำการได้อริยผล. ชื่อว่า อัฏฐังคิกะ เพราะอรรถว่ามรรคนั้นมีองค์ ๘. มรรคนั้นดุจเสนามีองค์ ๔, องค์ มรรคดุจดนตรีมีองค์ ๕. พ้นจากองค์แล้วมีไม่ได้.

บัดนี้ พระสารีบุตรเมื่อแสดงว่ามรรคเป็นเพียงองค์เท่านั้น พ้นจากองค์แล้วมีไม่ได้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สมฺมาทิฏฺิ ฯเปฯ สมฺมาสมาธิ.

ในบทเหล่านั้น สัมมาทิฏฐิ มีการเห็นชอบเป็นลักษณะ. สัมมาสังกัปปะ มีการยกขึ้นเป็นลักษณะ. สัมมาวาจา มีการกำหนดเป็นลักษณะ. สัมมากัมมันตะ มีการให้ตั้งขึ้นเป็นลักษณะ. สัมมา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 461

อาชีวะ มีการให้ผ่องแผ้วเป็นลักษณะ. สัมมาวายามะ มีการประคองไว้เป็นลักษณะ. สัมมาสติ มีการเข้าไปตั้งมั่นเป็นลักษณะ. สัมมาสมาธิ มีการตั้งไว้เสมอเป็นลักษณะ.

ในมรรคเหล่านั้น มรรคหนึ่งๆ ย่อมมีกิจอย่างละ ๓. คือ สัมมาทิฏฐิ ย่อมละมิจฉาทิฏฐิกับกิเลสที่เป็นข้าศึกของตน แม้เหล่าอื่นก่อน, ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์, และเห็นสัมปยุตธรรม เพราะไม่หลง ด้วยสามารถกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมทั้งหลายได้. แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ก็ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น ได้เช่นเดียวกัน, และทำนิพพานให้เป็นอารมณ์. แต่โดยแปลกกันในบทนี้ สัมมาสังกัปปะ ยกขึ้นสู่สหชาตธรรมโดยชอบ สัมมาวาจา กำหนดเอาโดยชอบ. สัมมากัมมันตะ ให้ตั้งขึ้นโดยชอบ, สัมมาอาชีวะ ให้ผ่องแผ้วโดยชอบ, สัมมาวายามะ ประคองไว้โดยชอบ, สัมมาสติ ให้เข้าไปตั้งไว้โดยชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นไว้โดยชอบ.

อีกอย่างหนึ่ง สัมมาทิฏฐินี้ในส่วนเบื้องต้น มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน, ในกาลแห่งมรรคมีขณะอย่างเดียวกัน, มีอารมณ์อย่างเดียวกัน. แต่โดยกิจย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง มีอาทิว่า ทุกฺเข าณํ - ความรู้ในทุกข์. แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้นก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน, ในกาลแห่งมรรคมีขณะอย่างเดียวกัน มีอารมณ์อย่างเดียวกัน. ในมรรคเหล่านั้น สัมมาสังกัปปะโดยกิจย่อมได้ชื่อ ๓.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 462

อย่าง มี เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป เป็นต้น. มรรค ๓ สัมมาวาจา เป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น เป็นวิรัติบ้าง เป็นเจตนาบ้าง, แต่ในขณะแห่งมรรคเป็นวิรัติอย่างเดียว, สองบทนี้ คือ สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ โดยกิจย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง ด้วยสามารถสัมมัปธานและสติปัฏฐาน. ส่วนสัมมาสมาธิ แม้ในส่วนเบื้องต้น แม้ในขณะแห่งมรรคก็เป็นสมาธิเท่านั้น.

ในธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัมมาทิฏฐิไว้ก่อน เพราะเป็นธรรมมีอุปการะมากแก่พระโยคีผู้ปฏิบัติเพื่อถึงนิพพาน. เพราะสัมมาทิฏฐินี้ท่านกล่าวว่า ปญฺา ปชฺโชโต ปญฺาสตฺถํ (๑) ปัญญาเป็นแสงสว่าง เป็นดังศัสตรา. ฉะนั้น พระโยคาวจรกำจัดความมืด คือ อวิชชาด้วยสัมมาทิฏฐิ กล่าวคือ วิปัสสนาญาณนั้นในส่วนเบื้องต้น แล้วฆ่าโจรคือกิเลสเสียได้ ย่อมถึงนิพพานโดยเกษม. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงสัมมาทิฏฐิไว้ก่อน.

ส่วนสัมมาสังกัปปะมีอุปการะมากแก่สัมมาทิฏฐินั้น, เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในลำดับต่อไป. เหมือนอย่างว่า เหรัญญิกใช้มือพลิกกลับไปกลับมาดูกหาปณะด้วยตาก็ย่อมรู้ว่า นี้ปลอม นี้ไม่ปลอมฉันใด, แม้พระโยคาวจรก็ฉัน ในส่วนเบื้องต้นตรึกแล้ว


๑. อภิ. สํ. ๓๔/๓๕, ๔๕.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 463

ตรึกเล่าด้วยวิตก มองดูด้วยวิปัสสนาปัญญา ย่อมรู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร, เหล่านี้เป็นรูปาวจรเป็นต้น. หรือเหมือนอย่างว่าช่างไม้เอาขวานถากไม้ใหญ่ที่บุรุษจับไว้ที่ปลาย แล้วพลิกไปพลิกมาให้นำเข้าไปใช้ในการงานฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น กำหนดธรรมอันวิตกตรึกไปตรึกมาให้แล้วด้วยปัญญาโดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกามาวจร เหล่านี้เป็นรูปาวจรเป็นต้น แล้วนำเข้าไปในการงาน. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาสังกัปปะไว้ในลำดับสัมมาทิฏฐิ. สัมมาสังกัปปะเป็นอุปการะ แม้แก่สัมมาวาจาเหมือนเป็นอุปการะแก่สัมมาทิฏฐิฉะนั้น. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนคหบดี พระโยคาวจรตรึกตรองในเบื้องต้นแล้วจึงเปล่งวาจาในภายหลังดังนี้ (๑) เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสสัมมาวาจาในลำดับจากนั้น.

อนึ่ง เพราะชนทั้งหลายจัดแจงการงานด้วยวาจาก่อนว่า เราจักทำสิ่งนี้ๆ แล้วจึงประกอบการงานในโลก ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมากัมมันตะไว้ในลำดับของสัมมาวาจา เพราะวาจาเป็นอุปการะแก่การทำงานทางกาย.

ก็เพราะอาชีวมัฏฐมกศีล - ศีลมีอาชีวะเป็นที่ ๘ ย่อมบริบูรณ์แก่ผู้ละวจีทุจริต ๔ อย่าง กายทุจริต ๓ อย่าง แล้วบำเพ็ญสุจริตทั้งสอง


๑. ม. มู. ๑๒/๕๐๙.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 464

ไม่บริบูรณ์แก่ผู้บำเพ็ญนอกไปจากนี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาอาชีวะไว้ในลำดับต่อจากทั้งสองนั้น.

อันผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ไม่ควรทำความยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า อาชีวะของเราบริสุทธิ์ แล้วอยู่ด้วยความหลับและความประมาทอย่างนี้, ที่แท้ควรปรารภความเพียรนี้ในทุกอิริยาบถ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสสัมมาวายามะไว้ในลำดับต่อจากนั้น.

จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงว่า อันผู้ปรารภความเพียรควรทำความตั้งสติมั่นในวัตถุ ๔ อย่างมีกายเป็นต้น จึงตรัสสัมมาสติไว้ในลำดับต่อจากนั้น.

เพราะเมื่อสติตั้งมั่นดีอย่างนี้แล้ว จิตแสวงหาคติแห่งธรรมที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูลแก่สมาธิ ย่อมเพียงพอเพื่อตั้งมั่นในอารมณ์ คือ ความเป็นอันเดียว ฉะนั้น พึงทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสัมมาสมาธิในลำดับต่อจากสัมมาสติ.

พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาทิฏฐินิทเทสดังต่อไปนี้

พระสารีบุตรแสดงจตุสัจกรรมฐานด้วยมีอาทิว่า ทุกฺเข าณํ ดังนี้.

บรรดาสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ข้างต้นเป็นวัฏฏะ, ๒ ข้างหลังเป็นวิวัฏฏะ. ในสัจจะเหล่านั้น ความยึดมั่นกรรมฐานในวัฏฏะย่อมมีแก่ภิกษุ ความยึดมั่นในวิวัฏฏะย่อมไม่มี. เพราะพระโยคาวจรเรียนสัจจะ ๒ ข้างต้นในสำนักอาจารย์โดยสังเขปอย่างนี้ว่า ปญฺจกฺ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 465

ขนฺธา ทุกฺขํ, ตณฺหา สมุทโย - ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์, เละโดยพิสดารว่า กตเม ปญฺจกฺขนฺขฺธา, รูปกฺขนฺโธ ขันธ์ ๕ เป็นไฉน, คือ รูปขันธ์เป็นต้น แล้วท่องกลับไปมาบ่อยๆ ด้วยวาจา ย่อมทำกรรม. ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้พระโยคาวจรทำกรรมด้วยการฟังเท่านั้นอย่างนี้ว่า นิโรธสจฺจํ อิฏฺํ กนฺตํ มนาปํ, มคฺคสจฺจํ อิฏฺฐํ กนฺตํ มนาปํ - นิโรธสัจ น่าใคร่ นำปรารถนา น่าชอบใจ มรรคสัจ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ. พระโยคาวจรนั้น เมื่อทำกรรมอย่างนี้ ย่อมแทงตลอดสัจจะ ๔ โดยการแทงตลอดครั้งเดียว ย่อมตรัสรู้โดยการตรัสรู้ครั้งเดียวเหมือนกัน. ย่อมแทงตลอดทุกข์โดยการแทงตลอดด้วยปริญญา ย่อมแทงตลอดสมุทัยโดยการแทงตลอดด้วยปหานะ ย่อมแทงตลอดนิโรธโดยการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา. ย่อม แทงตลอดมรรคโดยการแทงตลอดด้วยภาวนา. ย่อมตรัสรู้ทุกข์โดยการตรัสรู้ด้วยปริญญา ฯลฯ ย่อมตรัสรู้มรรคโดยการตรัสรู้ด้วยภาวนา.

การแทงตลอดด้วยการเรียน การสอบถาม การฟัง การทรงไว้ และการพิจารณาในสัจจะ ๒ ในส่วนเบื้องต้น ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น, ในสัจจะ ๒ ย่อมมีการแทงตลอดด้วยการฟังอย่างเดียว. ในส่วนอื่นย่อมมีการแทงตลอดโดยกิจในสัจจะ ๓ ย่อมมีการแทงตลอดโดยอารมณ์ในนิโรธ. ในสัจจะเหล่านั้น ความรู้ด้วยการแทงตลอดแม้ทั้งหมดเป็นโลกุตระ, ความรู้ด้วยการฟัง การทรงไว้ และการพิจารณาเป็นโลกิย

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 466

กามาวจร ส่วนการพิจารณาย่อมมีแก่มรรคสัจจะ นี้เป็นอาทิกัมมิกะกรรมเบื้องต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวการพิจารณานั้นไว้ในที่นี้. อนึ่ง การพิจารณาด้วยความผูกใจ ความรวบรวม ความใส่ใจว่า เรารู้ทุกข์ เราละสมุทัย เราทำให้แจ้งนิโรธ เราเจริญภาวนา ดังนี้. ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ผู้กำหนดไว้ก่อน. ย่อมมีได้ตั้งแต่ขณะกำหนด. ส่วนในภายหลังทุกข์เป็นอันภิกษุกำหนดรู้แล้ว ฯลฯ มรรคเป็นอันภิกษุ เจริญแล้ว.

ในสัจจะเหล่านั้น สัจจะ ๒ ลึกซึ้งเพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ เห็นได้ยากเพราะลึกซึ้ง. จริงอยู่ทุกขสัจจะปรากฏแต่เกิด. ในขณะถูกตอและหนามทิ่มแทงเป็นต้น ก็ร้องว่าโอยเจ็บ! สมุทยสัจจะปรากฏ แต่เกิดด้วยอยากจะเคี้ยวอยากจะกินเป็นต้น. สัจจะแม้ทั้งสอง ชื่อว่า ลึกซึ้ง เพราะแทงตลอดด้วยลักษณะ. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากด้วยประการฉะนี้. การประกอบความเพียรเพื่อเห็นสัจจะ ๒ อย่าง นอกนี้ก็เหมือนเหยียดมือเพื่อถือเอาภวัคคพรหม เหมือนเหยียดเท้าเพื่อสัมผัสอเวจี และเหมือนการจรดปลายขนทรายที่แยกออกร้อยส่วนด้วยปลายขนทราย. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้งด้วยประการฉะนี้.

พระสารีบุตรกล่าวบทมีอาทิว่า ทุกเข าณํ นี้หมายถึงการเกิดแห่งญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้นด้วยการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 467

ชื่อว่าลึกซึ้งเพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่าเห็นได้ยากเพราะลึกซึ้ง แต่ในขณะแทงตลอดญาณนั้นเป็นอย่างเดียวเท่านั้น.

ส่วนอาจารย์เหล่าอื่นกล่าวว่า ญาณในสัจจะทั้งหลายมี ๔ อย่าง คือ สุตมยญาณ - ญาณเกิดจากการฟัง ๑ ววัตถานญาณ - ญาณเกิดจากการกำหนด ๑ สัมมสนญาณ - ญาณเกิดจากการพิจารณา ๑ อภิสมยภาณ - ญาณเกิดจากการตรัสรู้ ๑.

ในญาณเหล่านั้น สุตมยญาณ เป็นไฉน? พระโยคาวจรฟังสัจจะ ๔ โดยย่อหรือโดยพิสดารย่อมรู้ว่า นี้ทุกข์, นี้สมุทัย, นี้นิโรธ, นี้มรรค. นี้ชื่อว่า สุตมยญาณ.

ววัตถานญาณ เป็นไฉน? พระโยคาวจรนั้นย่อมกำหนดความของการฟัง โดยธรรมดา และโดยลักษณะ ย่อมลงความเห็นว่า ธรรมเหล่านี้นับเนื่องในสัจจะนี้ นี้เป็นลักษณะของสัจจะนี้ นี้ชื่อว่า ววัตถานญาณ.

สัมมสนญาณ เป็นไฉน? พระโยคาวจรนั้นกำหนดสัจจะ ๔ ตามลำดับอย่างนี้แล้วถือเอาทุกข์เท่านั้น ย่อมพิจารณาตลอดไปถึงโคตรภูญาณ โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา นี้ชื่อว่า สัมมสนญาณ.

อภิสมยญาณ เป็นไฉน? พระโยคาวจรนั้นตรัสรู้สัจจะ ๔ ด้วยญาณหนึ่ง ในขณะโลกุตรมรรค ไม่ก่อน ไม่หลัง คือย่อมตรัสรู้

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 468

ทุกข์ โดยการตรัสรู้ด้วยการกำหนดรู้, ย่อมตรัสรู้สมุทัย โดยการตรัสรู้ด้วยการละ, ย่อมตรัสรู้ นิโรธ โดยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง, ย่อมตรัสรู้ มรรค โดยการตรัสรู้ด้วยการเจริญ นี้ชื่อว่า อภิสมยญาณ.

พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาสังกัปปนิทเทสดังต่อไปนี้

ชื่อว่า เนกขัมมสังกัปโป เพราะอรรถว่าออกไปจาก กาม.

ชื่อว่า อัพยาปาทสังกัปโป เพราะอรรถว่าออกไปจาก พยาบาท.

ชื่อว่า อวิหิงสาสังกัปโป เพราะอรรถว่าออกไปจาก วิหิงสา.

ในวิตกเหล่านั้น เนกขัมมวิตก ทำการทำลายเหตุ ตัดเหตุของ กามวิตก เกิดขึ้น, อัพยาปาทวิตก ทำการทำลายเหตุ ตัดเหตุของ พยาปาทวิตก เกิดขึ้น, อวิหิงสาวิตก ทำการทำลายเหตุ ตัดเหตุของ วิหิงสาวิตก เกิดขึ้น อนึ่ง เนกขัมมวิตก อัพยาปาทวิตก อวิหิงสาวิตก เป็นข้าศึกของกามวิตก พยาปาทวิตก และวิหิงสาวิตกเกิดขึ้น.

ในวิตกเหล่านั้น พระโยคาวจรย่อมพิจารณากามวิตกหรือสังขารอย่างใดอย่างหนึ่งอื่น เพื่อทำลายเหตุแห่งกามวิตก. อนึ่ง ความดำริสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ในขณะแห่งวิปัสสนาของพระโยคาวจรนั้น ทำการทำลายเหตุ ตัดเหตุของกามวิตกด้วยสามารถตทังคะ - ชั่วขณะนั้นเกิดขึ้น, พระโยคาวจรขวนขวายวิปัสสนาแล้วบรรลุมรรค. อนึ่ง ความดำริสัมปยุตด้วยมรรคในขณะแห่งมรรคของพระโยคาวจรนั้น ทำ การทำลายเหตุ ตัดเหตุของกามวิตกด้วยสามารถสมุจเฉท - การตัดขาด

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 469

เกิดขึ้น. พระโยคาวจรย่อมพิจารณาพยาปาทวิตก หรือสังขารอื่น เพื่อทำลายเหตุแห่งพยาปาทวิตก, พิจารณาวิหิงสาวิตก, หรือสังขารอื่นเพื่อทำลายเหตุแห่งวิหิงสาวิตก. อนึ่ง พึงประกอบบททั้งปวงว่า อสฺส วิปสฺสนากขเณ - ในขณะแห่งวิปัสสนาของพระโยคาวจรนั้น โดยนัยก่อนนั่นแล.

ก็เมื่อจำแนกอารมณ์ ๓๘ ไว้ในบาลี แม้กรรมฐานอย่างหนึ่ง ชื่อว่าไม่เป็นข้าศึก แก่วิตก ๓ มีกามวิตกเป็นต้น ย่อมไม่มี. ปฐมฌานในอสุภะนั่นแล เป็นข้าศึกของกามวิตกโดยส่วนเดียว. ฌานหมวด ๓ หมวด ๔ แห่งเมตตาเป็นข้าศึกของพยาปาทวิตก, ฌานหมวด ๓ หมวด ๔ แห่งกรุณาเป็นข้าศึกของวิหิงสาวิตก. เมื่อพระโยคาวจรนั้นกระทำการบริกรรมอสุภะแล้วเข้าฌานวิตกสัมปยุตด้วยฌานในขณะแห่งการเข้าสมาบัติเป็นข้าศึกของกามวิตกด้วยสามารถวิกขัมภนะการข่มไว้เกิดขึ้น. เมื่อพระโยคาวจรทำฌานให้เป็นบาทแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา ความดำริสัมปยุตด้วยวิปัสสนาในขณะแห่งวิปัสสนา เป็นข้าศึกของกามวิตกด้วยสามารถชั่วขณะนั้นเกิดขึ้น. เมื่อพระโยคาวจรขวนขวายวิปัสสนาแล้วบรรลุมรรค ความดำริสัมปยุตด้วยมรรคในขณะแห่งมรรคเป็นข้าศึกของกามวิตกด้วยสามารถการตัดได้เด็ดขาดเกิดขึ้น. ความดำริอันเกิดขึ้นอย่างนี้ พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 470

พึงทราบบททั้งปวงว่า พระโยคาวจรทำบริกรรมด้วยเมตตา, ทำบริกรรมด้วยกรุณาแล้วเข้าฌาน โดยนัยก่อนนั่นแล. ความดำริอันเกิดขึ้นอย่างนี้ พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า อพฺยาปาทสงฺกปฺ อวิหิงฺสาสงฺกปฺโป. เนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น เหล่านี้ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะการเกิดขึ้นต่างด้วยอำนาจวิปัสสนาและฌาน, แต่ความดำริที่เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นยังองค์มรรคให้บริบูรณ์ด้วยทำการไม่เกิดให้ สำเร็จ เพราะตัดเหตุแห่งความดำริที่เป็นอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะ ๓ เหล่านี้ ในขณะแห่งมรรคเกิดขึ้น นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ.

พึงทราบวินิจฉัยใน สัมมาวาจานิทเทส ดังต่อไปนี้

เพราะภิกษุเว้นจากมุสาวาทด้วยจิตอื่น เว้นจากปิสุณาวาจาเป็นต้นด้วยจิตอื่นๆ ฉะนั้นการเว้นอย่างนี้ จึงต่างกันในส่วนเบื้องต้น, แต่ในขณะแห่งมรรค การเว้นที่เป็นกุศลกล่าวคือสัมมาวาจาอย่างเดียวเท่านั้น ยังองค์มรรค ๘ ให้บริบูรณ์ด้วยสามารถทำความไม่เกิดให้สำเร็จได้ เพราะตัดทางแห่งเจตนาอันเป็นอกุศล และความเป็นผู้ทุศีล ๔ อย่าง กล่าวคือมิจฉาวาจาย่อมเกิดขึ้น นี้ชื่อว่า สัมมาวาจา.

พึงทราบวินิจฉัยใน สัมมากัมมันตนิทเทส ดังต่อไปนี้

เพราะภิกษุเว้นจากปาณาติบาตด้วยจิตอื่น เว้นจากอทินนาทานด้วยจิตอื่น เว้นจากมิจฉาจารด้วยจิตอื่น ฉะนั้นการเว้น ๓ อย่างเหล่านี้จึงต่างกัน ในส่วนเบื้องต้น แต่ในขณะแห่งมรรค การเว้นที่เป็นกุศลกล่าวคือ

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 471

สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างเดียว ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์ด้วยสามารถทำการไม่เกิดให้สำเร็จ เพราะตัดทางแห่งเจตนาอันเป็นอกุศล และความเป็นผู้ทุศีล ๓ อย่าง ได้แก่ มิจฉากัมมันตะเกิดขึ้น. นี้ ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ.

พึงทราบวินิจฉัยใน สัมมาอาชีวนิทเทส ดังต่อไปนี้

บทว่า อิธ ได้แก่ ในศาสนานี้.

บทว่า อริยสาวโก ได้แก่ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นอริยะ.

บทว่า มิจฺฉาอาชีวํ ปหาย ได้แก่ ละอาชีวะที่ลามก.

บทว่า สมฺมาอาชีเวน ได้แก่ อาชีพที่ดีที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ.

บทว่า ชีวิตํ กปฺเปติ-สำเร็จความเป็นอยู่ ได้แก่ ยังความเป็นไปของชีวิตให้เป็นไป.

เพราะภิกษุในศาสนานี้ เว้นจากการก้าวล่วงทางกายทวารด้วยจิตอื่น เว้นจากการก้าวล่วงทางวจีทวารด้วยจิตอื่น ฉะนั้นอาชีวะย่อมเกิดขึ้นในขณะต่างๆ กันในส่วนเบื้องต้น แต่ในขณะแห่งมรรคการเว้นที่เป็นกุศล กล่าวคือ สัมมาอาชีวะเป็นอย่างเดียว ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์ด้วยสามารถทำความไม่เกิดให้เสร็จ เพราะตัดทางแห่งเจตนาอันเป็นมิจฉาอาชีวะ และความเป็นผู้ทุศีลอันเกิดขึ้นด้วยสามารถกรรมบถ ๗ ในทวาร ๒ เกิดขึ้น นี้ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ.

พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาวายามนิทเทส ดังต่อไปนี้

บทว่า อิธ ภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุผู้ปฏิบัติในศาสนานี้.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 472

บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ได้แก่ ยังไม่เกิด.

บทว่า ปาปกานํ ได้แก่ ลามก.

บทว่า อกุสลานํ ธมฺมานํ ได้แก่ ธรรมที่เป็นอกุศล.

บทว่า อนุปฺปาทาย ได้แก่ เพื่อไม่ให้เกิดขึ้น.

บทว่า ฉนฺทํ ชเนติ - ย่อมยังฉันทะให้เกิดขึ้น ได้แก่ ยังฉันทะในกุศล กล่าวคือความเป็นผู้ใคร่ทำให้เกิด คือ ให้เกิดขึ้น.

บทว่า วายมติ-ย่อมพยายาม ได้แก่ ยังความเพียรให้เกิด คือ ทำความเพียร.

บทว่า วีริยํ อารภติ- ปรารภความเพียร ได้แก่ ทำความเพียรทางกายและทางจิต.

บทว่า จิตฺตํ ปคฺคณหาติ - ประคองจิต ได้แก่ ยกจิตขึ้นด้วยความเพียรอันรวมกันนั้นนั่นเอง.

บทว่า ปทหติ - ตั้งจิตไว้ ได้แก่ ทำความเพียรเป็นที่ตั้ง. พึงประกอบบท ๔ บทเหล่านี้ ด้วย อาเสวนา- การเสพ ภาวนา- การเจริญ พหุลีกรรม-การทำให้มาก สาตัจจกิริยา-การทำติดต่อ ตามลำดับไป.

บทว่า อุปฺปนฺนานํ-ที่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ ถึงความไม่ควรจะกล่าวว่า อนุปฺปนฺานํ - ที่ยังไม่เกิด.

บทว่า ปหานาย ได้แก่ เพื่อละ,

บทว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ได้แก่ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด.

บทว่า อุปฺปาทาย ได้แก่ เพื่อให้เกิดขึ้น.

บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ ที่เกิดขึ้นแล้ว.

บทว่า ิติยา ได้แก่ เพื่อความตั้งมั่น.

บทว่า อสมฺโมสาย - เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน ได้แก่ เพื่อความไม่ฉิบหาย.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 473

บทว่า ภิยฺโยภาวาย - เพื่อความเจริญโดยยิ่ง ได้แก่ เพื่อความเจริญบ่อยๆ.

บทว่า เวปุลฺลาย ได้แก่ เพื่อความไพบูลย์.

บทว่า ภาวนาย ได้แก่ เพื่อความเจริญ.

บทว่า ปาริปูริยา ได้แก่ เพื่อความบริบูรณ์.

ก็สัมมัปธาน ๔ อัน ได้แก่ สัมมาวายามะ เหล่านี้เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น เป็นโลกุตระในขณะแห่งมรรค. แต่ในขณะแห่มรรค ความเพียรอย่างเดียวเท่านั้นย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง ด้วยสามารถทำกิจ ๔ อย่างให้สำเร็จ.

ในสัมมัปธานเหล่านั้น พึงทราบสัมมัปธานที่เป็นโลกิยะ โดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ในกัสสปสังยุตนั่นแล. ในกัสสปสังยุตนั้นท่านกล่าวไว้ว่า

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สัมมัปธาน ๔ เหล่านี้. สัมมัปธาน ๔ เป็นไฉน? ดูก่อนอาวุโส ภิกษุในศาสนานี้ทำความเพียรว่า อกุศลธรรมอันลามกยังไม่เกิดแก่เรา เมื่อเกิดพึงเป็นไปเพื่อความฉิบหาย, ภิกษุทำความเพียรว่า อกุศลธรรมอันลามกเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เมื่อยังละไม่ได้พึงเป็นไปเพื่อความฉิบหาย, ภิกษุความเพียรว่า กุศลธรรมยังไม่เกิดแก่เรา เมื่อไม่เกิดขึ้น จะพึงเป็นไปเพื่อความฉิบหาย, ภิกษุทำความเพียรว่า กุศลธรรม

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 474

เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เมื่อดับไปพึงเป็นไปเพื่อความฉิบหายดังนี้. (๑)

ในบทเหล่านั้นบทว่า อนุปฺปนฺนา ได้แก่ กิเลสที่ยังไม่เกิดด้วยความไม่ปรากฏ หรือด้วยอารมณ์ที่ยังไม่เกิด. อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดในสงสารอันไม่รู้เบื้องต้นและที่สุดโดยประการอื่น ย่อมไม่มี, อกุศลธรรมเหล่านี้นั่นแหละ ที่ยังไม่เกิดและเมื่อเกิดก็ย่อมเกิด, แม้เมื่อละก็ย่อมละได้.

ในบทนั้น กิเลสทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ ด้วยสามารถวัตร คันถะ ธุดงค์ สมาธิ วิปัสสนา นวกรรม และภพอย่างใดอย่างหนึ่ง แก่ภิกษุบางรูป. ถามว่า อย่างไร? ตอบว่า เพราะภิกษุบางรูปเป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร กิเลสทั้งหลายไม่ได้โอกาสแก่ภิกษุผู้ประพฤติขันธกวัตร ๘๐ (๒) มหาวัตร ๑๔ (๓) และเจติยังคณวัตร - บูชาลานเจดีย์ โพธิยังคณวัตร - บูชาลานโพธิ์ ปานียมาฬกวัตร - ตั้งน้ำดื่มไว้ที่เรือนยอด อุโปสถาคารวัตร - ปฏิบัติในโรงอุโบสถ อาคันตุกวัตร - ต้อนรับภิกษุผู้จรมา คมิกวัตร - ปฏิบัติต่อภิกษุผู้เตรียมจะไป แต่ภายหลังเมื่อภิกษุนั้นสละวัตรทั้งหลาย ทำลายวัตรเที่ยวไป กิเลสทั้งหลายอาศัยความ


(๑) สํ. นิ. ๑๖/๔๖๘

(๒) ขุ.ป. ๓๑/๖๑

(๓) วิ. จุ. ๗/๔๑๔

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 475

ไม่ใส่ใจ และความปล่อยสติ ย่อมเกิดขึ้นได้. แม้ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น

ภิกษุบางรูปเป็นผู้ประกอบด้วยคันถะ, ย่อมเรียนนิกาย ๑ บ้าง ๒ นิกายบ้าง ๓ นิกายบ้าง ๔ นิกายบ้าง ๕ นิกายบ้าง. กิเลสทั้งหลายย่อมไม่ได้โอกาสแก่ภิกษุนั้นผู้เรียน ท่อง คิด บอก แสดง ชี้แจงพระไตรปิฎกอันเป็นพุทธวจนะ ด้วยบาลี ด้วยการสืบต่อ ด้วยบทต้นบทหลัง. แต่ภายหลังเมื่อภิกษุนั้นละการเรียนคัมภีร์ เกียจคร้านเที่ยวเตร่ กิเลสทั้งหลายอาศัยความไม่ใส่ใจ ความปล่อยสติ ย่อมเกิดขึ้นได้. แม้ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่า ย่อมเกิดขึ้น.

ภิกษุบางรูปเป็นผู้ทรงธุดงค์ ปฏิบัติธุดงคคุณ ๑๓, กิเลสย่อมไม่ได้โอกาสแก่ภิกษุนั้นผู้ปฏิบัติธุดงคคุณ แต่ภายหลังเมื่อภิกษุนั้นสละธุดงค์เสีย เวียนมาเพื่อความมักมากเที่ยวเตร่ กิเลสทั้งหลายอาศัยความไม่ใส่ใจ ความปล่อยสติ ย่อมเกิดขึ้น. แม้ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น.

ภิกษุบางรูปเป็นผู้เจริญวิปัสสนา, ปฏิบัติอยู่ในอนุปัสสนา ๗ (๑) หรือมหาวิปัสสนา ๑๘ (๒) เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติอยู่อย่างนี้ กิเลสทั้งหลาย


๑. ขุ. ป. ๓๑/๗๒๗ ๒.ขุ. ป. ๓๑/.๖๑ - ๖๒

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 476

ย่อมไม่ได้โอกาส. แต่ภายหลังเมื่อภิกษุนั้นเลิกบำเพ็ญวิปัสสนามากไป ด้วยการยึดมั่นกายกิเลสทั้งหลายอาศัยความไม่ใส่ใจ ความปล่อยสติย่อมเกิดขึ้น. แม้ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น.

ภิกษุบางรูปเป็นนวกัมมิกะ, ทำการก่อสร้างโรงอุโบสถและหอฉันเป็นต้น, เมื่อภิกษุนั้นคิดถึงอุปกรณ์การก่อสร้างโรงอุโบสถและหอฉันเหล่านั้นอยู่ กิเลสทั้งหลายยังไม่ได้โอกาส. แต่ภายหลังเมื่อนวกรรมของภิกษุนั้นสำเร็จแล้วหรือทอดทิ้งเสีย กิเลสทั้งหลายอาศัยความไม่ ใส่ใจ ความปล่อยสติ ย่อมเกิดขึ้น. แม้ด้วยประการฉะนี้ กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น.

ภิกษุบางรูปมาจากพรหมโลก เป็นสัตว์บริสุทธิ์, กิเลสทั้งหลายย่อมไม่ได้โอกาสด้วยการไม่ซ่องเสพของภิกษุนั้น, แต่ภายหลังเมื่อภิกษุนั้นซ่องเสพสิ่งที่ได้มา กิเลสทั้งหลายอาศัยความไม่ใส่ใจ ความปล่อยสติ ย่อมเกิดขึ้น. แม้ด้วยประการฉะนี้กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏ ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น. พึงทราบความที่กิเลสยังไม่เกิด ด้วยยังไม่ปรากฏอย่างนี้.

กิเลสยังไม่เกิดด้วยอารมณ์ที่ไม่เคยเกิดเป็นอย่างไร? ภิกษุบางรูปในศาสนาได้อารมณ์ที่น่าพอใจเป็นต้น ซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน, กิเลส

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 477

ทั้งหลายมีราคะเป็นต้น อาศัยความไม่ใส่ใจ ความปล่อยสติของภิกษุนั้น ย่อมเกิดขึ้น, ด้วยประการฉะนี้ กิเลสที่ยังไม่เกิดด้วยอารมณ์ที่ไม่เคยเกิด ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น เมื่อมีอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นอย่างนี้ ภิกษุเห็นความฉิบหายของตน ย่อมเจริญสัมมัปธานข้อต้นด้วยเจริญสติปัฏฐาน เพื่อความไม่เกิดแห่งอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดเหล่านั้น, เมื่ออกุศลธรรมเหล่านั้นเกิด. ภิกษุเห็นความฉิบหายของตน เพราะไม่ละอกุศลธรรมเหล่านั้น แล้วจึงเจริญสัมมัปธานข้อที่สอง เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านั้น.

บทว่า อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมฺา - กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ได้แก่ สมถวิปัสสนาและมรรค. ภิกษุเห็นความฉิบหายของตนในเพราะกุศลธรรมเหล่านั้นที่ยังไม่เกิด แล้วจึงเจริญสัมมัปธานข้อที่สาม เพื่อให้กุศลธรรมเหล่านั้นเกิด.

บทว่า อุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา - กุศลธรรมที่เกิดแล้ว ได้แก่ สมถวิปัสสนานั่นเอง. ส่วนมรรคเกิดครั้งเดียวแล้วดับ จะไม่เป็นไปเพื่อความฉิบหายเลย. เพราะมรรคนั้นให้ปัจจัยแก่ผลแล้วก็ดับไป. ภิกษุครั้นเห็นความฉิบหายของตน เพราะสมถะและวิปัสสนาเหล่านั้นดับไป จึงเจริญสัมมัปธานข้อที่สี่ เพื่อความตั้งมั่นแห่งสมถะและวิปัสสนาเหล่านั้น. ในขณะแห่งโลกุตรมรรค ย่อมเจริญวิริยะอย่างเดียวเท่านั้น.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 478

ภิกษุย่อมยังกิจ คือ ความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมเหล่านั้น ที่ยังไม่เกิดขึ้นและกิจคือการละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้สำเร็จ เหมือนอย่างที่กุศลธรรมยังไม่เกิดพึงเกิดขึ้น.

อนึ่งในบทว่า อุปฺปนฺนา นี้ อุปปันนะ คือธรรมที่เกิดขึ้นมี ๔ อย่าง คือ

วตฺตมานุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นกำลังเป็นไป ๑

ภูตาปคตุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นเสพอารมณ์แล้วดับไป ๑

โอกาสกตุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นทำโอกาส ๑

ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นในภูมิที่ได้ ๑.

ในอุปปันนะเหล่านั้น ธรรมที่เกิดมาพร้อมกับ อุปปาทะ ชรา ภังคะ - เกิด แก่ ตาย ชื่อว่า วตฺตมานุปฺปนฺนํ.

กุศลอกุศลเสวยรสอารมณ์แล้วดับไป คือ เสพแล้วก็ปราศไป และสังขตธรรมที่เหลือ กล่าวคือ เข้าถึงลักษณะ ๓ มีอุปปาทะเป็นต้น แล้วดับไปคือเสพแล้ว เป็นไปทั่วแล้ว ชื่อว่า ภูตาปคคุปฺปนฺนํ.

ชื่อว่า โอกาสกตุปฺปนฺนํ เพราะห้ามกรรมอันเป็นวิบากอื่นที่มีอยู่ แม้ในอดีตดังที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า กรรมที่ผู้นั้นได้ทำไว้แล้วในชาติก่อน (๑) แล้วทำโอกาสแห่งวิบากของตนตั้งอยู่ และ


๑. ม. อุ. ๑๔/๔๗๑.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 479

เพราะวิบากอันเป็นโอกาสที่ตนทำไว้แล้วอย่างนั้น แม้ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้นโดยส่วนเดียวในโอกาสที่ตนทำไว้อย่างนั้น

อกุศลที่ยังไม่ถอนในภูมิ ๓ นั้นๆ ชื่อว่า ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ.

อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบความต่างกันของ ภูมิ และ ภูมิลัทธะ - ภูมิอันได้แล้ว จริงอยู่ขันธ์ ๕ อันเป็นไปในภูมิ ๓ เป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนา ชื่อว่า ภูมิ กิเลสชาตอันควรเกิดในขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่า ภูมิลัทธะ, เพราะเหตุที่กิเลสนั้นได้ภูมิ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ภูมิลัทธะ, ภูมินั้นไม่ได้ด้วยอารมณ์. จริงอยู่กิเลสทั้งหลายปรารภขันธ์ แม้ ทั้งหมดทั้งในอดีต อนาคต และแม้ที่พระขีณาสพกำหนดรู้แล้ว ย่อมเกิดขึ้นด้วยอารมณ์. ผิว่าอารมณ์จะพึงชื่อว่า ภูมิลัทธะ แล้ว ใครๆ ก็จะพึงละมูลรากของภพไม่ได้ เพราะละภูมิลัทธะนั้นยังไม่ได้. อนึ่ง พึงทราบ ภูมิลัทธะ ด้วยสามารถวัตถุ จริงอยู่ขันธ์ที่กำหนดรู้ไม่ได้ด้วยวิปัสสนาใน ภูมิลัทธะ ใดๆ , กิเลสชาตอันเป็นมูลของวัฏฏะจำเดิมแต่ใน ภูมิลัทธะ นั้น ย่อมนอนเนื่องอยู่ในขันธ์เหล่านั้น. พึงทราบว่า กิเลสชาต นั้น ชื่อว่า ภูมิลัทธะ ด้วยอรรถว่ายังละไม่ได้.

อนึ่ง ในบทนั้นมีความว่า ขันธ์ทั้งหลายของผู้ที่มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ด้วยอรรถว่ายังละไม่ได้ เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสเหล่านั้น. ขันธ์ทั้งหลายมิใช่ของคนอื่น อนึ่ง ขันธ์ในอดีตเป็นที่ตั้งของกิเลสที่ยังละไม่ได้และนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ในอดีต. ขันธ์นอกนี้ไม่เป็นที่ตั้ง ขันธ์

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 480

ในอนาคตเป็นต้น ก็มีนัยนี้. อนึ่ง กามาวจรขันธ์นั่นแลเป็นที่ตั้งของกิเลสที่ยังละไม่ได้และนอนเนื่องอยู่ในกามาวจรขันธ์, ขันธ์นอกนี้ไม่เป็นที่ตั้ง. ในรูปาวจรขันธ์และอรูปาวจรขันธ์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในโสดาบันเป็นต้น กิเลสใดอันเป็นมูลของวัฏฏะนั้นๆ ในขันธ์ พระอริยบุคคลใดๆ ละได้ด้วยมรรคนั้นๆ , ขันธ์เหล่านั้นของพระอริยบุคคลนั้นๆ ไม่นับว่าเป็นภูมิ เพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอันเป็นมูลของวัฏฏะเหล่านั้นซึ่งละได้แล้ว. กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลทำ ย่อมมีแก่ปุถุชนโดยประการทั้งปวง เพราะยังละกิเลสอันเป็นมูลแห่งวัฏฏะยังไม่ได้, วัฏฏะอันเป็นปัจจัยของกรรมกิเลส ย่อมควรแก่ผู้นั้นด้วยประการฉะนี้, ธรรมนั้นของบุคคลนั้นๆ เป็นมูลของวัฏฏะในรูปขันธ์นั่นเอง, ไม่ใช่ในเวทนาขันธ์เป็นต้น. หรือใน วิญญาณขันธ์เท่านั้น. ไม่ควรกล่าวว่า ไม่ใช่ในรูปขันธ์เป็นต้น.

เพราะเหตุไร? เพราะกิเลสนอนเนื่องอยู่ในขันธ์แม้ทั้ง ๕ โดยไม่แปลกกัน. อย่างไร? เหมือนรสดิน (ปวีรสํ) เป็นต้น อยู่ในต้นไม้. เหมือนอย่างว่า เมื่อต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นดิน อาศัยรสดินและรสน้ำ (อาโปรสํ) งอกงามด้วยราก ลำต้น กิ่งน้อยใหญ่ ใบอ่อน ใบแก่ ดอก และผล เพราะรสดิน รสน้ำนั้น เต็มฟ้า จนสิ้นกัป สืบเชื้อสายของต้นไม้ด้วยการผลิตพืชต่อๆ กันมาดำรงอยู่, พืชไม้นั้นตั้งอยู่ที่รากมีรสดิน

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 481

เป็นต้นเท่านั้น, ไม่ใช่ที่ลำต้นเป็นต้น, หรือในผลเท่านั้น, ไม่ควรกล่าวว่า ไม่ใช่ที่รากเป็นต้น.

เพราะเหตุไร? เพราะอาศัยอยู่ในรากเป็นต้นทั้งหมด. เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งไม่พอใจดอกไม้และผลไม้เป็นต้นของต้นไม้นั้น จึงทิ่มหนามพิษ ชื่อว่ามัณฑูกกัณฏกะ - หนามกระเบน ลงไปใน ๔ ทิศ ครั้นต้นไม้นั้นถูกหนามพิษนั้นเข้าไม่สามารถจะสืบต่อไปได้อีก โดยไม่ผลิดอกออกผลได้ตามธรรมดา เพราะรสดินรสน้ำถูกควบคุมเสียแล้ว ฉันใด, กุลบุตรผู้เบื่อหน่ายในความเป็นไปของขันธ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เริ่มเจริญมรรค ๔ ในสันดานของตน ดุจบุรุษนั้นประกอบหนามพิษลงในต้นไม้ใน ๔ ทิศ ฉะนั้น.

เมื่อเป็นเช่นนั้นขันธสันดานของกุลบุตรนั้น ถูกสัมผัสด้วยพิษ คือ มรรค ๔ นั้นกระทบแล้ว เป็นประเภทของกรรมทั้งปวงมีกายกรรม เป็นต้น เข้าถึงเพียงสภาวะของกิริยา เพราะกิเลสอันเป็นมูลของวัฏฏะ ถูกครอบงำไว้โดยประการทั้งปวง ไม่สามารถจะสืบสันดานในภพอื่นได้ หมดความยึดถือดับวิญญาณดวงสุดท้ายสิ้นเชิง ดุจไฟไม่มีเชื้อฉะนั้น. พึงทราบความต่างกันของ ภูมิ และ ภูมิลัทธะ อย่างนี้.

อุปปันนะ คือ ธรรมที่เกิด ๔ อย่าง อีกอย่างหนึ่ง คือ

สมุทาจารุปฺปนฺนํ - สิ่งเกิดขึ้นกำลังเป็นไปอยู่ ๑

อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ - เกิดด้วยการถืออารมณ์ ๑

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 482

อวิกฺขมฺภตุปฺปนฺนํ - เกิดด้วยการไม่ข่ม ๑

อสมูหตุปฺปนฺนํ - เกิดด้วยการไม่ถอน ๑.

ในบทอุปปันนะเหล่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังเป็นไปอยู่ ชื่อว่า สมุทาจารุปฺปนฺนํ. กิเลสชาตแม้ยังไม่เกิดในส่วนเบื้องต้นในอารมณ์ อันไปสู่คลองแห่งจักษุเป็นต้น ท่านกล่าวว่า อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ โดยเกิดขึ้น โดยส่วนเดียวในกาลอื่น เพราะถือเอาอารมณ์. กิเลสชาตไม่ข่มไว้ด้วยสมถะและวิปัสสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ไม่เจริญด้วยการสืบของจิต ก็ชื่อว่า อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ เพราะไม่มีเหตุที่จะห้ามการเกิดได้. กิเลสชาตแม้ข่มไว้ด้วยสมถะและจะวิปัสสนา ท่านก็กล่าวว่า อสมูหตุปฺปนฺนํ เพราะไม่ถอนด้วยอริยมรรค เพราะไม่ล่วงเลยธรรมดาของความเกิด.

พึงทราบว่า อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ อสฺมูหตุปฺปนฺนํ ทั้งสามนี้ ย่อมสงเคราะห์ลงด้วย ภูมิลัทธะ นั่นเอง.

เมื่ออุปปันนธรรมมีประเภทดังกล่าวแล้วนี้เกิดขึ้นแล้ว กิเลสชาตใด ได้แก่ วัตตมานะ ภูตาปคตะ โอกาสคติ สมุทาจาระ เกิดขึ้น กิเลสชาตนั้นเป็นอันมรรคญาณใดๆ ไม่พึงละ เพราะไม่ถูกทำลายด้วยมรรค. อนึ่ง กิเลสชาตใด กล่าวคือ ภูมิลัทธะ อารัมมณาธิคหิตะ อวิกขัมภิตะ อสมูหตะ เกิดขึ้นแล้ว กิเลสชาตนั้นยังความเกิดของพระโยคีนั้นให้เสื่อมไป เพราะโลกิยญาณและโลกุตร

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 483

ญาณนั้นเกิดขึ้น, ฉะนั้นกิเลสชาตแม้ทั้งหมดนั้นก็เป็นอันมรรคนั้นๆ พึงละได้. ด้วยประการฉะนี้ มรรคย่อมละกิเลสเหล่าใด หมายเอากิเลสเหล่านั้น จึงกล่าวว่า อุปฺปนฺนานํ.

เมื่อเป็นเช่นนั้น การเจริญเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลที่ยังไม่เกิด ย่อมมีได้ในขณะแห่งมรรคเป็นอย่างไร? และเพื่อความตั้งมั่นแห่งกุศลที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างไร? เพื่อเข้าถึงมรรคนั่นเอง. เพราะท่านกล่าวว่า มรรคที่เป็นไปอยู่ ชื่อว่ายังไม่เคยเกิด เพราะไม่เคยเกิดมาก่อน. จริงอยู่ มีผู้มาสู่ฐานะที่ไม่เคยมาหรือเสวยอารมณ์ที่ไม่เคยเสวย แล้วกล่าวว่า เรามาสู่ฐานะที่ยังไม่ได้มา เราเสวยอารมณ์ที่ไม่เคยเสวยดังนี้. ความเป็นไปแห่งกุศลธรรมนั้น ชื่อว่า ิติ, ควรกล่าวว่า ิติยา ภาเวติ- เจริญเพื่อความตั้งมั่น. นี้คือความเพียรของภิกษุนั้นในขณะแห่งโลกุตรมรรคย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง มีอาทิว่า อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปาทาย - เพื่อยังอกุศลอันลามกที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น. กถานี้เป็นสัมมัปธานกถาในขณะแห่งโลกุตรมรรค. ในบทนี้ท่านชี้แจงสัมมัปธานเจือด้วยโลกิยะและโลกุตระไว้อย่างนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาสตินิทเทสดังต่อไปนี้

บทว่า กาเย ได้แก่ รูปกาย รูปกายในที่นี้ท่านประสงค์ว่า กาย - หมู่ ดุจหัตถิกาย - หมู่ช้าง รถกาย - หมู่รถ เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเป็นที่รวมอวัยวะใหญ่น้อยและสิ่งทั้งหลายมีผมเป็นต้น. อนึ่ง ชื่อว่า กาย ด้วย

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 484

อรรถว่าเป็นที่เกิดแห่งสิ่งน่าเกลียดทั้งหลายเหมือนที่ชื่อว่า กาย ด้วยอรรถว่าเป็นที่รวมฉะนั้น. ชื่อว่า กาย เพราะเป็นที่เกิดของสิ่งน่าเกลียด คือ น่าเกลียดอย่างยิ่ง. บทว่า อาโย ได้แก่ ที่เกิด. ในบทนั้นมีอธิบายคำว่า อาโย เพราะอรรถว่า สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากกายนั้น. อะไรเกิด? สิ่งน่าเกลียดมีผมเป็นต้น. ชื่อว่า กาโย เพราะ อรรถว่าเป็นที่เกิดของสิ่งน่าเกลียด ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า กายานุปสฺสี - พิจารณาเห็นกาย ได้แก่ พิจารณาเห็นกายเป็นปกติ, หรือพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งกาย, แม้กล่าวว่า กาเย แล้ว ยังถือเอากายเป็นครั้งที่ ๒ อีกว่า กายานุปสฺสี พึงทราบว่า ท่านกล่าวเพื่อแสดงการกำหนดและแยกออกจากเป็นก้อน โดยไม่ปนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงไม่กล่าวว่า เวทนานุปสฺสี หรือ จิตฺตธมฺมานุปสฺสี ในกาย, ที่แท้ก็ กายานุปสฺสี นั่นเอง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอันท่านแสดงการกำหนดโดยไม่ปนกันด้วยอาการของ กายานุปัสสนา ในวัตถุ คือ กาย นั่นเอง. อนึ่ง ภิกษุไม่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งพ้นจากอวัยวะใหญ่น้อยในกาย, มิใช่พิจารณาเห็นหญิงและบุรุษพ้นจากผมและขนเป็นต้น. อนึ่ง ในบทนี้ภิกษุไม่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งพ้นจากภูตรูปและอุปาทายรูป แม้ในกายอันเป็นที่รวมภูตรูปและอุปาทายรูป มีผมและขนเป็นต้น. ที่แท้พิจารณาเห็นการประชุมอวัยวะใหญ่น้อย ดุจพิจารณาเห็นเครื่องประกอบรถ, พิจารณาเห็นการประชุมผมและขน

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 485

เป็นต้น ดุจพิจารณาเห็นส่วนของนคร, พิจารณาเห็นการประชุมภูตรูปและอุปาทายรูป ดุจแยกต้นกล้วยใบกล้วยและเครือกล้วยออกจากกัน และดุจแบกำมือที่เปล่าออก เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอันท่านแสดงการแยกออกจากเป็นก้อน ด้วยการเห็นโดยประการต่างกันของวัตถุ กล่าวคือ สังขารด้วยการประชุมกันนั่นเอง. จริงอยู่ ในบทนี้ กายก็ดี หญิงก็ดี ชายก็ดี ธรรมใดๆ อื่นก็ดีพ้นจากการประชุมกันตามที่กล่าวแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ. แต่ในเหตุเพียงการประชุมธรรมตามที่กล่าวแล้วนั่นแล สัตว์ทั้งหลายย่อมทำการยึดมั่นผิดอย่างนั้นๆ. ด้วยเหตุนั้นท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า

ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฏฺํ ยํ ทิฏฺํ ตํ น ปสฺสติ อปสฺสํ พชฺฌเต มูฬฺโห พชฺฌมาโน น มุจฺจติ

บุคคลเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นชื่อว่า อันเขาเห็นแล้ว ก็หาไม่ สิ่งใดที่เห็นแล้ว ชื่อว่า ย่อมไม่เห็นสิ่งนั้น คนหลงเมื่อไม่เห็นย่อมติด เมื่อติด ย่อมไม่หลุดพ้น ดังนี้.

ท่านกล่าวไว้ดังนี้ เพื่อแสดงการแยกเป็นก้อนออกไปเป็นต้น. อนึ่ง ด้วยอาทิศัพท์ในบทนี้พึงทราบความดังนี้, เพราะเนื้อความนี้ ได้แก่ การพิจารณาเห็นกายในกายนี้นั่นเอง. มิใช่การพิจารณาเห็นธรรมอื่น. ท่านอธิบายไว้อย่างไร? ท่านอธิบายไว้ว่า มิใช่พิจารณาเห็นความ

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 486

เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน เป็นความงาม ในกายนี้ซึ่งเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน และเป็นของไม่งามเหมือนการพิจารณาเห็นน้ำที่พยับแดดซึ่งไม่มีน้ำฉะนั้น, อันที่จริงแล้วพิจารณาเห็นกาย ก็คือพิจารณาเห็นการประชุมอาการที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน และเป็นของไม่งามนั่นเอง.

อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวถึงกายมีลมอัสสาสะปัสสาสะ เป็นเบื้องต้นและมีกระดูกป่นละเอียดเป็นที่สุด โดยนัยมีอาทิว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรญฺคโต วา รุกฺขมูลคดต วา ฯเปฯ โส สโตว อสฺสสติ (๑) ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ฯลฯ ภิกษุนั้นมีสติหายใจเข้า... ในสติปัฏฐานกถาข้างหน้า พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย เพราะพิจารณาเห็นในกายนี้เท่านั้นของกายทั้งหมดที่ท่านกล่าวถึงกายว่า ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ย่อมพิจารณาเห็นกองปฐวีธาตุ กองอาโปธาตุ กองเตโชธาตุ กองวาโยธาตุ กองผม กองขน กองผิว กองหนัง กองเนื้อ กองเลือด กองกระดูก กองเยื่อในกระดูก. (๒)

อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกาย กล่าวคือ การประชุมธรรมมีผมเป็นต้นในกาย เพราะพิจารณาเห็น


๑. ที. มหา. ๑๐/๒๗๔. ๒. ขุ. ป. ๓๑/๗๒๗.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 487

การประชุมธรรมต่างๆ มีผมและขนเป็นต้นนั้นๆ นั่นเอง เพราะไม่เห็นอะไร? ที่ควรยึดถืออย่างนี้ว่า เรา หรือ ของเรา ในกาย. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความแม้อย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย แม้เพราะพิจารณาเห็นกาย กล่าวคือ การประชุมอาการมีอนิจลักษณะ เป็นต้น ทั้งหมดอันมีนัยมาแล้วข้างหน้า โดยลำดับมีอาทิว่า ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในกายนี้, ไม่พิจารณาเห็นโดย ความไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง (๑) ดังนี้ นี้เป็นความทั่วไปในสติปัฏฐาน ๔.

บทว่า กาเย กายานุปสฺสี - ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายอย่างหนึ่งๆ ในกายดังที่กล่าวไว้เป็นส่วนมาก มีกองอัสสาสะ และกองปัสสาสะเป็นต้น.

บทว่า วิหรติ นี้แสดงถึงการบำเพ็ญวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในวิหารธรรม คือ อิริยาบถ ๔. อธิบายว่า ภิกษุเปลี่ยนความเมื่อยในอิริยาบถหนึ่ง ด้วยอิริยาบถอื่นแล้วนำตนที่ยังซบเซาอยู่ให้คล่องแคล่ว.

คำว่า อาตาปี - มีความเพียรนี้ แสดงถึงการบำเพ็ญความเพียรกำหนดกาย. อธิบายว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยความเพียรที่ท่านกล่าวว่า อาตาโป เพราะเผากิเลสในภพ ๓ ในสมัยนั้น, ฉะนั้นท่านจึง กล่าวว่า อาตาปี - มีความเพียร.


๑. ขุ. ป. ๓๑/๗๒๗.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 488

บทว่า สมฺปชาโน - มีสัมปชัญญะ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยญาณ อันได้แก่ สัมปชัญญะอันกำหนดกาย.

บทว่า สติมา - มีสติ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยสติกำหนดกาย. ก็เพราะภิกษุนี้กำหนดอารมณ์ด้วยสติแล้วพิจารณาเห็นด้วยปัญญา. จริงอยู่ ผู้ไม่มีสติจะพิจารณาเห็นไม่ได้เลย. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติญฺจ ขฺวาหํ ภิกฺขเว สพฺพตฺถิกํ วทามิ (๑) - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสติแลมีประโยชน์ในที่ทั้งปวง. ฉะนั้นในบทนี้ท่านจึงกล่าวถึงกรรมฐาน คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยข้อความเพียงเท่านี้ว่า กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ - ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีความเพียรเป็นผู้หดหู่ในภายใน เป็นผู้ทำอันตราย, ผู้ไม่มีสัมปชัญญะย่อมหลงในการกำหนดอุบาย และในการเว้นสิ่งไม่เป็นอุบาย. ผู้มีสติหลงใหลย่อมไม่สามารถในการไม่สละอุบาย และในการไม่กำหนดสิ่งไม่เป็นอุบาย ฉะนั้น, ด้วยเหตุนั้น กรรมฐานนั้นจึงไม่สำเร็จแก่ภิกษุนั้น, ฉะนั้นกรรมฐานเป็นย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพของธรรมเหล่าใด เพื่อแสดงถึงธรรมเหล่านั้น พึงทราบ ว่าท่านจึงกล่าวบทนี้ว่า อาตาปี สมฺปชาโน สติมา - ภิกษุมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติดังนี้.


๑. สํ.มหา. ๑๙/๕๗๒.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 489

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และองค์ประกอบแล้วบัดนี้ เพื่อทรงแสดงองค์แห่ง ปหานะ จึงตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ - กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสีย.

ในบทเหล่านั้นบทว่า วิเนยฺย- กำจัดเสีย ได้แก่ กำจัดด้วย ตทังควินัย - กำจัดชั่วคราวหรือวิกขัมภนวินัย - กำจัดด้วยการข่มไว้.

บทว่า โลเก ความว่า กายใดกำหนดไว้ในคราวก่อน กายนั้นนั่นแล ชื่อว่า โลก ในที่นี้ ด้วยอรรถว่าแตกและสลายไป ละอภิชฌาและโทมนัสในโลกนั้นเสีย.

อนึ่ง เพราะภิกษุนั้นย่อมอภิชฌาและโทมนัสในส่วนเพียงกายเท่านั้นก็หาไม่, ย่อมละแม้ในเวทนาเป็นต้นอีกด้วย, ฉะนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในวิภังค์ว่า ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา โลโก (๑) - แม้อุปาทานขันธ์ ๕ ก็เป็นโลก. พึงทราบว่า ท่านกล่าวบทนี้ด้วยการถอดความซึ่งธรรมเหล่านั้น เพราะธรรมเหล่านั้นนับเข้าในโลก.

พระสารีบุตรกล่าวว่า ในบทว่า โลเก นั้น โลกเป็นไฉน? กายนั้นนั่นแลเป็นโลก. นี้เป็นคำอธิบายในบทนี้. ท่านกล่าวย่อไว้ว่า อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ดังนี้. ก็ในระหว่างปาฐะในสังยุตตนิกายและอังคุตตรนิกาย อาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ต่างหากกัน. ชื่อว่า อภิชฺฌา เพราะอรรถว่าเป็นเหตุเพ่ง คือ ปรารถนาหรือเพ่งเอง หรือเพียงความ


๑. อภิ. วิ. ๓๕/๔๔๐.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 490

เพ่งเท่านั้น. อนึ่ง ในบทว่า อภิชฌาโทมนสฺสํ นี้ เพราะกามฉันทะสงเคราะห์เข้ากับอภิชฌา. พยาบาทสงเคราะห์เข้ากับโทมนัส. ฉะนั้น พึงทราบว่าท่านกล่าวถึงการละนิวรณ์ ด้วยแสดงธรรมทั้งสองอันเป็นธรรมมีกำลังนับเนื่องในนิวรณ์.

อนึ่ง ในบทนี้โดยความต่างกันท่านกล่าวถึงการละความยินดีอันเป็นมูลเหตุของสมบัติทางกาย ด้วยกำจัดอภิชฌา, ละความยินร้าย อันเป็นมูลเหตุของความวิบัติทางกาย ด้วยกำจัดโทมนัส. อนึ่ง ละความยินดีในกายด้วยกำจัดอภิชฌา, ละความไม่ยินดีในกายภาวนาด้วยกำจัดโทมนัส, ละการเพิ่มเติมความงามและความสุขเป็นต้น ที่ไม่เป็นจริงในกายด้วยกำจัดอภิชฌา, ละการนำออกความไม่งามความไม่เป็นสุข เป็นต้น อันเป็นจริงในกาย ด้วยกำจัดโทมนัส. เป็นอันท่านแสดงถึงอานุภาพของโยคะ และความสามารถในโยคะของพระโยคาวจรด้วยบทนั้น. อานุภาพของโยคะ คือ พระโยคาวจรเป็นผู้พ้นจากความยินดียินร้าย เป็นผู้อดกลั้นความไม่ยินดี และความยินดี และเป็นผู้เว้นจากการเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่เป็นจริง และการนำสิ่งที่เป็นจริงออก.

อนึ่ง พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้พ้นจากความยินดียินร้าย เป็นผู้อดกลั้นความไม่ยินดี และความยินดี ไม่หมกมุ่นในสิ่งไม่เป็นจริง และกำจัดสิ่งเป็นจริง เป็นผู้สามารถในโยคะด้วยประการฉะนี้.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 491

อีกนัยหนึ่งในบทว่า กาเย กายานุปสฺสี นี้ ท่านกล่าวถึงกรรมฐานแห่ง อนุปสฺสนา. ในบทว่า วิหรติ นี้ ท่านกล่าวถึงการบริหารกายของภิกษุผู้บำเพ็ญกรรมฐานด้วยวิหารธรรมดังกล่าวแล้ว. พึงทราบว่า ในบทมีอาทิว่า อาตาปี ท่านกล่าวถึงสัมมัปธานด้วยความเพียร, กล่าวกรรมฐานอันมีประโยชน์ทั้งหมด หรืออุบายการบริหารกรรมฐานด้วยสติสัมปชัญญะ, กล่าวสมถะที่ได้ด้วยอำนาจกายานุปัสสนาด้วยสติ, กล่าววิปัสสนาด้วยสัมปชัญญะ, กล่าวผลของภาวนาด้วยกำจัดอภิชฌา และโทมนัส.

อนึ่ง ในบทมีอาทิว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี - ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พึงประกอบความในคำของเวทนาเป็นต้นต่อไปแล้วพึงทราบตามควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล. อรรถอันไม่ทั่วไปมีดังต่อไปนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาอย่างหนึ่งๆ โดยมีความไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นอย่างๆ ไป ในเวทนาทั้งหลายมีประเภทไม่น้อยมีสุขเวทนาเป็นต้น, พิจารณาเป็นจิตดวงหนึ่งๆ โดยมีความไม่เที่ยงเป็นต้น อย่างหนึ่งๆ ในจิตมีประเภท ๑๖ ดวง มีจิตมีราคะเป็นต้น, พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งๆ โดยมีความไม่เที่ยงเป็นต้น อย่างหนึ่งๆ ในธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ ที่เหลือ เว้นกาย เวทนา และจิต, หรือพิจารณาเป็นธรรมมีนิวรณ์เป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในสติปัฏฐานสูตร (๑).


๑. ที. มหา. ๑๐/๒๗๓.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 492

อนึ่ง ในบทเหล่านี้ พึงทราบว่า บทว่า กาเย เป็นเอกวจนะ เพราะสรีระมีหนึ่ง, บทว่า จิตฺเต เป็นเอกวจนะท่านทำโดยถือเอาชาติ เพราะไม่มีความต่างแห่งสภาวะของจิต. อนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นโดยประการที่พึงเห็นเวทนาเป็นต้น พึงทราบว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย, เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต, เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย. พึงพิจารณาเห็นเวทนาอย่างไร? พึงพิจารณา เห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์, พึงพิจารณาเห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นดังลูกศร, พึงพิจารณาเห็นอทุกขมสุขโดยความเป็นของไม่เที่ยง. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท ทุกฺขมทิทกฺขิ สลฺลโต อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต. ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ ปริชานาติ เวทนา. (๑)

ภิกษุใดได้เห็นสุขโดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นดังลูกศร ได้เห็นอทุกขมสุขอันสงบระงับแล้วนั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง. ภิกษุนั้นแลเป็นผู้เห็นชอบ ย่อมรู้รอบเวทนาทั้งหลาย.


๑. สํ. สฬา. ๑๘/๓๖๘.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 493

อนึ่ง พึงพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหมดโดยความเป็นทุกข์ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้เสวยแล้ว, สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นไปในทุกข์. (๑)

อนึ่ง พึงพิจารณาเห็นโดยความเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง. ดังที่ท่านกล่าวว่า สุขเวทนาเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะปรวนแปร. ทุกขเวทนาเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะปรวนแปร, อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ เป็นทุกข์เพราะไม่รู้. (๒) แต่ก็ควรพิจารณาด้วยอำนาจการพิจารณาเห็นสัตว์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น.

พึงทราบวินิจฉัยในจิตและธรรมดังต่อไปนี้ พึงพิจารณาเห็นจิตก่อน ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นสัตว์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น อันมีประเภทจิตที่ต่างๆ กัน โดยมี อารัมมณะ อธิปติ สหชาตะ ภูมิ กรรม วิบาก และ กิริยา เป็นต้นและประเภทแห่งจิต ๑๖ อย่าง มี สราคจิต เป็นต้น. พึงพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นสัตว์มีความไม่เที่ยงเป็นต้นแห่งสุญญตาธรรม อันมีลักษณะของตนและสามัญลักษณะ ทั้งมีความสงบและไม่สงบเป็นต้น.

อนึ่ง ในบทนี้ อภิชฌาโทมนัสนั้นที่ภิกษุละได้ในโลก อันได้แก่กายจึงเป็นอันละได้แม้ในโลกมีเวทนาเป็นต้นด้วยโดยแท้, แต่ถึง


๑. สํ. สฬา. ๑๘/๓๙๑.

๒. ม. มู. ๑๒/๕๑๑.

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 494

กระนั้นท่านก็กล่าวไว้ในที่ทั้งปวง ด้วยสามารถบุคคลต่างกัน และด้วยสามารถการเจริญสติปัฏฐานอันมีในขณะต่างกัน. อีกอย่างหนึ่ง ครั้นละได้ในส่วนหนึ่งแล้ว, แม้ในส่วนที่เหลือก็เป็นอันละได้ด้วย. ด้วยเหตุนั้นแล พึงทราบว่าท่านกล่าวอย่างนี้ เพื่อแสดงการละอภิชฌาของภิกษุนั้น.

สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ ย่อมได้ในจิตต่างๆ ในส่วนเบื้องต้นด้วยประการฉะนี้. ภิกษุย่อมกำหนดกายด้วยจิตอื่น กำหนดเวทนาด้วยจิตอื่น กำหนดจิตด้วยจิตอื่น กำหนดธรรมทั้งหลายด้วยจิตอื่น. แต่ในขณะโลกุตรมรรค สติปัฏฐานย่อมได้ในจิตดวงเดียวเท่านั้น.

สติสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ของบุคคลผู้มากำหนดกายตั้งแต่ต้น ชื่อว่า กายานุปัสสนา. บุคคลผู้ประกอบด้วยสตินั้น ชื่อว่า กายานุปัสสี. สติสัมปยุตด้วยมรรคในขณะแห่งมรรคของบุคคลผู้ขวนขวายวิปัสสนาแล้วบรรลุอริยมรรค ชื่อว่า กายานุปัสสนา, บุคคลผู้ประกอบด้วยสตินั้น ชื่อว่า กายานุปัสสี. สติสัมปยุตด้วยวิปัสสนาของบุคคลผู้มากำหนดเวทนา กำหนดจิต กำหนดธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า ธัมมานุปัสสนา, บุคคลผู้ประกอบด้วยสตินั้น ชื่อว่า ธัมมานุปัสสี. สติสัมปยุตด้วยมรรคในขณะแห่งมรรคของบุคคลผู้ขวนขวายวิปัสสนา แล้วบรรลุอริยมรรค ชื่อว่า ธัมมานุปัสสนา, บุคคลผู้ประกอบด้วยสตินั้น ชื่อว่า ธัมมานุปัสสี.

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 495

การแสดงอย่างนี้ ย่อมตั้งอยู่ในบุคคล. แต่สติกำหนดกาย ละความเห็นผิดในกายว่างาม ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กายานุปัสสนา. สติกำหนดเวทนา ละความเห็นผิดในเวทนาว่าเป็นสุข ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เวทนานุปัสสนา. สติกำหนดจิต ละความเห็นผิดในจิตว่าเป็นของเที่ยง ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า จิตตานุปัสสนา. สติกำหนดธรรม ละความเห็นผิดในธรรมทั้งหลายว่าเป็นตัวตน ย่อมสำเร็จด้วยมรรค เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ธัมมานุปัสสนา. สติสัมปยุตด้วยมรรคอย่างเดียว ย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง โดยความที่ยังกิจ ๔ อย่างให้สำเร็จด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔ ย่อมได้ในจิตดวงเดียวเท่านั้น ในขณะแห่งโลกุตรมรรค.

พึงทราบวินิจฉัยในสัมมาสมาธินิทเทสดังต่อไปนี้

บทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ - สงัดจากกาม ได้แก่ สงัด เว้น หลีกจากกามทั้งหลาย. พึงทราบว่า เอว ศัพท์ ในบทนี้ มีความว่า แน่นอน. เพราะเอวศัพท์ มีความว่า แน่นอน ฉะนั้น พระสารีบุตรแสดงถึงความที่กามแม้ไม่มีอยู่ในขณะเข้าถึงปฐมฌาน เป็นปฏิปักษ์ของปฐมฌานนั้น และการบรรลุปฐมฌานนั้น ด้วยการสละกามนั่นเอง. อย่างไร? เพราะเมื่อทำความแน่นอนอย่างนี้ว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ ปฐมฌานนี้ย่อมปรากฏ, กามทั้งหลายเป็นปฏิปักษ์ของฌานนี้แน่นอน, เมื่อยังมีกามอยู่ฌานนี้ย่อม

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 496

เป็นไปไม่ได้, เหมือนเมื่อความมืดยังมีอยู่และประทีปก็ยังส่องไปไม่ได้. การบรรลุฌานนั้นด้วยการละกามเหล่านั้น เหมือนการถึงฝั่งนอกด้วยการสละฝั่งใน, ฉะนั้น จึงทำความแน่นอน.

ในบทนั้นพึงมีคำถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวการบรรลุนี้ไว้ในบทก่อน, ไม่กล่าวไว้ในบทหลังเล่า, ภิกษุแม้ไม่สงัดจากอกุศลธรรม ก็ยังจะเข้าฌานได้หรือ? ข้อนั้นไม่ควรเห็นอย่างนั้น. เพราะท่านกล่าวการบรรลุนั้นไว้แล้วในบทก่อน เพราะการสลัดออกจากกามนั้น. อนึ่ง ฌานนี้เป็นการสลัดออกไปแห่งกามทั้งหลาย เพราะก้าว ล่วงกามธาตุ และเพราะเป็นปฏิปักษ์ของกามราคะ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า กามานเมตํ นิสฺสรณํ ยทิทํ เนกฺขมฺมํ (๑) - เนกขัมมะเป็นการสลัดออกจากกามทั้งหลาย. แม้ในบทหลังก็พึงกล่าวเหมือนอย่างที่ท่านนำ เอว อักษรมากล่าวไว้ในบทนี้ว่า อิเธว ภิกฺขเว สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ (๒) - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีใน ศาสนานี้เท่านั้น, สมณะที่สองก็มีในศาสนานี้.

เพราะไม่สงัดจากอกุศลธรรมอันได้แก่นิวรณ์ แม้อื่นจากนี้ก็ไม่อาจเข้าฌานได้, ฉะนั้น พึงเห็นความแม้ในสองบทอย่างนี้ว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺเจว อกุสเลหิ - สงัดจากกามนั่นแล สงัดจากอกุศลนั่นแล ดังนี้. ตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก นิสสรณวิเวก และจิตตวิเวก กายวิเวก อุปธิวิเวก ย่อมสงเคราะห์


๑. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๕๐.

๒. ม. มู. ๑๒/๑๕๔.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 497

ด้วยคำทั่วไปนี้ว่า วิวิจฺจ ก็จริง แม้ถึงอย่างนั้นก็พึงเห็นกายวิเวก จิตตวิเวก วิกขัมภนวิเวก ในส่วนเบื้องต้นด้วย. พึงเห็นกายวิเวก จิตตวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก และนิสสรณวิเวก ในขณะแห่งโลกตรมรรคด้วย.

ก็ด้วยบทว่า กาเมหิ นี้ ท่านกล่าวถึงวัตถุกามไว้ในมหานิทเทส โดยนัยมีอาทิว่า กตเม วตฺถุกามา มนาปิกา รูปา (๑) - วัตถุกามมีรูปที่น่าพอใจเป็นไฉน และท่านกล่าวถึงกิเลสกามไว้ในวิภังค์นั้นอย่างนี้ว่า ฉนฺโท กาโม ราโค กาโม ฉนฺทราโค กาโม, สงฺกปฺโป กาโม ราโค กาโม, สงฺกปฺปราโค กาโม (๒) - ฉันทะเป็นกาม ราคะเป็นกาม ฉันทราคะเป็นกาม สังกัปปะเป็นกาม ราคะเป็นกาม สังกัปปราคะเป็นกาม พึงเห็นว่าท่านสงเคราะห์กามเหล่านั้นไว้ทั้งหมด. เมื่อเป็นอย่างนี้ บทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ ความว่า สงัดจากวัตถุกามนั่นแลสมควร. ด้วยบทนั้น เป็นอันท่านกล่าวถึงกายวิเวก.

บทว่า วิวจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ - สงัดจากอกุศลธรรม ความว่า สงัดจากกิเลสกามหรืออกุศลทั้งหมด ดังนี้ สมควร. ด้วยบทนั้น เป็นอันท่านกล่าวถึงจิตตวิเวก. อนึ่ง ในสองบทนี้ ด้วยบทต้นเป็นอันเจริญการสละกามสุข เพราะคำว่า สงัดจากวัตถุกาม, ด้วยบทที่สอง เป็นอันเจริญการกำหนดเนกขัมมสุข เพราะคำว่า สงัดจากกิเลสกาม.


๑ - ๒. ขุ. มหา. ๒๙/๒.

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 498

อนึ่ง เพราะคำว่า สงัดจากวัตถุกามและกิเลสกาม พึงทราบว่าด้วยบทต้น เป็นอันเจริญการละวัตถุอันเศร้าหมอง, ด้วยบทที่สอง เป็นอันเจริญละความเศร้าหมอง. ด้วยบทที่หนึ่ง เป็นอันเจริญการสละเหตุแห่งความโลเล, ด้วยบทที่สอง เป็นอันเจริญการสละเหตุแห่งความเป็นพาล, และด้วยบทที่หนึ่ง เป็นอันเจริญความบริสุทธิ์ด้วยความเพียร, ด้วยบทที่สอง เป็นอันเจริญความกล่อมเกลาอัธยาศัย. ในบรรดากาม ทั้งหลายที่ท่านกล่าวไว้ในบทว่า กาเมหิ นี้ มีนัยเดียวกันในฝ่ายวัตถุกาม.

พึงทราบวินิจฉัยในฝ่ายกิเลสกามดังต่อไปนี้ กามฉันทะมีหลายประเภทด้วยบทมีอาทิอย่างนี้ว่า ฉันทะ และ ราคะ ท่านประสงค์เอาว่า กาม. กามนั้นแม้นับเนื่องในอกุศล ท่านก็กล่าวไว้ต่างหากในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า กามเป็นไฉน? ฉันทะเป็นกาม (๑) เพราะเป็นปฏิปักษ์ขององค์ฌานเบื้องบน หรือท่านกล่าวไว้ในบทก่อน เพราะ เป็นกิเลสกาม. ท่านกล่าวไว้ในบทที่สอง เพราะนับเนื่องในอกุศล.

อนึ่ง ท่านไม่กล่าวว่า กามโต - จากกาม เพราะกามนั้นมีหลายประเภท จึงกล่าวว่า กาเมหิ - จากกามทั้งหลาย. เมื่อธรรมแม้เหล่าอื่นเป็นอกุศลยังมีอยู่ ท่านกล่าวนิวรณ์ทั้งหลายไว้ในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า อกุศลธรรมเป็นไฉน? กามฉันทะเป็นอกุศลธรรม (๒)


๑. อภิ. วิ. ๓๕/๖๕๑

๒. อภิ. วิ. ๓๕/๖๕.

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 499

เพราะความเป็นข้าศึกและเป็นปฏิปักษ์ต่อองค์ฌานเบื้องบน. จริงอยู่ นิวรณ์เป็นข้าศึกต่อองค์ฌาน, องค์ฌานเป็นปฏิปักษ์ต่อนิวรณ์เหล่านั้น ท่านอธิบายว่า กำจัด ทำให้พินาศ. ท่านกล่าวไว้ในปิฎกว่า สมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ, ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อพยาบาท, วิตกเป็นปฏิปักษ์ต่อถีนมิทธะ, สุขเป็นปฏิปักษ์ต่ออุทธัจจกุกกุจจะ, วิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อวิจิกิจฉา ดังนี้.

ในบทนี้ ด้วยบทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ เป็นอันท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการข่มกามฉันทะ, ด้วยบทว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ นี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงการข่มนิวรณ์ทั้ง ๕. ก็ด้วยการถือเอาแล้วไม่ถือเอาอีก เป็นอันท่านกล่าวถึงความสงัด ด้วยการข่มกามฉันทะด้วยฌานที่ ๑, เป็นอันท่านกล่าวถึงความสงัด ด้วยการข่มนิวรณ์ที่เหลือ ด้วยฌานที่ ๒.

อนึ่ง ท่านกล่าวถึงความสงัด ด้วยการข่มโลภะอันเป็นที่ตั้งของกามคุณ ๕ ในอกุศลมูล ๓ ด้วยฌานที่ ๑, ท่านกล่าวถึงความสงัด ด้วยการข่มโทสะ โมหะ อันเป็นที่ตั้งของประเภทแห่งอาฆาตวัตถุเป็นต้น ด้วยฌานที่ ๒. หรือในธรรมทั้งหลายมีโอฆะเป็นต้น ท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการข่มกาโมฆะ กามโยคะ กามาสวะ กามุปาทาน อภิชฌากายคันถะ และกามราคสังโยชน์ด้วยฌานที่ ๑, ท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการละโอฆะ โยคะ อาสวะ อุปาทาน คันถะ และ

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 500

สังโยชน์ที่เหลือด้วยฌานที่ ๒. ท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการข่มกิเลสอันสัมปยุตด้วยตัณหาด้วยฌานที่ ๑. ท่านกล่าวความสงัดด้วยการข่มกิเลส อันสัมปยุตด้วยอวิชชาด้วยฌานที่ ๒. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการข่ม จิตตุปบาท ๘ ดวง อันสัมปยุตด้วยโลภะด้วยฌานที่ ๑, ท่านกล่าวถึงความสงัดด้วยการข่มจิตตุปบาทที่เป็นอกุศล ๔ ดวงที่เหลือด้วยฌานที่ ๒.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระสารีบุตรครั้นแสดงองค์แห่งการละฌานที่ ๑ แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงองค์แห่งการประกอบร่วมกัน จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สวิตกฺกํ สวิจารํ - มีวิตกวิจาร ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น วิตก มีลักษณะยกจิตไว้ในอารมณ์. วิจาร มีลักษณะคลุกเคล้าอารมณ์. อนึ่ง เมื่ออารมณ์เหล่านั้นยังไม่ออกไปในที่ไหนๆ วิตก คือ อารมณ์ที่เกาะจิตเป็นครั้งแรก ด้วยอรรถว่า เป็นอารมณ์หยาบ และด้วยอรรถไปถึงก่อนดุจเคาะระฆัง, วิจาร คือ อารมณ์ที่ผูกพันอยู่กับจิต ด้วยอรรถว่า เป็นอารมณ์ละเอียดและมีสภาพคลุกเคล้าด้วยจิต ดุจเสียงครางของระฆัง.

อนึ่ง วิตกมีการกระจายไปในอารมณ์ ในขณะเกิดครั้งแรกทำให้จิตสั่นสะเทือน ดุจนกประสงค์จะบินไปบนอากาศกระพือปีก, และดุจภมรตามกลิ่นหอมบินมุ่งไปเกาะที่ดอกบัวฉะนั้น. วิจารมีความเป็นไปอย่างสงบ ไม่ทำจิตให้สั่นสะเทือนดุจนกที่บินขึ้นไปบนอากาศเหยียดปีกออกไป และดุจภมรเกาะที่ดอกบัวเคล้าอยู่บนดอกบัวฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 501

ก็ในอรรถกถาทุกนิบาตท่านกล่าวไว้ว่า วิตกเป็นไปด้วยการยกจิตไว้ในอารมณ์ ดุจนกใหญ่ไปในอากาศเอาปีกทั้งสองจับลมไว้แล้ว ทำให้ปีกทั้งสองสงบเงียบบินไป, วิจารเป็นไปด้วยความคลุกเคล้าอารมณ์ ดุจนกกระพือปีกเพื่อจับลมแล้วจึงบินไปฉะนั้น. วิจารย่อมสมควรในการเป็นไปด้วยความผูกพันอารมณ์นั้น. ส่วนความแตกต่างวิตกวิจารนั้นปรากฏในฌานที่ ๑ และฌานที่ ๒. อีกอย่างหนึ่ง วิตกเหมือนมือที่จับแน่นของคนผู้จับภาชนะสำริดที่สนิมกัดด้วยมือข้างหนึ่งแน่น. แล้วขัดด้วยแปรงทำด้วยหางสัตว์จุ่มน้ำมันผสมผงละเอียดด้วยมืออีกข้างหนึ่ง. วิจารเหมือนมือที่ขัด.

อนึ่ง วิตกเหมือนมือที่บังคับของช่างหม้อผู้ใช้ไม้หมุนล้อทำภาชนะ, วิจารเหมือนมือที่เลื่อนไปข้างโน้นข้างนี้. อนึ่ง วิตกยกจิตไว้ในอารมณ์เหมือน กณฺฏโก - หนามที่เสียบไว้ท่ามกลางของผู้ทำวงกลม, วิจารการคลุกเคล้าอารมณ์เหมือนหนามที่หมุนอยู่ภายนอก. ปฐมฌานย่อมเป็นไปกับด้วยวิตกและวิจาร เหมือนต้นไม้ย่อมเป็นไปกับด้วยดอกไม้และผลไม้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวฌานนี้ว่า สวิตกฺกํ สวิจารํ ดังนี้.

ในบทว่า วิเวกชํ นี้ ความสงัด คือ วิเวก ความว่า ปราศจากนิวรณ์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิเวก เพราะอรรถว่า สงัด,

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 502

ได้แก่ หมวดธรรมสัมปยุตด้วยฌาน สงัดจากวิเวก. เพราะฉะนั้น ชื่อว่า วิเวกชํ เพราะอรรถว่า เกิดจากวิเวกหรือเกิดในวิเวกนั้น.

ในบทว่า ปีติสุขํ นี้ ชื่อว่า ปีติ เพราะอรรถว่า อิ่มใจ, ปีตินั้นมีลักษณะอิ่มเอิบ. ปีตินั้นมี ๕ อย่าง คือ

ขุททกาปีติ - ปีติอย่างน้อย ๑.

ขณิกาปีติ - ปีติชั่วขณะ ๑.

โอกกันติกาปีติ - ปีติเป็นพักๆ ๑.

อุพเพงคาปีติ - ปีติอย่างโลดโผน ๑.

ผรณาปีติ - ปีติซาบซ่าน ๑.

ในปีติเหล่านั้น บทว่า ขุททกาปีติ ได้แก่ เมื่อเกิดขึ้นสามารถทำเพียงให้ขนชันในร่างกายเท่านั้น. บทว่า ขณิกาปีติ ได้แก่ เมื่อเกิดขึ้นเช่นกับสายฟ้าแลบเป็นพักๆ. บทว่า โอกกันติกาปีติ ได้แก่ เมื่อเกิดขึ้นทำร่างกายให้ซู่ซ่าแล้วหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง. บทว่า อุพเพงคาปีติ ได้แก่ ปีติมีกำลังทำให้กายลอยขึ้นไปถึงกับโลดขึ้นไปบนอากาศชั่วระยะหนึ่ง. บทว่า ผรณาปีติ ได้แก่ ปีติมีกำลังยิ่ง. จริงอยู่ เมื่อปีตินั้นเกิด สรีระทั้งสิ้นสั่นสะเทือนดุจปัสสาวะเต็มกระเพาะ และหลืบภูเขาที่ยื่นออกไปทางห้วงน้ำใหญ่. ปีติ ๕ อย่างนั้น ถือเอาซึ่ง คพฺภํ - ท้องถึงการแก่รอบแล้ว ย่อมยังปัสสัทธิ ๒ อย่าง คือ กายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิให้บริบูรณ์. ปีตินั้นถือเอาซึ่งท้องแห่งปัสสัทธิ

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 503

ถึงการแก่รอบแล้ว ย่อมยังสุขแม้ ๒ อย่าง คือ กายิกสุขและเจตสิกสุขให้บริบูรณ์. สุขนั้นถือเอาท้องคือครรภ์ ถึงการแก่รอบแล้ว ย่อมยังสมาธิ ๓ อย่าง คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิให้บริบูรณ์. ในปีติเหล่านั้น ปีติที่ท่านประสงค์เอาในอรรถนี้ ได้แก่ ผรณาปีติซึ่งเป็นเหตุของอัปปนาสมาธิเจริญงอกงามอยู่ ถึงความประกอบพร้อมแห่งสมาธิ.

อนึ่ง บทต่อไป ชื่อว่า สุขํ เพราะอรรถว่า ให้ถึงสุข, อธิบายว่า ปีติเกิดแก่ผู้ใด, ย่อมทำผู้นั้นให้ถึงสุข. อีกอย่างหนึ่ง ความสบาย ชื่อว่า สุขํ, ธรรมชาติใดย่อมเคี้ยวกินดีและการทำลายความเบียดเบียนทางกายและจิต ชื่อว่า สุขํ, บทนี้เป็นชื่อของ โสมนัสสเวทนา. ความสุขนั้นมีลักษณะเป็นความสำราญ. แม้เมื่อปีติและสุขยังไม่พรากไปในที่ไหนๆ ความยินดีในการได้อารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นปีติ, การเสวยรสที่ได้แล้วเป็นสุข.

ปีติมีในที่ใด ความสุขย่อมมีในที่นั้น. ความสุขมีในที่ใด ปีติโดยความแน่นอนย่อมไม่มีในที่นั้น, ปีติสงเคราะห์เข้าในสังขารขันธ์, สุขสงเคราะห์เข้าในเวทนาขันธ์. ปีติเหมือนในการได้เห็นได้ฟังว่ามีน้ำอยู่ชายป่าของผู้ที่เหน็ดเหนื่อยในทางกันดาร, สุขเหมือนในการเข้าไปอาศัยในเงาป่าและการดื่มน้ำ. พึงทราบว่าท่านกล่าวถึงบทนี้ เพราะ

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 504

ความปรากฏในสมัยนั้นๆ. ปีตินี้และสุขนี้มีอยู่แก่ฌานนั้น หรือมีอยู่ในฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวฌานนี้ว่า ปีติสุขํ ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ปีติและสุข ชื่อว่า ปีติสุขํ เหมือนธรรมและวินัยเป็นต้น, ปีติสุขเกิดแต่วิเวก ย่อมมีแก่ฌานนั้น หรือมีในฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ปีติสุขจึงเกิดแต่วิเวกด้วยประการฉะนี้. แม้ปีติสุขในญาณ นี้ก็เกิดแต่วิเวกเท่านั้น เช่นเดียวกับฌาน. อนึ่ง ปีติสุขมีแก่ฌานนั้น. เพราะฉะนั้น การทำเป็นอโลปสมาส - สมาสที่ไม่ลบวิภัตติ แล้วกล่าวว่า วิเวกชํ ปีติสุขํ - ปีติสุขเกิดแต่วิเวก ดังนี้ โดยบทเดียวเท่านั้นสมควร.

บทว่า ปฐมํ ชื่อว่า ปฐม เพราะตามลำดับของการนับ, ชื่อว่า ปฐม เพราะอรรถว่า เกิดก่อนบ้าง.

บทว่า ฌานํ ฌานมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน - เพ่งอารมณ์ และ ลักขณูปนิชฌาน - เพ่งลักษณะ ในฌาน ๒ อย่างนั้น สมาบัติ ๘ เข้าไปเพ่งอารมณ์มีปฐวีกสิณเป็นต้น ชื่อว่า อารัมมณูปนิชฌาน. วิปัสสนามรรคและผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน.

ในวิปัสสนามรรคและผลเหล่านั้น วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปเพ่งซึ่งลักษณะมีอนิจลักษณะเป็นต้น, มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะกิจทำด้วยวิปัสสนาสำเร็จด้วยมรรค, ส่วนผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะอรรถว่า เข้าไปเพ่งนิโรธสัจอันเป็นลักษณะที่จริงแท้. ในฌานทั้งสองนั้น ในส่วนเบื้องต้นนี้ท่าน

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 505

ประสงค์เอา อารัมมณูปนิชณาน, ในขณะแห่งโลกุตรมรรคท่านประสงค์เอา ลักขณูปนิชฌาน, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ชื่อว่า ฌาน เพราะเข้าไปเพ่ง อารมณ์, เข้าไปเพ่ง ลักขณะ, และเข้าไปเพ่ง ธรรมเป็นข้าศึก.

บทว่า อุปสมฺปชฺช คือ เข้าถึง, อธิบายว่า บรรลุแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เข้าไปถึงแล้ว คือ ให้สำเร็จแล้ว.

บทว่า วิหรติ ได้แก่ เป็นผู้มีความพร้อมด้วยฌานมีประการดังกล่าวแล้ว ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่ในอิริยาบถอันเหมาะสมควรแก่ฌานนั้น ยังความเป็นไปแห่งอัตภาพให้สำเร็จ.

ในบทว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา - เพราะวิตกวิจารสงบไปนี้ คือ เพราะองค์ฌานสองอย่างนี้ คือ วิตกและวิจารสงบ คือ ก้าวล่วง อธิบายว่า เพราะไม่ปรากฏในขณะทุติยฌาน. ในบทนั้น ธรรม คือ ปฐมฌานแม้ทั้งหมดไม่มีในทุติยฌานก็จริง, แต่ผัสสะเป็นต้นเหล่าอื่นในปฐมฌานยังมีอยู่. ในทุติยฌานนี้ไม่มี. พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ อย่างนี้ว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา เพื่อแสดงว่า การบรรลุทุติยฌาน เป็นต้นเหล่าอื่นจากปฐมฌาน ย่อมมีได้เพราะก้าวล่วงองค์หยาบๆ.

ในบทว่า อชฺฌตฺตํ ในภายในนี้ท่านประสงค์เอาภายในของตน, เพราะฉะนั้น จึงเกิดในตน, อธิบายว่า เกิดในสันดานของตน.

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 506

บทว่า สมฺปสาทนํ อันเป็นความผ่องใส ศรัทธาท่านกล่าวว่า เป็นความผ่องใส. แม้ฌานก็เป็นความผ่องใส เพราะประกอบด้วยความเชื่อ เหมือนผ้าสีเขียวเพราะย้อมด้วยสีเขียว.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะฌานนั้นเป็นความผ่องใสแห่งจิต เพราะประกอบด้วยความเชื่อและเพราะสงบความกำเริบของวิตกวิจาร, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สมฺปสาทนํ. ในอรรถวิกัปนี้ พึงทราบการเชื่อมบท อย่างนี้ว่า สมฺปสาทนํ เจตโส - ความผ่องใสแห่งจิต ส่วนในอรรถ วิกัปก่อน พึงประกอบบทว่า เจตโส นี้ กับด้วย ศัพท์ เอโกทิภาวะ - ความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น.

พึงทราบการแก้อรรถในบทว่า เอโกทิภาวะ นั้นดังต่อไปนี้ ชื่อว่า เอโกทิ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมเอกเกิดขึ้น อธิบายว่า ทุติยฌานเป็นธรรมเลิศประเสริฐผุดขึ้น เพราะไม่มีวิตกวิจารเกิดขึ้นภายใน. จริงอยู่ แม้บุคคลที่ประเสริฐท่านก็เรียกว่าเป็น เอกในโลก. หรือควรจะกล่าวว่าทุติยฌานเป็นธรรมเอก ไม่มีสอง เพราะเว้นจาก วิตกวิจารดังนี้บ้าง.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อุทิ. เพราะเกิดขึ้นในสัมปยุตธรรม. คือ ยังสัมปยุตธรรมให้เกิดขึ้น. ชื่อว่า เอโกทิ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมเอกเกิดขึ้นด้วยอรรถว่า ประเสริฐที่สุด. บทนี้เป็นชื่อของสมาธิ. ทุติยฌานนี้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะยังทุติยฌานเป็นธรรมเอกผุดขึ้น

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 507

ให้เจริญงอกงาม. อนึ่ง เพราะ เอโกทิ นี้ เป็นธรรมเอกเกิดขึ้นแก่จิต มิใช่แก่สัตว์ มิใช่แก่ชีวะ. ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจตโส เอโกทิภาวํ - ความเป็นธรรมเอกเกิดขึ้นแก่จิต.

ศรัทธานี้แม้ในปฐมฌานก็มี, อนึ่ง สมาธินี้มีชื่อว่า เอโกทิ มิใช่หรือ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวว่า สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ - ทุติยฌานอันเป็นการผ่องใสแห่งจิต เป็นธรรมเอกผุดขึ้น. แก้ว่า เพราะปฐมฌานนั้นยังไม่ผ่องใสดีด้วยวิตกวิจารกำเริบ เหมือนน้ำกำเริบด้วยลูกคลื่น, ฉะนั้น แม้เมื่อมีศรัทธาท่านก็ไม่กล่าวว่า สมฺปสาทนํ - เป็นความผ่องใส. อนึ่ง แม้สมาธิในปฐมฌานนี้ ก็ไม่ปรากฏด้วยดีเพราะไม่ผ่องใส, เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวว่า เอโกทิภาวํ.

อนึ่ง ในฌานนี้ศรัทธามีกำลังได้โอกาส เพราะไม่มีความพัวพันด้วยวิตกและวิจาร. ศรัทธามีกำลังสมาธิก็ปรากฏ เพราะได้เพื่อนนั่นเอง. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า บทนี้ ท่านจึงกล่าวไว้อย่างนี้.

บทว่า อวิตกกํ อวิจารํ - ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร. ชื่อว่า อวิตกฺกํ เพราะอรรถว่า วิตกไม่มีในฌานนี้หรือแก่ฌานนี้ เพราะละได้ด้วยภาวนา. ชื่อว่า อวิจารํ ก็โดยนัยนี้เหมือนกัน.

ในบทนี้ พระสารีบุตรกล่าวว่า แม้ด้วยบทนี้ว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา - เพราะวิตกวิจารสงบ ก็สำเร็จความนี้แล้วมิใช่หรือ, เมื่อเป็น

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 508

เช่นนั้น เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ อีกเล่า. แก้ว่า เป็นอย่างนั้นแน่นอน. สำเร็จความนี้แล้ว, แต่บทนี้ยังไม่แสดงความข้อนั้น, เราได้กล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่าท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า อวิตกฺกวิจารานํ วูปสมา เพื่อแสดงว่าการบรรลุทุติยฌานเป็นต้นอื่นจากปฐมฌาน เพราะก้าวล่วงองค์หยาบๆ.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะวิตกวิจารสงบ ฌานนี้จึงเป็นความผ่องใส มิใช่ผ่องใสเพราะการสะสมของกิเลส, อนึ่ง มิใช่เพราะความปรากฏแห่งองค์ดุจปฐมฌาน เพราะเหตุนั้น คำกล่าวนี้จึงแสดงถึงเหตุแห่งการเข้าทุติยฌานเป็นความผ่องใส เป็นธรรมเอกผุดขึ้นอย่างนี้.

อนึ่ง เพราะวิตกวิจาราสงบ ฌานนี้จึงไม่มีวิตกวิจาร, มิใช่เพราะไม่มีดุจตติยฌานและจตุตถฌาน และจักขุวิญญาณเป็นต้น, เพราะเหตุนั้น คำกล่าวนี้จึงแสดงเหตุของความไม่มีวิตกวิจารอย่างนี้. มิใช่แสดงเพียงความไม่มีวิตกวิจาร. แต่คำกล่าวนี้ว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ แสดงเพียงความไม่มีวิตกวิจารเท่านั้น. เพราะฉะนั้น แม้กล่าวไว้ก่อน แล้วก็ควรกล่าวอีกได้.

บทว่า สมาธิชํ - เกิดแต่สมาธิ อธิบายว่า ทุติยฌานเกิดแต่สมาธิในปฐมฌานหรือแต่สมาธิที่ถึงพร้อมแล้ว. ในบทนั้นแม้ปฐมฌานเกิดแต่สมาธิที่ถึงพร้อมแล้วก็จริง ถึงดังนั้นสมาธินี้แลควรจะกล่าวว่า สมาธิ ได้ เพราะไม่หวั่นไหวนัก และเพราะยังไม่ผ่องใสด้วยดีโดยที่

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 509

วิตกวิจารยังกำเริบ. เพราะฉะนั้น เพื่อพรรณนาถึงคุณของฌานนี้ ท่านจึงกล่าวว่า สมาธิชํ. บทว่า ปีติสุขํ นี้ มีนัยดังกล่าวแล้ว. บทว่า ทุติยํ คือ ฌานที่สองตามลำดับของการนับ, ชื่อ ทุติยํ เพราะเกิดครั้งที่สองบ้าง.

บทว่า ปีติยา จ วิราคา - อนึ่ง เพราะปีติสิ้นไป ความว่า การเกลียดหรือการก้าวล่วงปีติมีประการดังกล่าวแล้ว ชื่อว่า วิราคะ, ศัพท์ในระหว่างสองบทนั้นเป็น สัมปิณฑนัตถะ ลงในอรรถว่า รวม. ศัพท์นั้นย่อมรวมความสงบ หรือวิตกวิจารสงบเข้าด้วยกัน. เพราะปีติสิ้นไปในขณะที่รวมความสงบไว้ได้นั่นเอง, อย่างไรก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พึงทราบการประกอบอย่างนี้ว่า วูปสมา จ ดังนี้.

อนึ่ง การสิ้นไปแห่งปีติที่ประกอบไว้นี้ มีความว่าน่าเกลียด, เพราะฉะนั้น พึงเห็นความนี้ว่า เพราะน่าเกลียดและก้าวล่วงปีติ, เพราะปีติสิ้นไปในขณะรวมความสงบแห่งวิตกวิจารไว้, อย่างไรก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพึงทราบการประกอบอย่างนี้ว่า เพราะวิตกวิจารสงบดังนี้. การสิ้นปีติที่ประกอบไว้นี้ มีความว่าก้าวล่วง, เพราะฉะนั้น พึงเห็นความอย่างนี้ว่า เพราะปีติก้าวล่วงไป และเพราะวิตกวิจารสงบ.

วิตกวิจารเหล่านี้สงบแล้วในทุติยฌานก็จริง, แต่ถึงดังนั้น เพื่อแสดงมรรคและเพื่อพรรณนาคุณของฌานนี้ ท่านจึงกล่าวบทนี้ไว้. จริงอยู่ เมื่อท่านกล่าวว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฌานนี้ย่อมปรากฏ

 
  ข้อความที่ 54  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 510

ว่ามรรคของฌานนี้มีวิตกวิจารสงบโดยแน่นอน. อนึ่ง เหมือนอย่างว่า ท่านกล่าวถึงการละไว้อย่างนี้ว่า ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปหานา (๑) - เพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ดังนี้ เป็นการพรรณนาคุณของกิเลสมีสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ไม่ละในอริยมรรคที่ ๓. เพื่อบรรลุถึงฌานนั้น การพรรณนาคุณของฌานนั้น ย่อมให้เกิดอุตสาหะเพื่อความขวนขวายต่อไปฉันใด, ท่านกล่าวถึงความสงบของวิตกวิจารแม้ยังไม่สงบไว้ในบทนี้ ก็เป็นการพรรณนาคุณฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวความนี้ไว้ว่า ปีติยา จ สมติกฺกมา วิตกฺกวิกวจารนญฺจ วูปสมา - ก้าวล่วงปีติและสงบวิตกวิจารดังนี้.

ในบทว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ ภิกษุเป็นผู้มีอุเบกขานี้มีความดังต่อไปนี้ ชื่อว่า อุเปกฺขา เพราะอรรถว่า เห็นโดยความเข้าถึง. อธิบายว่า เห็นสม่ำเสมอ คือ เห็นอยู่โดยไม่ตกไปในฝักฝ่ายไหน บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมในตติยฌาน เพราะประกอบด้วยอุเบกขานั้น อันบริสุทธิ์ ไพบูลย์ มีกำลัง ท่านจึงกล่าวว่า อุเปกฺขโก - เป็นผู้มีอุเบกขา.

อุเบกขา มี ๑๐ อย่าง คือ ฉฬังคุเบกขา ๑ พรหมวิหารุเบกขา ๑ โพชฌังคุเบกขา ๑ วีริยุเบกขา ๑ สังขารุเบกขา ๑ เวท


๑. ที. สี. ๙/๒๕๒.

 
  ข้อความที่ 55  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 511

นุเบกขา ๑ วิปัสสนุเบกขา ๑ ตัตรมัชฌัตตุเบกขา ๑ ฌานุเบกขา ๑ ปาริสุทธุเบกขา ๑.

ในอุเบกขาเหล่านั้น ฉฬังคุเบกขา คือ อุเบกขาอันเป็นอาการของความไม่ละความเป็นปรกติอันบริสุทธิ์ ในคลองอารมณ์ ๖ ทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาในทวาร ๖ ของพระขีณาสพที่มาอย่างนี้ว่า อิธ ภิกฺขเว ขีณาสโว ภิกฺขุ รูปํ ทิสฺวา เนว สุมโน โหติ น ทุมฺมโน, อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต สมฺปชาโน (๑) - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุขีณาสพในศาสนานี้ เห็นรูปแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ, เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ.

พรหมวิหารุเบกขา คือ อุเบกขาอันเป็นอากาของความเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลายที่มาแล้วอย่างนี้ว่า อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ (๒) - ภิกษุมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาแผ่ไปยังทิศหนึ่งอยู่.

โพชฌังคุเบกขา คือ อุเบกขาอันเป็นอาการของความเป็นกลางของธรรมอันเกิดร่วมกันที่มาแล้วอย่างนี้ว่า อุเปกฺขาสมฺโพชฺณงฺคํ ภเวติ วิเวกนิสฺสิตํ (๓) - ภิกษุเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อาศัยวิเวก.

วิริยุเบกขา คือ อุเบกขาอันได้แก่ความเพียรไม่ย่อหย่อนด้วยการปรารภถึงความไม่เที่ยงที่มาแล้วอย่างนี้ว่า กาเลน กาลํ อุเปกฺ


๑. องฺ. ฉกฺก ๒๒/๒๗๒.

๒.ที.สี. ๙/๓๘๔.

๓.ม.ม. ๑๓/๓๓๘.

 
  ข้อความที่ 56  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 512

ขานิมิตฺตํ มนสิกโรติ (๑) - ภิกษุใส่ใจถึงอุเบกขานิมิตตลอดกาล.

สังขารุเบกขา คือ อุเบกขาอันเป็นกลางในความไม่ยึดถือการดำรงอยู่ในความพิจารณานิวรณ์เป็นต้นอันมาแล้วอย่างนี้ว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา สมถวเสน อุปฺปชฺชนฺติ, กติ สงฺขารุเปกฺขา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺติ, อฏฺ สงฺขารุเปกฺขา สมถวเสน อุปฺปชฺชนฺติ, ทส สงฺขารุเปกฺขา วิปสฺสนาวเสน อุปฺปชฺชนฺติ (๒) - สังขารุเบกขาย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมณะเท่าไร สังขารุเบกขาย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนาเท่าไร, สังขารุเบกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ. สังขารุเบกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา.

เวทนุเบกขา คือ อุเบกขาที่ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สุขอันมาแล้วอย่างนี้ว่า ยสฺมึ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ อุเปกฺขาสหคตํ (๓) - สมัยใด จิตเป็นกามาวจรกุศลสหรคตด้วยอุเบกขาเกิดขึ้น.

วิปัสสนุเบกขา คือ อุเบกขาที่เป็นกลางในการค้นคว้าอันมาแล้วอย่างนี้ว่า ยทตฺถิ ยํ ภูตํ, ตํ ปชหติ, อุเปกฺขํ ปฏิลภติ (๔) - ภิกษุย่อมละสิ่งที่มีที่เป็นย่อมได้อุเบกขา.

ตัตรมัชณัตตุเบกขา คือ อุเบกขาที่นำสหชาตธรรมไปเสมออันมาในเยวาปนกธรรมมีฉันทะเป็นต้น.


๑. องฺ. ติก. ๒๐/๕๔๒.

๒. ขุ. ป. ๓๑/๑๓๓.

๓. อภิ. สํ. ๓๔/๑๓๕

๔. ม. อุ. ๑๔/๙๐.

 
  ข้อความที่ 57  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 513

ฌานุเบกขา คือ อุเบกขาอันยังธรรมที่ไม่ตกไปในฝักฝ่ายให้เกิดในฌานนั้น แม้เป็นสุขอย่างเลิศอันมาแล้วอย่างนี้ว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ (๑) - ภิกษุผู้มีอุเบกขาอยู่.

ปาริสุทธุเบกขา คือ อุเบกขาอันไม่ขวนขวายแม้ในความสงบจากธรรมเป็นข้าศึก บริสุทธิ์จากธรรมเป็นข้าศึกทั้งหมดอันมาแล้วอย่างนี้ว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ (๒) - ภิกษุเข้าจตุตถฌานมีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์.

ในอุเบกขาเหล่านั้น ฉฬังคุเบกขา พรหมวิหารุเบกขา โพชฌังคุเบกขา ตัตรมัชฌัตตุเบกขา ฌานุเบกขา และปาริสุทธุเบกขา โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน, คือเป็น ตัตรมัชฌัตตุเบกขา. แต่อุเบกขานั้นต่างกันโดยความต่างแห่งความไม่คงที่ ดุจความต่างของคนแม้คนหนึ่งโดยเป็นกุมาร เป็นหนุ่ม เป็นเถระ เป็นเสนาบดี เป็นพระราชาเป็นต้น, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่าในอุเบกขาเหล่านั้น ฉฬังคุเบกขามีอยู่ในฌานใด, ในฌานนั้นไม่มีโพชฌังคุเบกขาเป็นต้น, หรือว่าในฌานใดมีโพชฌังคุเบกขา, ในฌาณนั้นไม่มีฉฬังคุเบกขาเป็นต้น.

ความเป็นอย่างเดียวกัน โดยอรรถของอุเบกขาเหล่านั้นฉันใด, แม้ของสังขารุเบกขาและวิปัสสนุเบกขาก็ฉันนั้น. จริงอยู่อุเบกขานั้น


๑. ที.สี. ๙/๑๒๘.

๒. อภิ. สํ. ๓๔/๑๔๖.

 
  ข้อความที่ 58  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 514

คือ ปัญญานั่นเอง โดยกิจแยกออกเป็นสองอย่าง. เหมือนอย่างว่า บุรุษเมื่อจะจับงูที่เลื้อยเข้าไปยังเรือน ในเวลาเย็นแสวงหาไม้ตีนแพะ เห็นงูนั้นนอนอยู่ที่ห้องเล็ก จึงมองดูว่า งูหรือไม่ใช่งู, ครั้นเห็นเครื่องหมาย ๓ แฉกก็หมดสงสัย ความเป็นกลางในสืบเสาะดูว่างู, ไม่ใช่งู, ย่อมเกิดขึ้นฉันใด, เมื่อภิกษุเจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ด้วยวิปัสสนาญาณ ความเป็นกลางในการค้นหาไตรลักษณ์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น ของสังขารย่อมเกิดขึ้น ฉันนั้น นี้คือ วิปัสสนุเบกขา. อนึ่ง เมื่อบุรุษนั้นเอาไม้ตีนแพะจับงูจนมั่น คิดว่า ทำอย่างไร (๑) เราจะไม่ทำร้ายงูนี้ และจะไม่ให้งูนี้กัดตนพึงปล่อยไป แล้วหาวิธีที่จะปล่อยงูไป ในขณะจับนั้น ย่อมมีความเป็นกลางฉันใด, ความเป็นกลางในการยึดถือสังขารของภิกษุผู้เห็นภพ ๓ ดุจเห็นไฟติดทั่วแล้ว เพราะเห็นไตรลักษณ์ก็ฉันนั้น นี้คือ สังขารุเบกขา. เมื่อวิปัสสนุเบกขาสำเร็จแล้ว แม้สังขารุเบกขาก็เป็นอันสำเร็จแล้วด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ด้วยบทนี้อุเบกขานี้แบ่งเป็นสองส่วน โดยกิจกล่าวคือ ความเป็นกลางในการพิจารณาและการจับ. ส่วนวิริยุเบกขาและเวทนุเบกขา โดยอรรถยังต่างกันอยู่ คือ เป็นของต่างซึ่งกันและกัน และยังต่างจากอุเบกขาที่เหลือ.


๑. กินฺตาหํ อิมํ สปฺปํ อวิเหเนฺโต...

 
  ข้อความที่ 59  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 515

อนึ่ง ในอธิการนี้พระสารีบุตรกล่าวว่า

อุเบกขา ๑๐ โดยพิสดาร คือ มัชฌัตตุเบกขา พรหมวิหารุเบกขา โพชฌังคุเบกขา ฉฬังคุเบกขา ฌานุเบกขา ปาริสุทธุเบกขา วิปัสสนุเบกขา สังขารุเบกขา เวทนุเบกขา และวิริยุเบกขา, จากนั้นมีมัชฌัตตุเบกขาเป็นต้น ๖ จากปัญญุเบกขา อย่างละ ๒ รวมเป็น ๔.

ในอุเบกขาเหล่านั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาฌานุเบกขา. ฌานุเบกขานั้นมีลักษณะเป็นกลาง. ในอธิการนี้พระสารีบุตรกล่าวว่า อุเบกขานี้โดยอรรถย่อมเป็นตัตรมัชฌัตตุเบกขามิใช่หรือ. อนึ่ง อุเบกขานั้นอยู่แม้ในปฐมฌานและทุติยฌาน. เพราะเหตุนั้นแม้ในฌานนั้นก็ควรกล่าวถึงอุเบกขาอย่างนี้ว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ, เพราะเหตุไรท่านจึงไม่กล่าวถึงอุเบกขานั้นเล่า? เพราะความไม่เฉียบแหลมเป็นกิจ. กิจในฌานเป็นของภิกษุนั้นชื่อว่า ความไม่เฉียบแหลม เพราะถูกวิตกเป็นต้น ครอบงำ, แต่ในอธิการนี้ อุเบกขานี้มีความเฉียบแหลมเป็นกิจ เพราะไม่ถูกวิตก วิจาร ปีติครอบงำ ดุจเงยศีรษะขึ้น, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้.

 
  ข้อความที่ 60  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 516

บัดนี้พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า สโต จ สมฺปชาโน ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า สโต เพราะระลึกได้. ชื่อว่า สมฺปชาโน เพราะรู้พร้อม. สติและสัมปชัญญะท่านกล่าวโดยบุคคล. ในบทนั้นสติมีความระลึกได้เป็นลักษณะ. สัมปชัญญะมีความไม่หลงเป็นลักษณะ. สติสัมปชัญญะนี้มีอยู่ แม้ในปุริมฌานก็จริง ถึงดังนั้นผู้มีสติลุ่มหลง ไม่มีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะแม้เพียงอุปจารก็ยังไม่สมบูรณ์ จะพูดไปทำไมถึง อัปปนา. เพราะสติสัมปชัญญะหยาบ คติแห่งจิตของบุรุษย่อมเป็นสุข ดุจในภูมิแห่งฌานเหล่านั้น, ความไม่เฉียบแหลม มีสติสติมปชัญญะในคตินั้นเป็นกิจ.

ก็เพราะฌานนี้ละเอียดโดยละองค์อย่างหยาบเสีย พึงปรารถนาคติแห่งจิตอย่างนี้ กำหนดสติสัมปชัญญะเป็นกิจ ดุจบุรุษปรารถนาคติ ในคมมีดฉะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในที่นี้. อะไรเล่ายิ่งไปกว่านั้นเหมือนลูกโคเข้าไปหาแม่โค ถูกนำออกไปจากแม่โค ไม่ได้รับการดูแล จึงเข้าไปหาแม่โคอีกฉันใด สุขในตติยฌานนี้ก็ฉันนั้น ถูกนำออกจากปีติอันสติสัมปชัญญะไม่รักษา พึงเข้าไปหาปีติอีก, สุขใน ตติยฌานพึงสัมปยุตด้วยปีตินั่นแล. สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีแม้ในความสุข, ความสุขนี้มีรสหวานชื่นยิ่งนัก เพราะไม่มีสุขยิ่งไปกว่านั้น. เพื่อแสดงความพิเศษของอรรถนี้ว่า ด้วยอานุภาพของสติสัมปชัญญะ ความ

 
  ข้อความที่ 61  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 517

ไม่ยินดีย่อมมีในความสุขนี้ มิได้มีด้วยประการอื่น พึงทราบว่า ท่านจึงกล่าวบทว่า สโต จ สมฺปชาโน นี้ไว้ในที่นี้.

บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ - ภิกษุเสวยสุขด้วยนามกายดังต่อไปนี้ ภิกษุผู้มีความพร้อมด้วยตติยฌาน ย่อมไม่มีความผูกใจในการเสวยสุขโดยแท้, แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะสุขสัมปยุตด้วยนามกายของภิกษุนั้น, สุขสัมปยุตด้วยนามกายเป็นของธรรมดา, เพราะรูปกายของภิกษุนั้นถูกรูปที่ประณีตยิ่ง อันมีความสุขนั้นเป็นสมุฏฐานถูกต้องแล้ว, ภิกษุแม้ออกจากฌาน เพราะรูปประณีตถูกต้องแล้วก็ยังพึงเสวยความสุขอยู่ได้, ฉะนั้น พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงความนี้จึงกล่าวว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ ดังนี้.

บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี ดังต่อไปนี้ ภิกษุเข้าตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดังต่อไปนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมแจกแจง ย่อมทำให้ง่าย ย่อมประกาศ, อธิบายว่า ย่อมสรรเสริญบุคคลผู้พร้อมด้วยตติยฌานนั้น เพราะฌานเป็นเหตุเป็นปัจจัย. สรรเสริญว่าอย่างไร? สรร

 
  ข้อความที่ 62  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 518

เสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข. ในบทนี้พึงทราบการประกอบอย่างนี้ว่า ภิกษุเข้าตติยฌานนั้นอยู่เป็นสุข ดังนี้.

ก็เพราะเหตุไรพระอริยเจ้าเหล่านั้น จึงสรรเสริญบุคคลนั้นอย่างนี้? เพราะเป็นผู้ควรแก่การสรรเสริญ. ด้วยว่าบุคคลนี้แม้เมื่อความสุข มีรสสดชื่นยิ่ง บรรลุบารมีอันเป็นความสุขแล้วก็ยังเป็นผู้มีอุเบกขาในตติยฌาน, ไม่ถูกความข้องต่อความสุขในฌานนั้นฉุดคร่าไว้. ภิกษุชื่อว่า มีสติ เพราะตั้งสติไว้มั่นโดยที่ปีติยังไม่เกิด.

อนึ่ง เพราะภิกษุเสวยสุขไม่เศร้าหมองที่อริยชนใคร่ และอริยชนเสพด้วยนามกาย ฉะนั้น จึงเป็นผู้ควรแก่การสรรเสริญ. เพราะภิกษุเป็นผู้ควรแก่การสรรเสริญ พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงประกาศบุคคลนั้นในคุณอันเป็นเหตุควรแก่การสรรเสริญอย่างนี้ พึงทราบว่า ท่านสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี - เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขดังนี้. บทว่า ตติยํ ชื่อว่า ตติยะ เพราะตามลำดับของการนับ. ชื่อว่า ตติยะ เพราะเกิดเป็นครั้งที่ ๓ บ้าง.

บทว่า สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา - เพราะละสุขและละทุกข์ ได้แก่ เพราะละสุขทางกายและทุกข์ทางกาย.

บทว่า ปุพฺเพว คือ เพราะละสุขและทุกข์นั้นก่อนๆ ได้, มิใช่ละได้ในขณะจตุตถฌาน.

บทว่า โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา - เพราะดับโสมนัสและโทมนัสได้ คือ เพราะดับโสมนัสและโทม

 
  ข้อความที่ 63  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 519

นัสทั้งสองนี้ คือ สุขทางใจและทุกข์ทางใจก่อนๆ ได้, เป็นอันท่านกล่าวว่า ปหานา - เพราะละอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

ทั้งสองนั้นจะละได้เมื่อไร? ละได้ในขณะอุปจารแห่งฌาน ๔ จริงอยู่ โสมนัสละได้ในขณะอุปจารแห่งฌานที่ ๔ เท่านั้น, ทุกข์ โทมนัส สุขละได้ในขณะอุปจารแห่งฌานที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓. เมื่อท่านไม่กล่าวฌานเหล่านี้ตามลำดับแห่งการละอย่างนี้ แต่ในอินทริยวิภังค์ (๑) พึงทราบการละสุข ทุกข์ โสมนัส และโทมนัสไว้ในที่นี้ตามลำดับแห่งอุทเทสของอินทรีย์ทั้งหลาย.

ผิว่า สุข ทุกข์ โสมนัสและโทมนัสเหล่านี้ละได้ในขณะอุปจารแห่งฌานนั้นๆ ไซร้, เมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุไรท่านจึงกล่าว นิโรธนั้นไว้ในฌานอย่างนี้ว่า ก็ทุกขินทรีย์เกิดแล้วย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌานอยู่. ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่นี้. โทมนัสสินทรีย์ สุขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีเหลือในที่ไหน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขและทุกข์ได้ ฯลฯ เข้าถึงจตุตถฌานอยู่. โสมนัสสินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มี


๑. อภิ. วิ. ๓๕/๒๓๖.

 
  ข้อความที่ 64  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 520

เหลือในที่นี้ (๑) เพราะดับวิเศษยิ่ง. จริงอยู่การดับอย่างวิเศษยิ่งของทุกขินทรีย์เป็นต้น เหล่านั้นมีในปฐมฌานเป็นต้น, มิใช่นิโรธในอุปจารเท่านั้นดับ. นิโรธดับในขณะแห่งอุปจาร มิใช่ดับอย่างดียิ่ง. เป็นความจริงอย่างนั้น ทุกขินทรีย์แม้ดับไปในอุปจารแห่งปฐมฌานในการพิจารณาต่างๆ ก็พึงเกิดขึ้นได้ด้วยถูกเหลือบและยุงเป็นต้นกัด หรือด้วยความลำบากที่มีอาสนะไม่เรียบ มิใช่ภายในอัปปนาเท่านั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ทุกขินรีย์เป็นต้นนี้ แม้ดับแล้วในอุปจาร, ก็เป็นอันว่ายังดับไม่ดีนัก เพราะยังกำจัดปฏิปักษ์ไม่ได้, แต่กายทั้งหมดหยั่งลงสู่ความสุขด้วยการซ่านไปแห่งปีติในภายในอัปปนา, อนึ่ง ทุกขินทรีย์เป็นอันดับไปด้วยดี เพราะกายหยั่งลงสู่ความสุขกำจัดปฏิปักษ์เสียได้.

อนึ่ง ทุกขินทรีย์นี้เมื่อยังมีความลำบากกายและจิตมุ่งร้าย แม้ มีวิตกวิจารเป็นปัจจัย ย่อมเกิดขึ้นแก่โทมนัสสินทรีย์ แม้ละได้แล้วในอุปจารแห่งทุติยฌาน ในการพิจารณาต่างๆ , ทุติยฌานย่อมเกิดขึ้น เพราะไม่มีวิตกวิจารนั่นเอง. ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นในความมีวิตกวิจารในฌานที่ทุกขินทรีย์เกิดขึ้น. ทุกขินทรีย์พึงเกิดขึ้นในฌานนั้น เพราะวิตกวิจารยังละไม่ได้ในอุปจารแห่งทุติยฌาน, ในทุติยฌานไม่ต้องพูดถึงกันละเพราะมีปัจจัยอันละได้แล้ว.


๑. สํ. มหา. ๑๙/๙๕๗.

 
  ข้อความที่ 65  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 521

อนึ่ง แม้สุขินทรีย์ละได้แล้วในอุปจารแห่งตติยฌาน กายที่ถูกรูปประณีตมีปีติเป็นสมุฏฐานก็พึงเกิดขึ้นได้, ในตติยฌานไม่ต้องพูดถึงกันละ. เพราะในตติยฌานปีติเป็นปัจจัยแห่งความสุขเป็นอันดับไปโดยประการทั้งปวง. เพราะโสมนัสสินทรีย์แม้ละได้ในอุปจารแห่วจตุตถฌานก็ใกล้เข้าไปแล้วเช่นกัน เพราะไม่มีอุเบกขาที่ถึงขั้นอัปปนา และเพราะไม่ก้าวล่วงไปโดยชอบ ปีติก็จะพึงเกิดขึ้นได้. ในจตุตถฌานไม่ต้องพูดถึงกันละ. เพราะฉะนั้นจึงถือเอาโดยไม่เหลือในบทนั้นๆ ว่า เอตฺถุปฺปนฺนํ ทุกฺขินฺทฺริยํ อปริเสสํ นิรุชฺฌติ - ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปโดยไม่เหลือในที่นี้ ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

ในบทนี้พระเถระกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเวทนาแม้ละได้แล้ว ในอุปจารแห่งฌานนั้นๆ อย่างนี้ เหตุใดจึงนำมารวมไว้ในที่นี้อีก? เพื่อถือเอาสุขเวทนา. จริงอย่างนั้นอทุกขมสุขเวทนาที่ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า อทุกฺขมสุขํ เป็นเวทนาที่ละเอียดอ่อนรู้ได้ยาก. คือ ไม่สามารถถือเอาได้ง่ายนัก, เพราะฉะนั้น จึงนำเวทนาทั้งหมดมารวมกันเพื่อถือเอาความสุขเหมือนคนเลี้ยงโคนำโคทั้งหมดมารวมกันในคอกเดียว เพื่อจะจับโคดุ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะเข้าไปจับใกล้ๆ ได้ เพราะมันเป็นโคดุ, ครั้นแล้วจึงนำออกทีละตัว สั่งให้จับตัวที่มาถึงตามลำดับว่านี้โคตัวนั้นจับมันดังนี้. ครั้นแสดงเวทนาเหล่านี้ที่นำมารวมไว้อย่างนี้แล้วว่า สิ่งใด

 
  ข้อความที่ 66  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 522

ไม่ใช่สุข, ไม่ใช่ทุกข์, ไม่ใช่โสมนัส, ไม่ใช่โทมนัส สิ่งนี้เป็นอทุกขมสุขเวทนาดังนี้แล้วจึงสามารถกำหนดถือเอาเวทนานี้ได้.

อีกอย่างหนึ่งพึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงเวทนาเหล่านี้ก็เพื่อแสดงเหตุของเจโตวิมุตติด้วยอทุกขมสุขเวทนา. เพราะว่าการละสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นต้น เป็นปัจจัยแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้น. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๔ แล เพื่อความถึงพร้อมเจโตวิมุตติ อันเป็นอทุกขมสุขเวทนา, ดูก่อนอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขและทุกข์ ฯลฯ เข้าถึงจตุตถฌานอยู่, ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๔ เหล่านี้แล เพื่อความถึงพร้อมแห่งเจโตวิมุตติ อันเป็นอทุกขมสุขเวทนา. (๑)

อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวถึงสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ละได้แล้ว ในที่อื่นก็เป็นอันละได้ในที่นั้น เพื่อพรรณนาคุณของอนาคามิมรรค ฉันใด, พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงเวทนาเหล่านั้นไว้ในที่นี้ ก็เพื่อพรรณนาคุณของฌานนี้ฉันนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าในที่นี้ท่านกล่าวถึงเวทนาเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงความที่ราคะโทสะยังไกลนักด้วยการทำลายเหตุ. จริงอยู่ในเวทนาเหล่านั้น สุขเวทนาเป็นปัจจัยแห่งโสมนัส, โสมนัสเป็นปัจจัยแห่งราคะ, ทุกขเวทนาเป็นปัจจัยแห่งโทม


๑. ม.ม. ๑๒/๕๐๓.

 
  ข้อความที่ 67  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 523

นัส, โทมนัสเป็นปัจจัยแห่งโทสะ. อนึ่ง ราคะโทสะพร้อมด้วยเหตุถูกทำลายเสียแล้วด้วยการทำลายสุขเวทนาเป็นต้น เพราะเหตุนั้น เวทนาเหล่านั้นจึงอยู่ในที่ไกลนัก.

บทว่า อทุกขมสุขํ ชื่อว่า อทุกฺขํ เพราะไม่มีทุกข์. ชื่อว่า อสุขํ เพราะไม่มีสุข. ด้วยบทนี้ท่านแสดงเวทนาที่ ๓ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์และสุขไว้ในที่นี้. ไม่แสดงเพียงความไม่มีทุกข์และสุข. อทุกขมสุขเวทนา ชื่อว่าเวทนาที่ ๓, ท่านกล่าวว่าอุเบกขาบ้าง. อุเบกขาเวทนานั้นมีลักษณะเสวยอารมณ์ตรงกันข้ามกับอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์.

บทว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทธึ คือ ความบริสุทธิ์ของสติเกิดด้วยอุเบกขา. เพราะสติบริสุทธิ์ด้วยมีในฌานนี้, ความบริสุทธิ์แห่งสตินั้นบำเพ็ญด้วยอุเบกขา, มิใช่ด้วยอย่างอื่น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวบทนี้ว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ. พึงทราบว่า ความบริสุทธิ์แห่งสติด้วยอุเบกขาในที่นี้โดยอรรถ ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตา. อนึ่ง ในที่นี้มิใช่สติบริสุทธิ์ด้วยอุเบกขาอย่างเดียวเท่านั้น, สัมปยุตธรรมแม้ทั้งหมดก็บริสุทธิ์ด้วย แต่ท่านกล่าวเทศนาด้วยหัวข้อของสติ.

ในเวทนาเหล่านั้น อุเบกขาเวทนานี้มีอยู่ในฌาน ๓ เบื้องต่ำก็จริง ก็ดวงจันทร์คือตัตรมัชฌัตตุเบกขาแม้นี้ ครอบงำด้วยเดชแห่งธรรม อันเป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้น ไม่ได้ราตรี คือ อุเบกขาเวทนาอันเป็นสภาค

 
  ข้อความที่ 68  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 524

กันแม้มีอยู่ ก็เป็นอันไม่บริสุทธิ์ในประเภทมีปฐมฌานเป็นต้น เหมือนดวงจันทร์ครอบงำแสงอาทิตย์ในกลางวัน ไม่ได้ราตรีอันเป็นสภาคกัน โดยความเป็นดวงจันทร์หรือโดยความเป็นอุปการะของตน แม้มีอยู่ในกลางวันมีไม่บริสุทธิ์ไม่ผ่องใสฉะนั้น.

อนึ่ง เมื่อดวงจันทร์ คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขานั้นไม่บริสุทธิ์ สติเป็นต้น แม้เป็นสหชาตปัจจัยก็เป็นอันไม่บริสุทธิ์ด้วย ดุจรัศมีของดวงจันทร์ที่ไม่บริสุทธิ์ในกลางวันฉะนั้น. เพราะฉะนั้น ในเวทนาเหล่านั้นท่านไม่กล่าวถึงเวทนาแม้อย่างหนึ่งว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิ. แต่ในที่นี้ดวงจันทร์ คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขานี้ไม่มีการครอบงำด้วย ธรรมเดชอันเป็นข้าศึกแก่วิตกเป็นต้น และได้ราตรี คือ อุเบกขาเวทนาอันเป็นสภาคกัน จึงเป็นอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง, เพราะดวงจันทร์ คือ ตัตรมัชฌัตตุเบกขานั้นบริสุทธิ์ สติเป็นต้น แม้เป็นสหชาตธรรมก็เป็นอันบริสุทธิ์ผ่องใส ดุจรัศมีของดวงจันทร์บริสุทธิ์ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านกล่าวบทนี้ไว้อย่างนี้ว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ ดังนี้. บทว่า จตุตฺถํ ชื่อว่า จตุตถะ เพราะตามลำดับของการนับ, ชื่อว่า จตุตถะ เพราะเกิดเป็นครั้งที่ ๔ บ้าง.

ฌาน ๔ เหล่านี้ต่างกันในส่วนเบื้องต้นบ้าง, ในขณะแห่งมรรคบ้าง. ในส่วนเบื้องต้นต่างกันด้วยสมาบัติ, ในขณะแห่งมรรคต่างกันด้วยมรรค. จริงอยู่ ปฐมมรรคแห่งฌานหนึ่งมีอยู่ในปฐมฌาน, แม้

 
  ข้อความที่ 69  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 525

ทุติยมรรคเป็นต้น ก็มีอยู่ในปฐมฌาน หรือยู่ในฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น. ปฐมมรรคแห่งฌานหนึ่งมีอยู่ในฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น, แม้ทุติยมรรคเป็นต้น ก็มีอยู่ในฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น หรือมีอยู่ในปฐมฌาน.

มรรคแม้ ๔ อย่างเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง เหมือนกันบางส่วนบ้าง ด้วยอำนาจของฌาน ด้วยประการฉะนี้. ความวิเศษแห่งมรรคนั้นย่อมมีโดยกำหนดฌานเป็นบาท.

จริงอยู่ เมื่อผู้ได้ปฐมฌานออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งมรรคที่เกิดแล้ว ย่อมมีในปฐมฌาน, อนึ่ง โพชฌงค์อันเป็นองค์แห่งมรรคเป็นอันบริบูรณ์แล้วในปฐมฌานนี้. เมื่อผู้ได้ทุติยฌานออกจากทุติยฌานแล้วเห็นแจ้งมรรคที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีในทุติยฌาน, องค์แห่งมรรคในทุติยฌานนี้มี ๗ อย่าง. ผู้ได้ตติยฌานออกจากตติยฌานแล้ว เห็นแจ้งมรรคที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีในตติยฌาน. องค์แห่งมรรคในตติยฌานนี้มี ๗ อย่าง โพชฌงค์มี ๖ อย่าง. นัยนี้ย่อมได้ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน. จตุกฌานและปัญจกฌานย่อมเกิดในความไม่มีรูป. อนึ่ง จตุกฌานและปัญจกฌานนั้นแล เป็น โลกุตระ ท่านกล่าวว่าไม่เป็น โลกิยะ. ในฌานนี้ท่านกล่าวไว้อย่างไร? ภิกษุใดออกจากฌานมีปฐมฌานเป็นต้นในฌานนี้แล้ว ได้โสดาปัตติมรรคแล้วเจริญอรูปสมาบัติเกิดแล้วในความไม่มีรูป, มรรค ๓ ในฌาน

 
  ข้อความที่ 70  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 526

นั้น ย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้นผู้ได้ฌานนั้น. เธอย่อมกำหนดฌานเป็นบาทเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

ส่วนพระเถระบางรูปกล่าวว่า ขันธ์อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ย่อมกำหนด. บางรูปกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคล ย่อมกำหนด บางรูปกล่าวว่า วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี ย่อมกำหนด.

ในบทนั้นมีกถาตามลำดับอย่างนี้ มรรคที่เกิดขึ้นแก่พระสุกขวิปัสสกโดยกำหนดวิปัสสนาบ้าง, มรรคที่ไม่ทำฌานให้เป็นบาทเกิดขึ้นแก่ผู้ได้สมาบัติบ้าง, มรรคที่ภิกษุทำปฐมฌานให้เป็นบาทแล้วพิจารณาสังขารเล็กๆ น้อยๆ ให้เกิดขึ้นบ้าง, ย่อมมีอยู่ในปฐมฌานทั้งนั้น ในมรรคทั้งหมด ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ องค์มรรค ๘ องค์ฌาน ๕. วิปัสสนาอันเป็นส่วนเนื่องต้นของมรรคเหล่านั้น สหรคตด้วยโสมนัสบ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ถึงความเป็นสังขารุเบกขาในเวลาออกเป็นอันสหรคตด้วยโสมนัสทั้งนั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในปัญจกนัยดังต่อไปนี้ ฌานมีองค์ ๔ มีองค์ ๓ และมีองค์ ๒ ย่อมมีตามลำดับในมรรคที่ภิกษุทำทุติยฌานตติยฌานและจตุตถฌานให้เป็นบาทแล้วให้เกิดขึ้น. ในฌานทั้งหมดองค์มรรคมี ๗ ในฌานที่ ๔ โพชฌงค์มี ๖. ความวิเศษนี้ย่อมมิได้ด้วยการกำหนดฌานเป็นบาท และด้วยการกำหนดวิปัสสนา.

 
  ข้อความที่ 71  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 527

จริงอยู่ วิปัสสนาเป็นส่วนเบื้องต้นของฌานเหล่านั้น เป็นอันสหรคตด้วยโสมนัสบ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง, วุฏฐานคามินี สหรคตด้วยโสมนัสเท่านั้น. องค์ฌาน ๒ ด้วยสามารถแห่งอุเบกขาและความมีจิตมีอารมณ์เดียว ในมรรคที่ทำปฐมฌานให้เป็นบาทแล้วเกิดขึ้น, องค์แห่งโพชฌงค์ ๖ และ ๗. ความวิเศษแม้นี้ย่อมมีด้วยสามารถความนิยมทั้งสอง.

จริงอยู่ ในนัยนี้วิปัสสนาในส่วนเบื้องต้น สหรคตด้วยโสมนัส หรือสหรคตด้วยอุเบกขา. วุฏฐานคามินีสหรคตด้วยอุเบกขาเท่านั้น. นี้ในมรรคที่ภิกษุทำอรูปฌานให้เป็นบาทแล้วให้เกิดขึ้น ก็พึงทราบนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในจตุกนัยนี้พึงนำวิตกวิจารออกไป แล้วประกอบส่วนที่เหลือ เพราะทุติยฌานไม่มีวิตกวิจาร. สมาบัติที่ภิกษุอยู่ในที่ที่ใกล้มรรค ซึ่งภิกษุออกจากฌานเป็นบาทอย่างนี้แล้วพิจารณาสังขาร อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วทำให้เกิดขึ้น ย่อมทำสมาบัติเช่นกับตน เช่นเดียวกับเหี้ยทำสีให้เหมือนสีพื้นดินฉะนั้น.

ในวาทะของพระเถระรูปที่ ๒ มีอยู่ว่า มรรคย่อมเป็นเช่นกับสมาบัติที่ภิกษุออกแล้วพิจารณาถึงธรรมในสมาบัติเกิดขึ้น. แม้ในวาทะของพระเถระนั้นพึงทราบวิปัสสนานิยม โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

ในวาทะของพระเถระรูปที่ ๓ มีว่า มรรคเป็นเช่นกับฌานที่ทำให้เป็นบาท ตามสมควรแก่อัธยาศัยของตนแล้ว พิจารณาธรรมในฌาน

 
  ข้อความที่ 72  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 528

เกิดขึ้น. ฌานนั้นเว้นฌานเป็นบาท หรือฌานที่พิจารณาแล้ว ย่อมไม่สำเร็จโดยเพียงอัธยาศัยเท่านั้น. อนึ่ง แม้ในวาทะของพระเถระ ก็พึงทราบวิปัสสนานิยม โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า อยํ วุจฺจติ สมฺมาสมาธิ - นี้ท่านกล่าวว่าสัมมาสมาธิ ความว่า ความที่จิตมีอารมณ์เดียวในฌาน ๔ เหล่านี้ ในส่วนเบื้องต้นเป็นโลกิยะ, ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า สัมมาสมาธิ. พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแสดงมรรคสัจด้วยโลกิยะและโลกุตระด้วยประการฉะนี้.

องค์มรรคทั้งหมดในโลกิยมรรคนั้น เป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในอารมณ์ ๖ ตามสมควร. ส่วนในโลกุตรมรรค สัมมาทิฏฐิ อันเป็นปัญญาจักษุถอนอวิชชานุสัย มีนิพพานเป็นอารมณ์ของความเป็นอริยะ เป็นไปแล้วด้วยการแทงตลอดอริยะสัจ ๔,

อนึ่ง สัมมาสังกัปปะ คือการยกขึ้นสู่บทแห่งนิพพานทางใจ ถอนมิจฉาสังกัปปะ ๓ อย่าง สัมปยุตด้วยสัมมาทิฏฐินั้นของผู้มี่ทิฏฐิถึงพร้อมแล้ว,

สัมมาวาจา เว้นมิจฉาวาจา ถอนวจีทุจริต ๔ อย่าง สัมปยุตด้วยสัมมาสังกัปปะนั้นของผู้เห็นและตรึกอย่างนั้น

สัมมากัมมันตะ เว้นมิจฉากัมมันตะ ตัดมิจฉากัมมันตะ ๓ อย่าง สัมปยุตด้วยสัมมาวาจานั้นของผู้เว้นอย่างนั้น,

 
  ข้อความที่ 73  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 529

สัมมาอาชีวะคือเว้นจากมิจฉาอาชีวะตัดความหลอกลวงเป็นต้น สัมปยุตด้วยสัมมากัมมันตะนั้น เป็นความผ่องแผ้วของวาจากัมมันตะเหล่านั้นของบุคคลนั้น.

สัมมาวายามะ ปรารภความเพียร ตัดความเกียจคร้าน สัมปยุตด้วยสัมมากัมมันตะนั้น สมควรแก่สัมมากัมมันตะนั้น ของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีลภูมิ กล่าวคือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ และให้สำเร็จโดยไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ละอกุศลที่เกิดขึ้น ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ในกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว,

สัมมาสติ ความที่จิตไม่ลุ่มหลง กำจัดมิจฉาสติสัมปยุตด้วยสัมมาวายามะนั้นของผู้พยายามอยู่อย่างนี้ และให้สำเร็จการพิจารณากายในกายเป็นต้น,

สัมมาสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวกำจัดมิจฉาสมาธิสัมปยุตด้วยสัมมาสตินั้นของผู้ที่คุ้มครองจิต ตั้งจิตไว้ดีด้วยสติอย่างยอดเยี่ยม. นี้คือ อัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ เป็นโลกุตระ.

มรรคที่เป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นั้น พร้อมด้วยโลกิยมรรค ได้แก่ วิชชา และจรณะ เพราะสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะด้วย วิชชา สงเคราะห์ธรรมที่เหลือด้วย จรณะ. อนึ่ง ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา เพราะสงเคราะห์ธรรมทั้งสองอย่างนั้นด้วย

 
  ข้อความที่ 74  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 530

วิปัสสนายาน สงเคราะห์ธรรมนอกนั้นด้วยสมถยาน. ได้แก่ขันธ์ ๓ และสิกขา ๓ เพราะสงเคราะห์ธรรมทั้งสองนั้นด้วยปัญญาขันธ์ สงเคราะห์ธรรม ๓ อย่างในลำดับธรรมนั้นด้วยสีลขันธ์ สงเคราะห์ธรรม ๓ อย่างที่เหลือด้วยสมาธิขันธ์ และสงเคราะห์ด้วยอธิปัญญาสิกขา อธิสีลสิกขา และอธิจิตตสิกขา.

พระอริยสาวกประกอบด้วยมรรค เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ดุจคนเดินทางไกลประกอบด้วยตาสามารถเห็นได้ และด้วยเท้าสามารถเดินไปได้ เว้นที่สุด ๒ อย่าง คือ เว้นกามสุขัลลิกานุโยคด้วยวิปัสสนายาน เว้นอัตกิลมถานุโยคด้วยสมถยาน ปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทา ทำลายกองโมหะด้วยปัญญาขันข์... กองโทสะด้วยสีลขันธ์... กองโลภะด้วยสมาธิขันธ์ ถึงสมบัติ ๓ คือ ปัญญาสัมปทาด้วยอธิปัญญาสิกขา, สีลสัมปทาด้วยอธิสีลสิกขา, สมาธิสัมปทาด้วยอธิจิตตสิกขา แล้วบรรลุนิพพานอันเป็นอมตะ. ภิกษุหยั่งลงสู่อริยภูมิ กล่าวคือ สัมมัตตนิยาม อันวิจิตรด้วยธรรมรัตนะ คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ งามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถามรรคสัจนิทเทส

 
  ข้อความที่ 75  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 531

อรรถกถาสัจปกิณกะ

ก็ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น ทุกขสัจจะ มีลักษณะเบียดเบียน. สมุทยสัจจะ มีลักษณะเป็นแดนเกิด, นิโรธสัจจะ มีลักษณะสงบ, มรรคสัจจะ มีลักษณะนำออก, อีกอย่างหนึ่ง อริยสัจมีปวัตติ- การเป็นไป มีปวัตตกะ-ผู้ให้เป็นไป มีนิวัตติ-การไม่เป็นไป และมีนิวัตตกะ-เหตุไม่เป็นไป เป็นลักษณะโดยลำดับ และมีสังขตะ คือทุกข์มีตัณหา คือเหตุให้เกิดทุกข์ มีอสังขตะ คือนิพพาน และมีทัศนะ คือ มรรคเป็นลักษณะเหมือนกัน

หากมีคำถามว่า ก็เพราะเหตุไรท่านจึงกล่าวอริยสัจ ๔ ไม่หย่อนไม่ยิ่ง. เพราะไม่มีอย่างอื่น และเพราะไม่ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป. เพราะว่าสิ่งอื่น หรือยิ่งไปกว่านี้ หรืออริยสัจเหล่านั้นจะพึงนำออกแม้อย่างเดียว ไม่มี.

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พึงมาในที่นี้ กล่าวว่า ข้อที่พระสมณโคดมแสดง ไม่ใช่ทุกขอริยสัจ ทุกขอริยสัจเป็นอย่างอื่นนั้น, เราจักบัญญัติทุกขอริยสัจอย่างอื่น เว้นทุกขอริยสัจ ๔ ดังนี้ ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 76  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 532

ตรัสไว้อีกว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้อที่พระสมณโคดมแสดงว่านี้มิใช่ทุกข์ อันเป็นอริยสัจข้อที่ ๑, เราจักบัญญัติทุกข์อื่นอันเป็นอริยสัจข้อที่ ๑ โดยบอกปัดทุกข์นี้อันเป็นอริยสัจข้อที่ ๑ เสียดังนี้ ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ดังนี้เป็นต้น (๑) .

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงบอกปวัตติ-ความเป็นไป จึงทรงบอกพร้อมด้วยเหตุ, และบอกนิวัตติ คือพระนิพพาน พร้อมด้วยอุบาย คือมรรค. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอริยสัจ ๔ โดยเป็นธรรมอย่างยิ่งไปกว่านั้นแห่งเหตุทั้ง ๒ ประการ คือ ของปวัตติ - ความเป็นไปและนิวัตติ - การกลับไป.

อนึ่ง ท่านกล่าวถึงอริยสัจ ๔ ด้วยสามารถแห่งตัณหาวัตถุ ตัณหา ตัณหานิโรธ และอุบายดับตัณหา, และความอาลัย ยินดีในความอาลัย ถอนความอาลัย และอุบายในการถอนความอาลัย, อันควรกำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง และควรทำให้เกิด.

อนึ่ง ในอริยสัจนี้ท่านกล่าวทุกขสัจ เป็นข้อที่ ๑ เพราะ ทุกขสัจ รู้ได้ง่าย เพราะเป็นของหยาบ และเพราะเป็นของทั่วไปแก่


๑. สํ. มหา. ๑๙/๑๑๙๓.

 
  ข้อความที่ 77  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 533

สัตว์ทั้งปวง. เพื่อแสวงถึงเหตุแห่งทุกขสัจนั้น ท่านจึงกล่าว สมุทยสัจ ในลำดับต่อไป, เพื่อไห้รู้ว่าการดับผลได้ เพราะดับเหตุ จึงกล่าว นิโรธสัจ ต่อจากนั้น, เพื่อแสดงอุบายให้บรรลุ นิโรธสัจ นั้น จึงกล่าว มรรคสัจ ในที่สุด. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวถึง ทุกขสัจ ก่อน เพื่อให้เกิดความสังเวชแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกมัดด้วยความพอใจ ความ สุขในภพ ทุกข์นั้นบุคคลไม่ทำแล้วย่อมไม่มาถึง, ย่อมไม่มีโดยไม่ถือตัวว่าเป็นใหญ่เป็นต้น, แต่ย่อมมีได้ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้รู้ดังนี้ท่านจึงกล่าว สมุทยสัจ ในลำดับจากทุกขสัจนั้น เพื่อให้เกิดความปลอดโปร่งใจ. ด้วยการเห็นอุบายสลัดออกของผู้แสวงหาอุบายสลัดออกจากทุกข์ มีความสลดใจ เพราะถูกทุกข์พร้อมด้วยเหตุครอบงำ ท่านจึงกล่าว นิโรธสัจ ต่อจากนั้น, จากนั้นเพื่อบรรลุนิโรธท่านจึงกล่าว มรรค อันให้ถึงนิโรธ นี้เป็นลำดับของอริยสัจเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ในอริยสัจเหล่านี้ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจเป็นภาระ, ควรเห็น สมุทยสัจ ดุจแบกภาระ, ควรเห็น นิโรธสัจ ดุจการวางภาระ, ควรเห็น มรรคสัจ ดุจอุบายวางภาระ.

อีกอย่างหนึ่ง ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจโรค, ควรเห็น สมุทยสัจ ดุจเหตุของโรค, ควรเห็น นิโรธสัจ ดุจโรคสงบ, ควรเห็น มรรคสัจ ดุจเภสัช. อีกอย่างหนึ่ง ควรเห็น ทุกขสัจ ดุจข้าวยาก

 
  ข้อความที่ 78  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 534

หมากแพง, ควรเห็น สมุทยสัจ ดุจฝนแล้ง, ควรเห็น นิโรธสัจ ดุจข้าวปลาหาง่าย, ควรเห็น มรรคสัจ ดุจฝนตกต้องตามฤดูกาล.

อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบอริยสัจเหล่านี้แล้ว พึงทราบโดยเปรียบเทียบด้วยคนมีเวร เหตุของเวร การถอนเวร อุบายการถอนเวร, ด้วยต้นไม้มีพิษ รากต้นไม้ การทำลายราก และอุบายทำลายรากนั้น, ด้วยภัย เหตุของภัย ความไม่มีภัยและอุบายบรรลุถึงความไม่มีภัยนั้น, ด้วยฝั่งใน ห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งนอก และความพยายามให้ถึงฝั่งนอกนั้นด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง พึงทราบสัจจะเหล่านี้ทั้งหมดโดยปรมัตถ์ว่า สูญ เพราะไม่มีผู้เสวย ผู้ทำ ผู้ดับ และผู้ไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต

การโก น กิริยาว วิชฺชติ,

อตฺถิ นิพพุติ น นิพพุโต ปุมา

มคฺคมตฺถิ คมโก น วิชฺชติ.

ความจริงทุกข์เท่านั้นมีอยู่ แต่ไม่มีใครๆ ถึงทุกข์ กิริยาคือการทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี, ความดับมีอยู่ แต่คนดับไม่มี ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินไม่มี.

อึกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

 
  ข้อความที่ 79  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 535

ธุวสุภสุขตฺตสุญฺํ ปุริมทฺวยมตฺตสุญฺมมตํ ปทํ ธุวสุตฺตวิรหิโต มคฺโค อิติ สุญฺตา เตสุ.

ความว่างในสัจจะ ๔ เหล่านั้น พึงทราบอย่างนี้ว่า สัจจะ ๒ บทแรกคือทุกข์สมุทัย ว่างจากความเที่ยง ความงาม ความสุข และอัตตา อมตบท คือพระนิพพานว่างจากอัตตา มรรคว่างจากความยั่งยืน ความสุข และอัตตา ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง สัจจะ ๓ อย่างสูญจากนิโรธ, และนิโรธก็สูญจากสัจจะ ๓ อย่างที่เหลือ. อีกอย่างหนึ่ง ในสัจจะ ๔ เหล่านี้ เหตุสูญจากผล เพราะไม่มีทุกข์ในสมุทัย, และไม่มีนิโรธในมรรค, เหตุไม่ร่วมครรภ์กับผล ดุจปกติของลัทธิทั้งหลาย มีปกติวาทีเป็นต้น อนึ่ง ผลก็สูญจากเหตุ เพราะทุกข์สมุทัย และนิโรธมรรคไม่ได้เสมอกัน, ผลนั้นมิได้เป็นอย่างเดียวกับเหตุ แต่เป็นเหตุเป็นผล ดุจสองอณูของลัทธิทั้งหลายมีสมวายวาทีเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

ตยมิธ นิโรธสุญฺํ ตเยน เตนาปิ นิพฺพุตี สุญฺา สุญฺโ ผเลน เหตุ ผลมฺปิ ตํเหตุนา สุํ.

ในที่นี้สัจจะ ๓ อย่าง สูญจากนิโรธ นิโรธก็สูญจากสัจจะ ๓ อย่างแม้นั้น สัจจะที่เป็นเหตุ

 
  ข้อความที่ 80  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 536

สูญจากสัจจะที่เป็นผล แม้สัจจะที่เป็นผลก็สูญจากสัจจะที่เป็นเหตุนั้น ดังนี้.

สัจจะทั้งหมดเป็นสภาคะของกันและกัน โดยความจริงแท้ โดยสูญจากตัวตน และโดยแทงตลอดสิ่งที่ทำได้ยาก ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนอานนท์ เธอย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร, อย่างไหนจะทำได้ยากกว่ากันหรือ จะให้เกิดขึ้นได้ยากกว่ากัน คือการที่ยิงลูกศรให้เข้าไปติดๆ กันทางช่องดาลอันเล็ก แต่ที่ใกล้ได้ไม่ผิดพลาด กับการที่บุคคลแทงปลายขนทรายด้วยปลายขนทรายที่แบ่งออกแล้วเป็น ๗ ส่วน. (๑)

พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การแทงปลายขนทราย ด้วยปลายขนทรายที่แบ่งออกแล้วเป็น ๗ ส่วน กระทำได้ยากกว่า และให้เกิดได้ยากกว่า พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดย่อมแทงตลอดตามความเป็นจริงว่านี้


๑.สี. ม. เป็นสตธา ร้อยส่วน.

 
  ข้อความที่ 81  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 537

ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ชนเหล่านั้นย่อมแทงตลอดได้ยากกว่าโดยแท้ (๑) ดังนี้.

สัจจะทั้งหลายเป็นวิสภาคะกันเพราะกำหนดด้วยลักษณะของตน. สัจจะสองข้างต้นเป็นสภาคะกัน ด้วยอรรถว่าเรียนรู้ยากเพราะลึกซึ้ง เพราะเป็นโลกิยะ และเพราะมีอาสวะ, เป็นวิสภาคะกัน เพราะต่างเป็นเหตุผลกัน และเพราะควรกำหนดรู้และควรละ. แม้สองข้อหลังก็เป็นสภาคะกันด้วยความเป็นธรรมลึกซึ้ง เพราะเรียนรู้ได้ยาก เพราะเป็นโลกุตระ และเพราะไม่มีอาสวะ, เป็นวิสภาคะกัน เพราะต่างก็เป็นใหญ่ในวิสัย และเพราะควรทำให้แจ้ง ควรทำให้เกิด. แม้ข้อที่ ๑ และ ข้อที่ ๓ ก็เป็นสภาคะกันโดยอ้างถึงผล, เป็นสภาคะกันโดยเป็นสังขตะและอสังขตะ. แม้ข้อที่ ๒ และข้อที่ ๔ ก็เป็นวิสภาคะกันโดยอ้างถึงเหตุ เป็นวิสภาคะกันโดยเป็นกุศลและอกุศลส่วนเดียว สัจจะที่ ๑ และที่ ๔ เป็นสภาคะกัน เป็นสังขตธรรมด้วยกัน, เป็นวิสภาคะกันโดยเป็นโลกิยะ และโลกุตระ ธรรมข้อที่ ๒ และข้อที่ ๓ ก็เป็นสภาคะกันโดยความเป็นเสกขะก็ไม่ใช่ อเสกขะก็ไม่ใช่, เป็นวิสภาคะกันโดยมีอารมณ์ และไม่มีอารมณ์. ท่านกล่าวไว้ว่า

อิติ เอวํ ปกาเรหิ นเยหิ จ วิจกฺขโณ วิชญฺา อริยสจฺจานํ สภาคติสภาคตํ


๑. ส มหา. ๑๙/๑๗๓๘.

 
  ข้อความที่ 82  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 538

บัณฑิตผู้เห็นแจ้งโดยประการ และโดยนัยอย่างนี้ พึงรู้แจ้งความที่อริยสัจทั้งหลายเป็นสภาคะ คือมีส่วนเสมอกัน และวิสภาคะ คือมีส่วนไม่เสมอกันด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ในอริยสัจนี้ ทุกข์ทั้งหมด เป็นอย่างเดียวกันโดยความเป็นไป, เป็น ๒ อย่าง โดยนามและรูป, เป็น ๓ อย่าง โดยประเภทแห่งภพที่เกิด คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ, เป็น ๔ อย่าง โดยประเภทของอาหาร ๔, เป็น ๕ อย่าง โดยประเภทของอุปาทานขันธ์ ๕

แม้สมุทัย ก็เป็นอย่างเดียวโดยให้วัฏฏะเป็นไป เป็น ๒ อย่างโดยสัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ, เป็น ๓ อย่าง โดยประเภทแห่งกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา, เป็น ๔ อย่างโดยเป็นธรรมอันมรรค ๔ พึงละ, เป็น ๕ อย่างโดยประเภทการยินดียิ่งในรูปเป็นต้น, เป็น ๖ อย่างโดยประเภทแห่งหมู่ตัณหา ๖.

แม้นิโรธ ก็เป็นอย่างเดียวกันโดยความเป็นอสังขตธาตุ, แต่โดยปริยายมี ๒ อย่าง โดยเป็นสอุปาทิเสสะ แลละอนุปาทิเสสะ, เป็น ๓ อย่างโดยเข้าไปสงบภพทั้ง ๓, เป็น ๔ อย่างโดยควรบรรลุมรรค ๔, เป็น ๕ อย่างโดยเข้าไปสงบความยินดียิ่ง ๕, เป็น ๖ อย่างโดยประเภทแห่งความสิ้นหมู่ตัณหา ๖.

 
  ข้อความที่ 83  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 539

แม้มรรค ก็เป็นอย่างเดียวโดยควรทำให้เกิด, เป็น ๒ อย่างโดยประเภทแห่งสมถะและวิปัสสนา, หรือโดยประเภทแห่งทัศนะและภาวนา, เป็น ๓ อย่างโดยประเภทแห่งขันธ์ ๓. จริงอยู่มรรคนี้ เพราะเป็นสัปปเทสธรรม จึงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ (สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์) ที่เป็นนิปปเทสธรรม ดุจเมืองสงเคราะห์รวมเข้าด้วยราชอาณาจักร ฉะนั้น ดังที่ท่านกล่าวว่า

ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ ขันธ์ ๓ ไม่สงเคราะห์เข้าด้วยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นอริยะ. ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ มรรคมีองค์ ๘ อันเป็นอริยะสงเคราะห์เข้าด้วยขันธ์ ๓. ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ ธรรมเหล่านี้ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต และสัมมาอาชีโว สงเคราะห์เข้าในศีลขันธ์. ธรรมเหล่านี้ คือ สัมมาวายาโม สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ สงเคราะห์เข้าในสมาธิขันธ์. ธรรมเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในปัญญาขันธ์ (๑) . มรรค ๔ อย่างสงเคราะห์ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง สัจจะทั้งหมดเป็นอย่างเดียวกัน เพราะความเป็นสิ่งจริงแท้, หรือ เพราะความเป็นสิ่งควรรู้ยิ่ง. เป็น ๒ อย่างโดยเป็นโลกิยะและโลกุตระ หรือโดยเป็นสังขตะและอสังขตะ. เป็น ๓


๑. ม. มุ ๑๒/๕๐๘.

 
  ข้อความที่ 84  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 540

อย่าง โดยเป็นสิ่งควรละ โดยเป็นสิ่งไม่ควรละ และโดยเป็นสิ่งควรละก็หามิได้ เป็นสิ่งไม่ควรละก็หามิได้ จากทัศนะและภาวนา. เป็น ๔ อย่าง โดยเป็นสิ่งควรกำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง และควรทำให้เกิด. ท่านกล่าวว่า

เอวํ อริยสจฺนํ ทุพฺโพธานํ พุโธ วิธึ อเนกเภทโต ชญฺา หิตาย จ สุขาย จ.

พระพุทธเจ้าทรงรู้วิธีของอริยสัจอย่างนี้ ที่รู้ได้ยาก โดยประเภทไม่น้อย เพื่อประโยชน์และเพื่อความสุข ดังนี้.

จบ อรรถกถาสัจปกิณกะ

บัดนี้ พระธรรมเสนาบดีชี้แจงสัจจตุกนัยในที่สุดตามลำดับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนั้นแล แล้วแสดงสรุปสุตมยญาณด้วยสัจจตุกนัยมีอาทิว่า ตํ าตฏฺเน าณํ - ชื่อว่าญาณว่าด้วยอรรถว่ารู้ธรรมนั้น, ครั้นแล้วพระธรรมเสนาบดีแสดงสรุปอริยสัจทั้งหมดที่ท่านกล่าวไว้ในครั้งก่อนว่า โสตาวธาเน ปญฺา สุตมเยาณํ - ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว ชื่อว่า สุตมยาณ ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาสุตมยญาณนิทเทส