พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ธรรมฐิติญาณนิทเทส

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 พ.ย. 2564
หมายเลข  40903
อ่าน  645

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 637

ธรรมฐิติญาณนิทเทส

อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 637

ธรรมฐิติญาณนิทเทส

[๙๔] ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณอย่างไร? ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นเหตุเกิด เป็นเหตุให้เป็นไป เป็นเหตุเครื่องหมาย เป็นเหตุประมวลมา เป็นเหตุประกอบไว้ เป็นเหตุพัวพัน เป็นเหตุให้เกิด เป็นเหตุเดิม และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งสังขาร ด้วยอาการ ๙ อย่าง อวิชชาจึงเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นแห่งปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ ต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี อวิชชาเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งสังขารด้วยอาการ ๙ อย่างนี้ อวิชชาจึงเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นแต่ปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ ต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัย เป็นไปแห่งวิญญาณ ฯลฯ วิญญาณเป็นเหตุเกิด... และ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 638

เป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งนามรูป... นามรูปเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งสฬายตนะ... สฬายตนะเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งผัสสะ... ผัสสะเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งเวทนา... เวทนาเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งตัณหา... ตัณหาเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งอุปาทาน... อุปาทานเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งภพ... ภพเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งชาติ... ชาติเป็นเหตุเกิด... และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งชราและมรณะ... ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติเป็นเหตุเกิด เป็นเหตุให้เป็นไป เป็นเครื่องหมาย เป็นเหตุประมวลมา เป็นเหตุประกอบไว้ เป็นเหตุพัวพัน เป็นเหตุเกิด เป็นเหตุเดิม และเป็นเหตุอาศัยเป็นไปแห่งชราและมรณะ ด้วยอาการ ๙ อย่างนี้ ชาติจึงเป็นปัจจัย ชราและมรณะเกิดแต่ปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้อย่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

[๙๕] ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นเหตุ สังขารอาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นแต่เหตุดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี อวิชชาเป็นเหตุ สังขารอาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่าง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 639

ก็เกิดขึ้นแต่เหตุดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารเป็นเหตุ วิญญาณเกิดขึ้นแต่เหตุ... วิญญาณเป็นเหตุ นามรูปเกิดขึ้นแต่เหตุ... นามรูปเป็นเหตุ สฬายตนะเกิดขึ้นแต่เหตุ... สฬายตนะเป็นเหตุ ผัสสะเกิดขึ้นแต่เหตุ... ผัสสะเป็นเหตุ เวทนาเกิดขึ้นแต่เหตุ... เวทนาเป็นเหตุ ตัณหาเกิดขึ้นแต่เหตุ... ตัณหาเป็นเหตุ อุปาทานเกิดขึ้นแต่เหตุ... อุปาทานเป็นเหตุ ภพเกิดขึ้นแต่เหตุ... ภพเป็นเหตุ ชาติเกิดขึ้นแต่เหตุ... ชาติเป็นเหตุ ชราและมรณะเกิดขึ้นแต่เหตุ แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นแต่เหตุ ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติเป็นเหตุ ชราและมรณะเกิดขึ้นแต่เหตุ แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นแต่เหตุ ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

[๙๖] ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป สังขารอาศัยอวิชชาเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป สังขารอาศัยอวิชชาเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 640

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารอาศัยปัจจัยเป็นไป วิญญาณอาศัยสังขารเกิดขึ้น วิญญาณอาศัยปัจจัยเป็นไป นามรูปอาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นามรูปอาศัยปัจจัยเป็นไป สฬายตนะอาศัยนามรูปเกิดขึ้น สฬายตนะอาศัยปัจจัยเป็นไป ผัสสะอาศัยสฬายตนะเกิดขึ้น ผัสสะอาศัยปัจจัยเป็นไป เวทนาอาศัยผัสสะเกิดขึ้น เวทนาอาศัยปัจจัยเป็นไป ตัณหาอาศัยเวทนาเกิดขึ้น ตัณหาอาศัยปัจจัยเป็นไป อุปาทาน อาศัยตัณหาเกิดขึ้น อุปาทานอาศัยปัจจัยเป็นไป ภพอาศัยอุปาทานเกิดขึ้น ภพอาศัยปัจจัยเป็นไป ชาติอาศัยภพเกิดขึ้น ชาติอาศัยปัจจัยเป็นไป ชราและมรณะอาศัยชาติเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติอาศัยปัจจัยเป็นไป ชราและมรณะอาศัยชาติเกิดขึ้น แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

[๙๗] ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 641

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดขึ้นเพราะปัจจัย วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปเกิดขึ้นเพราะปัจจัย นามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย สฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเกิดขึ้นเพราะปัจจัย เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานเกิดขึ้นเพราะปัจจัย อุปาทานเป็นปัจจัย ภพเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ภพ เป็นปัจจัย ชาติเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี ชาติเป็นปัจจัย ชราและมรณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัย แม้ธรรมทั้งสองนี้ต่างก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ดังนี้ เป็นธรรมฐิติญาณ.

[๙๘] ในกรรมภพก่อน ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อน เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้ ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ ความกังวลเป็นนามรูป ประสาท คือ ภาวะที่ผ่องใสเป็นอายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนาในอุปปัตติภพนี้ ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในปุเรภพ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 642

ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี) เพราะอายตนะทั้งหลาย ในภพนี้แก่รอบ ธรรม ๕ ประการในกรรมภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอนาคต ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาทเป็นอายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้ พระโยคาวจรย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอดซึ่งปฏิจจสมุปบาท มีสังเขป ๔ กาล ๓ ปฏิสนธิ ๓ เหล่านี้ ด้วยอาการ ๒๐ ด้วยประการดังนี้.

ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ.

อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส

๙๔] พึงทราบวินิจฉัยในธรรมฐิติญาณนิทเทสดังต่อไปนี้

ในบทมีอาทิว่า อวิชฺชา สงฺขารานํ อุปฺปาทฏฺิติ - อวิชชาเป็นเหตุเกิดแห่งสังขารทั้งหลาย มีอธิบายดังนี้

ชื่อว่า ิติ เพราะอรรถว่าอวิชชาเป็นเหตุตั้งสังขาร. ิติ นั้น คืออะไร? คือ อวิชชา. เพราะว่า

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 643

อวิชชานั้นเป็นที่ตั้ง คือเป็นเหตุแห่งการเกิดสังขารทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า อุปฺปาทฏฺิติ - เป็นเหตุเกิด.

ชื่อว่า ปวตฺตฏฺิติ - เป็นเหตุให้เป็นไป เพราะอรรถว่าเป็นเหตุแห่งความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว. อธิบายว่า จริงอยู่ อานุภาพของกิจย่อมมีในขณะชนกปัจจัยเกิดนั่นเองโดยแท้, แต่เพราะความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายอันชนกปัจจัยนั้นให้เกิด จึงชื่อว่าเป็นเหตุ แม้แห่งความเป็นไปในขณะของตน, อีกอย่างหนึ่ง เป็นเหตุแห่งความเป็นไปด้วยอำนาจสันตติ.

อนึ่ง บทว่า ปวตฺตํ นี้ เป็นภาววจนะลงในนปุงสกลิงค์, เพราะฉะนั้น ปวตฺตํ จึงเป็นอันเดียวกัน โดยอรรถว่า ปวตฺติ - ความเป็นไป. แต่เพราะปวัตติศัพท์ปรากฏแล้ว ท่านจึงอธิบายประกอบด้วยบทว่า ปวตฺตํ นั้น. ิติ ศัพท์ ในความเป็นไม่มีในที่นี้ เพราะ ิติ ศัพท์ แม้ในภาวะก็สำเร็จได้.

เพื่อแสดงว่า ิติ ศัพท์ เป็นไปในความว่า เหตุ ท่านจึงกล่าวว่า นิมิตฺตฏฺิติ อธิบายว่า ิติ เป็นเครื่องหมายคือเป็นเหตุ. ไม่ใช่เพียงเป็นเครื่องหมายอย่างเดียว ที่แท้พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงความเป็นผู้สามารถในปัจจัยว่า ย่อมประมวลมา ย่อมพยายาม เป็นดุจมีความขวนขวายในการให้เกิดสังขาร จึงกล่าวว่า อายูหนฏฺิติ อธิบายว่า ิติ เป็นเหตุประมวลมา. เพราะอวิชชาให้สังขารเกิดขึ้น ชื่อว่า ประกอบ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 644

ในความเกิด, อธิบายว่า พยายาม, อวิชชาให้สังขารเป็นไป ชื่อว่า พัวพันในความเป็นไป. อธิบายว่า ผูกพัน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สญฺโคฏฺิติ - เป็นเหตุประกอบไว้ ปลิโพธฏฺิต - เป็นเหตุพัวพัน อธิบายว่า เป็นเหตุประกอบ เป็นเหตุกังวล.

เพราะอวิชชาให้สังขารเกิด ชื่อว่า สมุทัย เพราะอรรถว่า เป็นมูลเหตุแห่งความเกิดและความเป็นไป, ชื่อว่า สมุทยิติ เพราะเป็นเหตุให้เกิด อธิบายว่า เป็นมูลเหตุ. อวิชชาแลท่านกล่าวว่า เหตฏฺิติ - เป็นเหตุเดิม, ปจฺจยฏฺิติ - เป็นเหตุอาศัยเป็นไป เพราะเป็นเหตุเกิดในความเกิดของสังขาร, เพราะเป็นปัจจัยอุปถัมภ์ในความเป็นไป อธิบายว่า ิติ เป็นเหตุเดิม, ิติ เป็นเหตุอาศัยเป็นไป ท่านกล่าวชนกปัจจัยเป็นเหตุ, อุปถัมภกปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย. แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงประกอบอย่างนี้.

ในบทนี้ว่า ภโว ชาติยา ชาติ ชรามรณสฺส - ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ. ชาติเป็นปัจจัยแก่ชรามรณะ ท่านกล่าวถึงบทที่ประกอบด้วยสามารถความเกิดว่า อุปฺปาทฏฺิติ สญฺโคฏฺิติ เหตฏฺิติ โดยปริยาย ด้วยอำนาจแห่งขันธ์ทั้งหลายมีชาติชราและมรณะ.. แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาความในบทนี้ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า อุปฺปาทาย ิติ อุปฺปาทฏฺิติ - เหตุแห่งความเกิด ชื่อว่า อุปปาทัฏิติ - เป็นเหตุเกิด. บทว่า อวิชฺชา ปจฺจโย - อวิชชาเป็นปัจจัย ท่านกล่าวเพ่งความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 645

อีกอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงการกำหนดอวิชชานั้นเป็นปัจจัย เพราะความที่แม้อวิชชาก็เกิดเพราะปัจจัยท่านจึงกล่าวว่า อุโภเปเต ธมฺมา ปจฺจยสมุปฺปนฺนาติ ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺา - ปัญญาในการกำหนดปัจจัยว่า ธรรมแม้ทั้งสองอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย. แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงประกอบอย่างนี้.

ส่วนบทว่า ชาติ ปจฺจโย, ชรามรณํ ปจฺจยสมุปฺปนฺนํ - ชาติเป็นปัจจัย, ชราและมรณะต่างก็เกิดขึ้นแต่ปัจจัย ท่านกล่าวไว้โดยปริยาย.

บทว่า อตีตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ล่วงไปแล้ว.

บทว่า อนาคตมฺปิ อทฺธานํ ได้แก่ กาลที่ยังไม่มาถึง. แม้ในบททั้งสองก็เป็น ทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคะ คือใช้อายตนิบาตว่า สิ้น.

๙๕ - ๙๗] บัดนี้ พระสารีบุตรละอาการ ๙ เหล่านั้น ในลำดับวาระแห่งอาการ ๙ แล้วประกอบด้วยบทแห่งปัจจัยอาศัยเหตุ แล้วชี้แจงวาระ ๓ มีอาทิว่า อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนํ- อวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายอาศัยเหตุเกิดขึ้น ในวาระแห่งอาการ ๙ ท่านกล่าวปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกอุปถัมภกปัจจัย - ปัจจัยอุดหนุนให้เกิด, ในที่นี้ บทว่า เหตุ ได้แก่ ความเป็นชนกปัจจัย เพราะเหตุวาระและปัจจัยวาระมาต่างหากกัน. บทว่า ปจฺจโย พึงทราบความเป็น อุปถัมภกปัจจัย เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นแม้อย่างหนึ่งๆ ก็เกิดโดยประการทั้งสอง.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 646

พึงทราบวินิจฉัยในปฏิจจวาระดังต่อไปนี้

บทว่า อวิชชา ปฏิจฺจฺ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ความว่า อวิชชา ชื่อว่า ปฏิจฺจา เพราะต้องถึงต้องไปเฉพาะหน้าด้วยสังขารทั้งหลาย เพราะเพ่งอวิชชาเป็นเหตุของสังขารทั้งหลายในความเกิดของตน. ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่ อวิชชาสามารถให้สังขารเกิด.

บทว่า สงฺขารา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา - สังขารทั้งหลายอาศัยอวิชชาเกิดขึ้น ความว่า สังขารทั้งหลายมิได้เกิดขึ้นเสมอโดยมิได้อาศัยอะไร เพราะต้องอาศัยอวิชชาแล้ว จึงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่. แม่ในบทที่เหลือก็พึงประกอบโดยสมควรแก่ลิงค์อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า อวิชฺช ปฏิจฺจ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป ด้วยสามารถความขวนขวาย แต่ความในบทนี้พึงประกอบด้วยปาฐะที่เหลือว่า อวิชชาอาศัยปัจจัย ของตนเป็นไป. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น. ในวาระแม้ ๔ อย่างเหล่านี้ ท่านชี้แจงธรรมฐิติญาณด้วยสามารถแห่งองค์ ๑๑ มีอวิชชา เป็นต้น เพราะธรรมฐิติญาณควรชี้แจงด้วยสามารถปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาท ๑๒. แต่ท่านไม่ชี้แจงด้วยสามารถชรามรณะนั้น เพราะชรามรณะตั้งอยู่ในที่สุด. ธรรมฐิติญาณด้วยสามารถชรามรณะนั้น ทำชรามรณะให้เป็นปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น แล้วพิจารณา ควรทีเดียว เพราะแม้ชราและมรณะก็เป็นปัจจัยแห่งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 647

๙๘] บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะจำแนกองค์ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เหล่านั้น จึงแสดงสังเขป ๔ กาล ๓ สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐ แล้วจึงชี้แจงธรรมฐิติญาณ กล่าวบทมีอาทิว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ ได้แก่ ในกรรมภพก่อน, อธิบายว่า เมื่อทำกรรมภพในอดีตชาติ.

บทว่า โมโห อวิชฺชา - โมหะเป็นอวิชชา ความว่า หลงด้วยโมหะในทุกข์เป็นต้นแล้วทำกรรม, นั้นคือ อวิชชา.

บทว่า อายูหนา สงฺขารา - กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความว่า เจตนาก่อนของผู้ทำกรรมนั้น, เจตนาก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้คิดว่า เราจักให้ทานดังนี้ แล้วสละอุปกรณ์การให้เดือนหนึ่งบ้าง ปีหนึ่งบ้าง.

เจตนา ท่านกล่าวว่า ภพ เพราะวางทักษิณาไว้บนมือของปฏิคคาหก. เจตนาในอาวัชชนะ ๑ หรือในชวนะ ๖ ชื่อว่า กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร. เจตนาในชวนะที่ ๗ เป็นภพ. อนึ่ง เจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นภพ. ชื่อว่า การประมวลมาเป็นสังขาร เพราะสัมปยุตด้วยเจตนานั้น.

บทว่า นิกนฺติ ตณฺหา - ความใคร่เป็นตัณหา ความว่า ความใคร่ ความปรารถนาในอุบัติภพอันเป็นผลของผู้ทำกรรม ชื่อว่า ตัณหา.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 648

บทว่า อุปคมนํ อุปาทานํ - ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน. ความว่า การเข้าถึง คือ ความถือมั่นอันเป็นปัจจัยแห่งกรรมภพเป็นไปแล้วว่า เมื่อทำกรรมนี้จักสำเร็จความประสงค์ ดังนี้ก็ดี เราทำกรรมนี้แล้ว จักได้เสวยกรรมในฐานะโน้น ดังนี้ก็ดี อัตตาคือตัวตนขาดสูญ ขาดสูญด้วยดีแล้วก็ดี มีความสุขปราศจากความเดือดร้อนก็ดี บำเพ็ญศีลพรตได้โดยสะดวกก็ดี นี้ชื่อว่า อุปาทาน.

บทว่า เจตนา ภโว - เจตนาเป็นภพ ได้แก่ เจตนา ดังกล่าวแล้ว ในที่สุดแห่งการประมวลมา ชื่อว่า ภพ.

บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ได้แก่ เมื่อทำกรรมภพไว้ในอดีตชาติธรรมเหล่านี้เป็นไปแล้ว.

บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจยา - ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในภพนี้ ได้แก่ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในปัจจุบัน.

บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺาณํ - ปฏิสนธิเป็นวิญญาณในภพนี้ ได้แก่ วิญญาณ ที่ท่านกล่าวว่า เป็น ปฏิสนธิ เพราะภพปัจจุบันเกิดด้วยสามารถแห่งการสืบต่อกันในระหว่างภพนั้น ชื่อว่า วิญญาณ.

บทว่า โอกฺกนฺติ นามรูปํ - ความก้าวลงเป็นนามรูป ได้แก่ ความก้าวลงในครรภ์แห่ง รูปธรรม และ อรูปธรรม ดุจมาแล้วเข้าไป นี้ชื่อว่า นามรูป.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 649

บทว่า ปสาโท อายตนํ - ประสาทคือความผ่องใส เป็นอายตนะ ได้แก่ ความที่รูปผ่องใส นี้เป็นอายตนะ. ท่านทำเป็นเอกวจนะโดยถือเอาชาติ. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงอายตนะ ๕ มีจักขุ เป็นต้น. พึงทราบว่า แม้มนายตนะเท่านี้ก็กล่าวด้วยคำว่า ปสาทะ เพราะมนายตนะเป็นวิบากในที่นี้โดยพระบาลีว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺํ (๑) - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร, ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา ดังนี้ ในพระบาลีนี้ ท่านประสงค์เอาภวังคจิต, และเพราะจิตนั้นผ่องใสด้วยความไม่มีสิ่งปฏิกูลด้วยกิเลส,

บทว่า ผุฏฺโฐ ผสฺโส - ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ได้แก่ ส่วนที่ถูกต้องกระทบ เกิดอารมณ์ นี้ชื่อว่า ผัสสะ.

บทว่า เวทยิตํ เวทนา - การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ได้แก่ การเสวยวิบากเกิดร่วมกับผัสสะ ด้วยปฏิสนธิวิญญาณก็ดี ด้วยสฬายตนะเป็นปัจจัยก็ดี นี้ชื่อว่า เวทนา.

บทว่า อิธุปปตฺติภวสฺมึ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา - ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อน เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้ ความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปด้วยปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ อันเป็นวิบากภพในปัจจุบัน.


๑. องฺ. เอกก. ๒๐/๕๐.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 650

บทว่า อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ - เพราะอายตนะทั้งหลายในภพนี้แก่รอบ ท่านแสดงโมหะเป็นต้นในการทำกรรมของผู้มีอายตนะแก่รอบ.

บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา คือเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอนาคต. บทมีอาทิว่า อายตึ ปฏิสนฺธิ วิญฺณาณํ - ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว. ท่านถือเอาอาการ ๒๐ เหล่านี้ ด้วยองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นอย่างไร? ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒ เหล่านี้ โดยสรุปว่า อวิชฺชา สงฺขารา ดังนี้ ว่าเป็นเหตุในอดีต. ก็เพราะไม่รู้แจ้ง จึงสะดุ้ง, สะดุ้งแล้วย่อมถือมั่น, เพราะการถือมั่นของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ, ฉะนั้น จึงเป็นอันท่านถือเอาแม้ตัณหาอุปาทานและภพ ด้วยการถือเอาธรรมทั้งสอง คือ อวิชชาและสังขารเหล่านั้นด้วย. ท่านกล่าวถึงวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา ในปัจจุบันโดยสรุป. ท่านกล่าวตัณหา อุปาทานและภพ ว่าเป็นเหตุในปัจจุบัน โดยสรุป ก็เมื่อถือเอาภพแล้วก็เป็นอันถือเอาสังขารทั้งหลาย อันเป็นส่วนเบื้องต้นของภพนั้นหรือสัมปยุตด้วยภพนั้น. อนึ่ง สังขารทั้งหลายสัมปยุตด้วยภพนั้น ด้วยการถือตัณหาและอุปาทาน. อีกอย่างหนึ่ง ท่านถือเอา ตัณหา ที่คนลุ่มหลงทำกรรมว่า เป็น อวิชชา. ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒ ว่า ชาติชรามรณะ ในอนาคตโดยสรุป, ก็ด้วยการถือเอาชาติชรามรณะนั่นแล จึงเป็นอัน ท่านถือผลในอนาคต ๕ มีวิญญาณเป็นต้นนั่นเอง. เป็นอันท่านถือเอา

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 651

อาการ ๒๐ ด้วยองค์ ๑๒ แห่งปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ชาติชรามรณานิ ด้วยประการฉะนี้

อตีเต เหตุโย ปญฺจ อิทานิ ผลปญฺจกํ

อิทานิ เหตุโย ปญฺจ อายตึ ผลปญฺจกํ.

อาการ ๒๐ แห่งปัจจยาการ คือ ธรรมเป็นอดีตเหตุ ๕ อย่าง ธรรมเป็นปัจจุบันผล ๕ อย่าง ธรรมเป็นปัจจุบันเหตุ ๕ อย่าง ธรรมเป็นอนาคตผล ๕ อย่าง.

ท่านกล่าวความแห่งคาถานั้นไว้แล้ว, บทว่า อิติเม แยกบทเป็น อิติ เม. ปาฐะว่า อิติ อิเม.

บทว่า จตุสงฺเขเป - มีสังเขป ๔ ได้แก่ มีกอง ๔. ธรรมเป็นเหตุ ๕ อย่าง ในอดีต เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรมเป็นผล ๕ อย่าง ในปัจจุบันเรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรมเป็นเหตุ ๕ อย่าง ในปัจจุบัน เรียกว่า เหตุสังเขป อย่างหนึ่ง. ธรรมเป็นผล ๕ อย่าง ในอนาคต เรียกว่า ผลสังเขป อย่างหนึ่ง.

บทว่า ตโย อทฺเธ ได้แก่ ในกาล ๓. อดีตกาล พึงทราบด้วยสามารถปัญจกะ คือ ธรรมหมวด ๕ (๑) ที่ ๑, ปัจจุบันกาลพึงทราบด้วยสามารปัญจกะที่ ๒ ที่ ๓, อนาคตกาลพึงทราบด้วยสามารถปัญจกะ ที่ ๔,


๑. ธรรมหมวด ๕ นี้ คือวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน กรรมภพ.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 652

บทว่า ติสนฺธึ - สนธิ ๓ ชื่อว่า ติสันธิ เพราะอรรถว่ามีปฏิสนธิ ๓, ซึ่งปฏิสนธิ ๓ นั้น อธิบายว่า เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่ง มีในระหว่างแห่ง เหตุอดีต และ ผลปัจจุบัน, ผลเทตุสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง ผลปัจจุบัน และ เหตุอนาคต, เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง เหตุปัจจุบัน และ ผลอนาคต.

แต่ด้วยสามารถมาแล้วโดยสรุปใน ปฏิจฺจสมุปฺปาทปาลิ มีดัง นี้ อวิชชา สังขารา เป็นสังเขปที่ ๑. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และ เวทนา เป็นสังเขปที่ ๒ ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสังเขปที่ ๓, ชาติ ชรามรณะ เป็นสังเขปที่ ๔. องค์ ๒ คือ อวิชชา และ สังขาร เป็น อดีตกาล, ธรรม ๘ มี วิญญาณ เป็นต้น มีภพเป็นที่สุด เป็น ปัจจุบันกาล, องค์ ๒ คือ ชาติ และ ชรามรณะ เป็น อนาคตกาล, เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่ง สังขาร และ วิญญาณ, ผลเหตุสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเวทนาและตัณหา, เหตุผลสนธิ อย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งภพและชาติ.

บทว่า วีสติยา อากาเรหิ - อาการ ๒๐ ได้แก่ โดยส่วน ๒๐. พึงเชื่อมความว่า พระโยคาวจรย่อมรู้ปฏิจจสมุปบาท มีสังเขป ๔ กาล ๓ สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 653

บทว่า ชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้ด้วยญาณ คือ การเริ่มเวทนาโดยทำนองเดียวกับสุตะ - การฟัง.

บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วด้วยญาณดุจเห็นด้วยตา และทำให้ถูกต้องแล้วดุจมะขามป้อมบนฝ่ามือ.

บทว่า อญฺาติ - ย่อมรู้ทั่ว ได้แก่ ทำอาเสวนะโดยอาการที่เห็นแล้ว ชื่อว่า ย่อมรู้ด้วยญาณ. ความแห่งศัพท์ว่า มริยาทะ ในที่นี้ คือ อาการ.

บทว่า ปฏิวิชฺฌติ - ย่อมแทงตลอด ได้แก่ ให้ถึงความสำเร็จด้วยการบำเพ็ญภาวนา ชื่อว่า ทำการแทงตลอดด้วยญาณ. อีกอย่างหนึ่งย่อมรู้ด้วยสามารถแห่งลักษณะ, ย่อมเห็นด้วยสามารถเป็นไปกับด้วยกิจ, ย่อมรู้ทั่วด้วยสามารถแห่งอาการปรากฏ, ย่อมแทงตลอดด้วยสามารถแห่งปทัฏฐาน

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาโท พึงทราบว่า ได้แก่ ธรรมเป็นปัจจัย.

บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมอันเกิดขึ้นด้วยปัจจัยนั้นๆ. หากถามว่า รู้ได้อย่างไร? แก้ว่าด้วยพระพุทธพจน์. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาสูตรที่บัณฑิตกำหนดด้วยปฏิจจสมุปปาทะและปฏิจจสมุปปันนธรรมว่า

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 654

กตโม จ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท,ฯปฯ อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปปาโท (๑) .

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน? เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ, พระตถาคตทรงอุบัติก็ตาม ยังไม่ทรงอุบัติก็ตาม ธาตุนั้นเป็นธรรมฐิติ - ยังตั้งอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรมนิยาม - ความแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็นอิทัปปัจจยตา - ความอาศัยกันเกิดขึ้นยังคงมีอยู่, พระตถาคตตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น, ครั้นตรัสรู้แล้ว บรรลุแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ตรัสว่า พวกเธอจงเห็น ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัยมีชราและมรณะ, เพราะภพเป็น ปัจจัยจึงมีชราและมรณะ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร. พระตถาคตอุบัติก็ตาม ยังไม่อุบัติก็ตาม ฯลฯ ย่อมทำให้ง่าย ตรัสว่า พวกเธอจงเห็นดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ


๑. สํ. นิ. ๑๖/๖๑.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 655

ฉะนี้แล ความจริงแท้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น ชื่อว่า ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ จึงตรัสว่า ธรรมเป็นปัจจัยนั่นแล ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท โดยไวพจน์ มีคำว่า ตถตา - ความเป็นของจริงแท้เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท (๑) จึงมีการเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายมีชราและมรณะเป็นต้น เป็นลักษณะ, มีการผูกพันอยู่กับทุกข์เป็นรส, มีการเดินผิดทางเป็นอาการปรากฏ, มีปัจจัยพิเศษของตนเป็นปทัฏฐาน เพราะแม้ตนเองก็มี ปัจจัย.

บทว่า อุปฺปาทา วา อนุปฺปาทา วา ได้แก่ เมื่ออุบัติก็ตาม เมื่อไม่อุบัติก็ตาม อธิบายว่า เมื่อพระตถาคต แม้อุบัติแล้ว แม้ยังไม่อุบัติแล้ว ดังนี้.


(๑). มีลักขณาทิตจุตกะ ดังนี้.

๑. ชรามรณาทีนํ ปจฺจยลกฺขโณ

๒. ทุกฺขานุพนฺธนรโส

๓. กุมฺมคฺคปจฺจุปฏฺาโน

๔. สยมฺปิ สปจฺจยตฺตา อตฺตโน วิเสสปฺปจฺจยปาฏฺาโน.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 656

บทว่า ิตา ว สา ธาตุ ได้แก่ สภาพของปัจจัยนั้นยังตั้งอยู่. อธิบายว่า ในกาลไหนๆ จะไม่มีปัจจัยของชาติชราและมรณะหามิได้เลย.

บทว่า ธมฺมฏฺิตตา ธมฺมนิยามตา อิทปฺปจฺจยตา - มีชาติเป็นปัจจัยนั่นเอง. ธรรมเกิดขึ้นเพราะปัจจัย กล่าวคือ ชราและมรณะย่อมตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยธรรมนั้น เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชาติเป็นปัจจัย ย่อมกำหนดธรรมคือชราและมรณะ, เพราะฉะนั้น ชาติ ท่านกล่าวว่า ธมฺมฏฺิตตา ธมฺมนิยามตา ดังนี้. ชาตินั่นแล เป็นปัจจัยของชราและมรณะนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อิทปฺปจฺจโย, อิทปฺปจฺจโย นั่นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา.

บทว่า ตํ คือ ปัจจัยนั้น. บทว่า อภิสมฺพุชฺฌติ คือ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณ.

บทว่า อภิสเมติ คือ ย่อมบรรลุด้วยญาณ.

บทว่า อาจิกฺขติ คือ ย่อมกล่าว.

บทว่า เทเสติ คือ ย่อมแสดง.

บทว่า ปญฺาเปติ คือ ย่อมให้รู้.

บทว่า ปฏฺเปติ คือ ย่อมตั้งอยู่ในหัวข้อ คือญาณ.

บทว่า วิวรติ คือ ย่อมทรงเปิดเผยแสดง.

บทว่า วิภชติ คือ ย่อมทรงจำแนก.

บทว่า อุตฺตานีกโรติ คือ ย่อมทำให้ปรากฏ.

บทว่า อิติ โข คือ ด้วยประการฉะนี้แล.

บทว่า ยา ตตฺรุ ได้แก่ ความเป็นของจริงแท้แน่นอนไม่แปรผัน ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ. เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 657

ปฏิจจสมุปบาทนี้นั้น ท่านกล่าวว่า ตถตา - ความจริงแท้ เพราะธรรมนั้นๆ เกิดโดยไม่หย่อนไม่ยิ่งด้วยปัจจัยนั้นๆ , ท่านกล่าว อวิตถตา - ความแน่นอน เพราะไม่มี ความไม่เกิดแห่งธรรมที่เกิดจากธรรมนั้น แม้ครู่เดียวในปัจจัยที่เข้าถึงความพร้อมเพรียง, ท่านกล่าวว่า อนญฺถตา - ความไม่เป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีธรรมอื่นเกิดขึ้นด้วยปัจจัยแห่งธรรมอื่น, ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา - ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมนี้ เพราะเป็นปัจจัยแก่ชราและมรณะเป็นต้นเหล่านั้น หรือเพราะเป็นที่รวมปัจจัย.

ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ปัจจัยแห่งธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยานั้นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา, อีกอย่างหนึ่ง การรวม อิทปฺปจฺจยา ทั้งหลายชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา. แต่ในที่นี้ พึงทราบลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์.

จบ อรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส