พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 พ.ย. 2564
หมายเลข  40906
อ่าน  504

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 692

ภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส

อรรถกถาภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 692

ภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส

[๑๑๒] ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณอย่างไร?

จิตมีรูปเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้วย่อมแตกไป พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นของเที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นสุข ย่อมพิจารณา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 693

เห็นโดยความเป็นอนัตตา ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นอัตตา ย่อมเบื่อหน่าย ไม่เพลิดเพลิน ย่อมคลายกำหนัด ไม่กำหนัด ย่อมให้ดับ ไม่ให้เกิด ย่อมสละคืน ไม่ถือมั่น เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจสัญญาได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ย่อมละอัตสัญญาได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความเพลิดเพลิดได้ เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละราคะได้ เมื่อให้ดับ ย่อมละสมุทัยได้ เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้.

[๑๑๓] จิตมีเวทนาเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีสัญญาเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีสังขารเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีวิญญาณเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีจักษุเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีชราและมรณะเป็นอารมณ์ เกิดขึ้น แล้วย่อมแตกไป พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว พิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้.

[๑๑๔] การก้าวไปสู่วัตถุแต่ปุริมวัตถุ การหลีกไปด้วยปัญญาอันรู้ชอบ. การคำนึงถึงอันเป็นกำลัง ธรรม ๒ ประการ คือ การพิจารณาหาทางและความเห็นแจ้ง บัณฑิตกำหนดเอาด้วยสภาพเดียวกัน โดยความเป็นไปตามอารมณ์ ความน้อมจิตไปในความดับ ชื่อว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 694

วิปัสสนาอันมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะ การที่พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์แล้ว พิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตและความปรากฏโดยความเป็นของสูญ ชื่อว่าอธิปัญญาวิปัสสนา - ความเห็นแจ้งด้วยอธิปัญญา พระโยคาวจรผู้ฉลาดในอนุปัสนา ๓ ในวิปัสสนา ๔ ย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในความปรากฏ ๓ ประการ.

ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์ แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณ.

อรรถกถาภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส

๑๑๒ - ๑๑๓] พระโยคาวจรนั้นตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสนาญาณ ครั้นรู้อุทยัพพยานุปัสนาญาณที่ปฏิบัติไปตามวิถี พ้นจากอุปกิเลสด้วยการให้กำหนดมรรค - ทาง และมิใช่มรรค - ทาง ว่าเป็นมรรค - ทาง ดังนี้ แล้วปรารภอุทยัพพยานุปัสนาญาณอีก เพื่อทำญาณนั้นให้บริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยกำหนดพระไตรลักษณ์ แล้วเห็นแจ้งสังขารทั้งหลายที่กำหนดด้วยความเกิดและความเสื่อม โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. ญาณนั้นของพระโยคาวจรนั้นเป็นญาณแก่กล้า ย่อมนำไปอย่างนี้, สังขาร ทั้งหลายย่อมปรากฏเบา, เมื่อญาณแก่กล้านำไป เมื่อสังขารปรากฏเบา ญาณไม่ก้าวล่วงความเกิด เมื่อความดับมีอยู่ ก็ยังตั้งอยู่พร้อม.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 695

อีกอย่างหนึ่ง เพราะน้อมไปสู่นิโรธ ญาณละความเกิดตั้งสติไว้ในความดับ, ภังคานุปัสนาญาณย่อมเกิดขึ้นในที่นี้. บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งญาณนั้น

บทว่า รูปารมฺมณตา จิตฺตํ อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชติ ได้แก่ จิตมีรูปเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้วดับไป. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า จิตเกิดขึ้นในความมีรูปเป็นอารมณ์แล้วดับไป.

บทว่า ตํ อารมฺมณํ ปฏิสงฺขา - พิจารณาเห็นอารมณ์นั้น ความว่า รู้อารมณ์นั้นด้วยการพิจารณา. เห็นโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป.

บทว่า ตสฺส จิตฺตสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสติ - ย่อมพิจารณาเห็นความดับแห่งจิตนั้น ความว่า รูปอารมณ์นั้น อันจิตใดเห็นโดยความสิ้นไปและโดยความเสื่อมไป, พระโยคาวจรย่อมพิจารณาเห็นความดับแห่งจิตนั้น ด้วยจิตดวงอื่น. ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า าตญฺจ าณญฺจ อุโภ วิปสฺสติ - พระโยคาวจรย่อมพิจารณาเห็นทั้งสองอย่าง คือจิตที่รู้แล้ว และญาณ.

อนึ่ง ในบทว่า จิตฺตํ นี้ ท่านประสงค์เอา สัมปยุตจิต.

บทว่า อนุปสฺสติ - ย่อมพิจารณาเห็น ความว่า ย่อมเห็นตามๆ ไป, คือ เห็นบ่อยๆ ด้วยอาการไม่น้อย. ด้วยเหตุนั้น พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า อนุปสฺสตีติ กถํ อนุปสฺสติ, อนิจฺจโต อนุปสฺสติ เป็นอาทิ - ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่า พิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 696

ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ เพราะที่สุดโต่ง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ชื่อว่า ภังคะ, ฉะนั้น พระโยคาวจรผู้เจริญภังคานุปัสนา ย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมด โดยความเป็นของไม่เที่ยง, มิใช่เห็นโดยความเป็นของเที่ยง. แต่นั้นพิจารณาเห็นรูปนั้นนั่นแล โดยความเป็นทุกข์ มิใช่โดยความเป็นสุข เพราะสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และสิ่งที่เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา. ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา, มิใช่โดยความเป็นอัตตา.

อนึ่ง เพราะสิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ควรยินดี, สิ่งใดไม่ควรยินดี ไม่ควรกำหนัดในสิ่งนั้น. ฉะนั้น พระโยคาวจรย่อมเบื่อหน่าย, มิใช่พอใจ, ย่อมคลายกำหนัด, มิใช่กำหนัดในรูปที่เห็นนั้นว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา โดยทำนองเดียว กับภังคานุปัสนาญาณ.

พระโยคาวจรนั้น คลายกำหนัดอย่างนี้ ดับราคะด้วยญาณอันเป็นเพียงโลกิยะ, อธิบายว่า ไม่เกิดขึ้น, ไม่ทำให้เกิดขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรนั้น คลายกำหนัดอย่างนี้แล้ว ย่อมดับแม้รูปที่ไม่เห็นเหมือนรูปที่เห็นด้วยสามารถ อนฺวยาณ. - ญาณอันสืบเนื่องกัน มิใช่ให้เกิดขึ้น.

พระโยคาวจรทำไว้ในใจโดยการดับ, ย่อมเห็นการดับของรูปนั้น, มิใช่เห็นความเกิด. พระโยคาวจรนั้นปฏิบัติอย่างนี้แล้วย่อม

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 697

สละคืน, มิใช่ถือเอา. ท่านอธิบายไว้อย่างไร? การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้นนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นการสละคืนด้วยการบริจาค และสละคืนด้วยการแล่นไป เพราะสละกิเลสด้วยอภิสังขารถือขันธ์กับด้วยตทังคปหานะ และเพราะความแล่นไป เพราะน้อมญาณนั้นไปในนิพพานอันตรงกันข้ามกับกิเลสนั้นด้วยการเห็นโทษของสังขตะ.

เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ประกอบด้วยอนุปัสนานั้น ย่อมบริจาคสละกิเลสทั้งหลาย โดยนัยดังกล่าวแล้ว และย่อมแล่นไปในนิพพาน. ไม่ยึดถือกิเลสด้วยทำให้เกิดขึ้น. ไม่ยึดถือสังขตะเป็นอารมณ์ด้วยการไม่ชี้ถึงโทษ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปฏินิสฺสชฺชติ, ใน อาทิยติ - ย่อมสละคืน, ย่อมไม่ยึดถือ.

บัดนี้ เพื่อแสดงการละธรรมด้วยญาณเหล่านั้นของพระโยคาวจรนั้น พระสารีบุตรจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต อนุปสฺสนฺโต นิจฺจสญฺํ ปชหติ - พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นโดยความไม่เที่ยง ย่อมสละนิจสัญญา ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทึ - ความพอใจ ได้แก่ ตัณหาพร้อมด้วยปีติ.

บทว่า ราคํ - ความกำหนัด ได้แก่ ตัณหาที่เหลือ.

บทว่า สมุทยํ - ความเกิดขึ้น ได้แก่ ความเกิดขึ้นแห่งราคะ. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ความเกิดขึ้นแห่งรูป.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 698

บทว่า อาทานํ - ความยึดถือ ได้แก่ ยึดถือกิเลสด้วยการทำให้เกิด. พึงทราบบทมีอาทิว่า เวทนารมฺมณตา - ความมีเวทนาเป็นอารมณ์ โดยนัยดังกล่าวแล้วในที่นี้ และในตอนก่อน.

๑๑๔] อนึ่ง พึงทราบความในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้

บทว่า วตฺถุสงฺกมนา - การก้าวไปสู่วัตถุ ความว่า การก้าวไปสู่วัตถุอื่นแต่ปุริมวัตถุ ด้วยการเห็นความดับของจิตที่เห็นความดับของขันธ์หนึ่งๆ ในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น เป็นอันเห็นความดับแล้ว.

บทว่า ปญฺาย จ วิวฏฺฏนา - การหลีกไปด้วยปัญญา ได้แก่ ละความเกิดเสียแล้วตั้งอยู่ในความเสื่อม.

บทว่า อาวชฺชนา พลญฺเจว - การคำนึงถึงอันเป็นกำลัง คือ ความเป็นผู้สามารถคำนึงถึงในลำดับนั่นเอง เพื่อเห็นความดับของขันธ์หนึ่งๆ ในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้นแล้ว เห็นความดับของจิต อันมีความดับเป็นอารมณ์.

บทว่า ปฏิสงฺขา วิปสฺสนา - การพิจารณาหาทางและความเห็นแจ้ง คือ การพิจารณาอารมณ์นี้ ชื่อว่า ภังคานุปัสนา.

บทว่า อารมฺมณอนฺวเยน อุโภ เอกววตฺถนา ธรรม ๒ อย่าง บัณฑิตกำหนดเอาด้วยสภาพเดียวกัน โดยความเป็นไปตามอารมณ์ ความว่า การกำหนดธรรม ๒ ประการ โดยสภาพเดียวกันว่า สังขาร แม้ในอดีตแตกแล้ว, แม้ในอนาคตก็จักแตกเหมือนสังขารนี้ ด้วยความ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 699

เป็นไปตามอารมณ์ที่เห็นแล้ว โดยประจักษ์. แม้โบราณาจารย์ ก็กล่าวไว้ว่า

สํวิชฺชมานมฺหิ วิสุทฺธทสฺสโน

ตทนฺวยํ เนติ อตีตนาคเต,

สพฺเพปิ สงฺขารคตา ปโลกิโน

อุสฺสาวพินฺทู สุริเยว อุคฺคเต.

ภิกษุผู้มีความเห็นบริสุทธิ์ในสังขารที่เป็นปัจฺจุบัน ย่อมน้อมนำความเห็นบริสุทธิ์นั้นไปพิจารณาสังขารที่เป็นอดีตและอนาคตว่า สังขารทั้งหลายแม้ทั้งหมดก็มีปรกติแตกสลายไป เหมือนหยาดน้ำค้างแห้งไปในเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ฉะนั้น.

บทว่า นิโรเธ อธีมุตฺตตา - ความน้อมจิตไปในความดับ ความว่า ความน้อมไป ความเป็นผู้หนักแน่น ความเอียงไป ความโอนไป ความลาดไปในความดับ อันได้แก่ภังคะ - ความทำลายนั้น เพราะทำความกำหนดธรรมทั้งสองอย่างให้เป็นอันเดียวกัน ด้วยอำนาจความดับอย่างนี้.

บทว่า วยลกฺขณวิปสฺสนา - วิปัสสนาอันมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะ ท่านอธิบายว่า วิปัสสนานี้ชื่อว่า วยลักขณวิปัสสนา.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 700

บทว่า อารมฺมณญฺจ ปฏิสงฺขา - พิจารณาอารมณ์ คือรู้อารมณ์ มีรูปเป็นต้นก่อน.

บทว่า ภงฺคญฺจ อนุปสฺสติ - พิจารณาเห็นความดับ ความว่า เห็นความดับของอารมณ์นั้นแล้ว พิจารณาเห็นความดับของอารมณ์นั้นและของจิต.

บทว่า สุญฺโต จ อุปฏฺานํ - ปรากฏโดยความเป็นของสูญ ได้แก่ ความปรากฏโดยความเป็นของสูญว่า สังขารทั้งหลายย่อมแตก, ความแตกแห่งสังขารเหล่านั้น คือความตาย, ไม่มีอะไรๆ อื่น ดังนี้ ย่อมสำเร็จ. ด้วยเหตุนั้นโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า

ขนฺธา นิรุชฺฌนฺติ น จิตฺถิ อญฺโ

ขนฺธาน เภโท มรณนฺติ วุจฺจติ,

เตสํ ขยํ ปสฺสติ อปฺปมตฺโต

มณีว วิชฺฌํ วชิเรน โยนิโส.

ขันธ์ทั้งหลายย่อมดับ ไม่มีอะไรๆ อื่น คือ ไม่มีสัตว์บุคคล ความแตกแห่งขันธ์ ท่านเรียกว่า มรณะ ผู้ไม่ประมาทเห็นความสิ้นไปแห่งขันธ์เหล่านั้นโดยแยบคาย ดุจช่างแก้วมณีใส่ใจอยู่ซึ่งการเจาะด้วยแก้ววิเชียร ฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 701

บทว่า อธิปญฺา วิปสฺสนา ท่านอธิบายไว้ว่า การพิจารณาอารมณ์ การเห็นแจ้งความดับและความปรากฏโดยความเป็นของสูญ ชื่อว่า อธิปัญญาวิปัสสนา - ความเห็นแจ้งด้วยอธิปัญญา.

บทว่า กุสโล ตีสุ อนุปสฺสนาสุ ได้แก่ ภิกษุผู้ฉลาดในอนุปัสนา ๓ มีอนิจจานุปัสนาเป็นต้น.

บทว่า จตูสุ จ วิปสฺสนาสุ ได้แก่ ในวิปัสสนา ๔ มีนิพพิทานุปัสนาเป็นต้น.

บทว่า ตโย อุปฏฺาเน กุสลตา ความเป็นผู้ฉลาด ความปรากฏ ๓ ประการ ได้แก่ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในความปรากฏ ๓ ประการนี้ คือ โดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป และโดยความสูญไป.

บทว่า นานาทิฏฺีสุ น กมฺปติ - ย่อมไม่หวั่นในทิฏฐิต่างๆ คือ ไม่หวั่นไหวในทิฏฐิมีประการต่างๆ มีสัสสตทิฏฐิเป็นต้น พระโยคาวจรนั้นมิได้หวั่นไหวอยู่อย่างนี้ มีมนสิการเป็นไปแล้วว่า สิ่งไม่ดับย่อมดับ, สิ่งไม่แตกย่อมแตก ดังนี้ ก็สละนิมิตอันเป็นไปแล้วในอุปาทะฐิติแห่งสังขารทั้งปวง ดุจภาชนะเก่ากำลังแตก, ดุจธุลีละเอียด กำลังกระจัดกระจาย, ดุจเมล็ดงาถูกคั่วอยู่ ย่อมเห็นความทำลายนั่นเอง. พระโยคาวจรนั้นย่อมเห็นว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงย่อมทำลายไป ทำลายไปเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่บนฝั่งสระโบกขรณี หรือบนฝั่งแม่น้ำ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 702

เมื่อฝนหนาเม็ดตก พึงเห็นฟองน้ำฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นๆ บนหลังน้ำ แล้วก็แตกไป ฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงพระโยคาวจรเห็นปานนั้นว่า

ยถา ปุพฺพุฬกํ ปสฺเส

ยถา ปสฺเส มรีจิกํ

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ

มจฺจุราชา น ปสฺสติ. (๑)

มัจจุราช ย่อมไม่เห็นผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่ เหมือนพระโยคาวจรเห็นฟองน้ำ หรือพยับแดด ฉะนั้น.

เมื่อพระโยคาวจรนั้นเห็นบ่อยๆ อย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ย่อมแตกไปๆ ดังนี้ ภังคานุปัสนาญาณมีอานิสงส์ ๘ เป็นบริวารย่อมมีกำลัง.

อานิสงส์ ๘ เหล่านี้ คือ

การละภวทิฏฐิ ๑

การสละความใคร่ในชีวิต ๑

การประกอบความขวนขวายในการบุญทุกเมื่อ ๑

ความมีอาชีพบริสุทธิ์ ๑

การละความขวนขวายในการทำบาป ๑

ความปราศจากภัย ๑


๑. ขุ. ธ. ๒๕/๓๓.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 703

การได้ขันติและโสรัจจะ ๑

การอดกลั้นความยินดียินร้าย ๑.

ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวว่า

อิมานิ อฏฺคฺคุณมุตฺตมานิ

ทิสฺวา ตหึ สมฺมสตี ปุนปฺปุนํ,

อาทิตฺตเจลสฺสิรสูปโม มุนิ

ภงฺคานุปสฺสี อมตสฺส ปตฺติยา.

พระมุนี ผู้เห็นสังขารทั้งหลายแตกดับไปเนืองๆ ครั้นเห็นอานิสงส์อันมีการละภวทิฏฐิเป็นต้น เหล่านี้ว่าเป็นธรรมสูงสุด ด้วยคุณ ๘ ประการแล้ว เพื่อบรรลุอมตะคือพระนิพพาน จึงพิจารณาสังขารด้วยภังคานุปัสนาญาณบ่อยๆ เหมือนบุคคลมีผ้าโพกศีรษะอันไฟกำลังลุกไหม้ ฉะนั้น.

จบ อรรถกถาภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส