สังขารุเปกขาญาณนิทเทส
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 712
สังขารุเปกขาญาณนิทเทส
อรรถกถาสังขารุเปกขาญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 711
สังขารุเปกขาญาณนิทเทส
[๑๒๐] ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเปกขาญาณอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 712
ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความเกิดขึ้น ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความเป็นไป ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากสังขารนิมิต ฯลฯ จากกรรมเครื่องประมวลมา จากปฏิสนธิ จากคติ จากความบังเกิด จากความอุบัติ จากชาติ จากชรา จากพยาธิ จากมรณะ จากความโศก จากความรำพัน ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความคับแค้นใจ ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเปกขาญาณแต่ละอย่างๆ.
[๑๒๑] ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ว่า ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความเป็นไปเป็นทุกข์ สังขารนิมิตเป็นทุกข์ ฯลฯ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ เป็นสังขารุเปกขาญาณแต่ละอย่างๆ ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ว่า ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความเป็นไปเป็นภัย ฯลฯ ความคับแค้นใจเป็นภัย เป็นสังขารุเปกขาญาณแต่ละ อย่างๆ.
[๑๒๒] ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ว่า ความเกิดขึ้นมีอามิส ความเป็นไปมีอามิส ฯลฯ ความคับแค้นใจมีอามิส ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ความเป็นไปเป็นสังขาร ฯลฯ ความคับแค้นใจเป็นสังขาร เป็นสังขารุเปกขาญาณแต่ละอย่างๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 713
[๑๒๓] ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ แม้ธรรม ๒ ประการนี้ คือ สังขารและอุเบกขาก็เป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ ความเป็นไปเป็นสังขาร ฯลฯ นิมิตเป็นสังขาร กรรมเครื่องประมวลมาเป็นสังขาร ปฏิสนธิเป็นสังขาร คติเป็นสังขาร ความบังเกิดเป็นสังขาร ความอุบัติเป็นสังขาร ชาติเป็นสังขาร ชราเป็นสังขาร พยาธิเป็นสังขาร มรณะเป็นสังขาร ความโศกเป็นสังขาร ความรำพันเป็นสังขาร ความคับแค้นใจเป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ แม้ธรรม ๒ ประการ คือ สังขารและอุเบกขาก็เป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ.
[๑๒๔] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขา ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร?
การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขา ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๘.
การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 714
การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓.
[๑๒๕] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ เป็นไฉน?
ปุถุชนย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑ ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ นี้.
การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ เป็นไฉน?
พระเสขะย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑ ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑ พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ๑ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ นี้.
การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ เป็นไฉน?
ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑ พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ๑ วางเฉยสังขารุเปกขานั้นแล้ว ย่อมอยู่ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ อนิมิตตวิหารสมาบัติ หรืออัปปณิหิตวิหารสมาบัติ ๑ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 715
[๑๒๖] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชนและของพระเสขะ เป็นอย่างเดียวกันอย่างไร?
ปุถุชนยินดีสังขารุเปกขา มีจิตเศร้าหมอง มีอันตรายแห่งภาวนา มีอันตรายแห่งปฏิเวธ มีปัจจัยแห่งปฏิสนธิต่อไป แม้พระเสขะยินดีสังขารุเปกขาก็มีจิตเศร้าหมอง มีอันตรายแห่งภาวนา มีอันตรายแห่งปฏิเวธในมรรคชั้นสูง มีปัจจัยแห่งปฏิสนธิต่อไป การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชนและของพระเสขะ เป็นอย่างเดียวกันโดยสภาพแห่งความยินดีอย่างนี้.
[๑๒๗] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ เป็นอย่างเดียวกันอย่างไร?
ปุถุชนย่อมพิจารณาเห็นสังขารุเปกขาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา แม้พระเสขะก็พิจารณาเห็นสังขารุเปกขาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แม้ท่านผู้ปราศจากราคะ ก็พิจารณาเห็นสังขารุเปกขาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ เป็นอย่างเดียวกันโดยสภาพแห่งการพิจารณาอย่างนี้.
[๑๒๘] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 716
สังขารุเปกขาของปุถุชนเป็นกุศล แม้ของพระเสขะก็เป็นกุศล แต่ของท่านผู้ปราศจากราคะเป็นอัพยากฤต การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพเป็นกุศลและอัพยากฤตอย่างนี้.
[๑๒๙] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันอย่างไร?
สังขารุเปกขาของปุถุชน ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย คือในเวลาเจริญวิปัสสนา ไม่ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย แม้สังขารุเปกขาของพระเสขะ ก็ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย สังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ปรากฏดีโดยส่วนเดียว การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพที่ปรากฏและโดยสภาพที่ไม่ปรากฏอย่างนี้.
[๑๓๐] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันอย่างไร?
ปุถุชนย่อมพิจารณา เพราะเป็นผู้ยังไม่เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา แม้พระเสขะก็พิจารณาเพราะเป็นผู้ยังไม่เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา ส่วนท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมพิจารณาเพราะเป็นผู้เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 717
ท่านผู้ปราศจากราคะ. มีความต่างกันโดยสภาพที่ยังไม่เสร็จกิจและโดยสภาพที่เสร็จกิจแล้วอย่างนี้.
[๑๓๑] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันอย่างไร?
ปุถุชนย่อมพิจารณาสังขารุเปกขาเพื่อจะละสังโยชน์ ๓ เพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค พระเสขะย่อมพิจารณาสังขารุเปกขาเพื่อต้องการได้มรรคชั้นสูงขึ้นไป เพราะเป็นผู้ละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมพิจารณาสังขารุเปกขา เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เพราะเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวงได้แล้ว การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพที่ละกิเลสได้แล้วและโดยสภาพที่ยังละกิเลสไม่ได้อย่างนี้.
[๑๓๒] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันอย่างไร?
พระเสขะยังยินดีสังขารุเปกขาบ้าง ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขาบ้าง พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติบ้าง ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขาบ้าง พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติบ้าง วางเฉยสังขารุเปกขานั้นแล้ว ย่อมอยู่ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ อนิมิตตวิหารสมาบัติ หรืออัปปณิหิตวิหารสมาบัติ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 718
และของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยภาพแห่งวิหารสมาบัติอย่างนี้.
[๑๓๓] สังขารุเปกขาเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขาเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา?
สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา.
สังขารุเปกขา ๘ เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ? ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยนิวรณ์ เพื่อต้องการได้ปฐมฌาน เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิตกวิจาร เพื่อต้องการได้ทุติยฌาน เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยปีติ เพื่อต้องการได้ตติยฌาน เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยสุขและทุกข์ เพื่อต้องการได้จตุตถฌาน เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ว วางเฉยรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา และนานัตตสัญญา เพื่อต้องการได้อากาสานัญจายตนสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยอากาสานัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิญญาณัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยอากิญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 719
จัญญายตนสัญญา เพื่อต้องการได้เนวสัญญานาสัญญาตนสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ สังขารุเปกขา ๘ เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ.
[๑๓๔] สังขารุเปกขา ๑๐ เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา?
ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิตกรรมเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ เพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้โสดาปัตติสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้สกทาคามิมรรค เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้สกทาคามิผลสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการอนาคามิมรรค เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้อนาคามิผลสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้อรหัตตมรรค เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการได้อรหัตตผลสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑... เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ ปัญญาที่พิจารณาหาทาแล้ววางเฉยความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรม เครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ เพื่อต้องการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 720
ได้อนิมิตตวิหารสมาบัติ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ๑ สังขารุเปกขาญาณ ๑๐ เหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา.
[๑๓๕] สังขารุเปกขาเป็นกุศลเท่าไร เป็นอกุศลเท่าไร เป็นอัพยากฤตเท่าไร? สังขารุเปกขาเป็นกุศล ๑๕ เป็นอัพยากฤต ๓ เป็นอกุศลไม่มี
ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉย เป็นโคจรภูมิของสมาธิจิต ๘ เป็นโคจรภูมิของปุถุชน ๒ เป็นโคจรภูมิของพระเสขะ ๓ เป็นเครื่องให้จิตของท่านผู้ปราศจากราคะหลีกไป ๓ เป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ๘ เป็นโคจรแห่งภูมิแห่งญาณ ๑๐ สังขารุเปกขา ๘ เป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์ ๓ อาการ ๑๘ นี้ พระโยคาวจรอบรมแล้วด้วยปัญญา พระโยคาวจรผู้ฉลาดในสังขารุเปกขา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฏฐิต่างๆ ฉะนี้แล.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉย เป็นสังขารุเปกขาญาณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 721
อรรถกถาสังขารุเปกขาญาณนิทเทส
๑๒๐ - ๑๓๕] พึงทราบวินิจฉัยในสังขารุเปกขาญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้ บทว่า อุปฺปาทา เป็นต้น มีอรรถดังได้กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บททั้งหลายว่า ทุกฺขนฺติ ภยนฺติ สามิสนฺติ สงฺขารา - ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความเกิดขึ้นมีอามิส ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร เป็นคำแสดงเหตุของญาณ คือ ความหลุดพ้นจาก อุปฺปาท เป็นต้น.
อนึ่ง พระสารีบุตร ครั้นแสดงถึงสังขารุเปกขาญาณโดยลักษณะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงโดยอรรถ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า อุปฺปาโท สงฺขารา, เต สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขตีติ สงฺขารุเปกขา - ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร, ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สังขารุเปกขาญาณ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขาเร อชฺฌุเปกฺขติ - ญาณวางเฉยในสังขาร ความว่า เมื่อพระโยคาวจรนั้นเริ่มเจริญวิปัสสนา ละความขวนขวายในการค้นหาลักษณะ เพราะเห็นพระไตรลักษณ์ด้วยวิปัสสนาญาณแล้ว เห็นภพ ๓ ดุจไฟติดทั่วแล้ว มีความเป็นกลางในการถือสังขารวิปัสสนาญาณนั้น ย่อมเห็นสังขารเหล่านั้นโดยพิเศษ และเห็น คือ มองดูญาณที่เว้นแล้วด้วยการถือเอา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สังขารุเปกขาญาณ. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ผู้ชนะโดยพิเศษ ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 722
ย่อมชนะยิ่งในโลก ผู้เว้นอาหาร ขออยู่ด้วย ก็ชื่อว่า เข้าไปอาศัย. ญาณที่เห็นแจ้งสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นอีก เห็นแจ้งแม้สังขารุเปกขา ซึ่งตั้งอยู่ในความเป็นกลาง โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นในการยึดถือ ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า เย จ สงฺขารา, ยา จ อุเปกฺขา - ทั้งสังขารและอุเบกขาก็เป็นสังขาร เพราะเกิดพร้อมกันด้วย สังขารุเบกขาอันตั้งอยู่โดยอาการเป็นกลาง ในการยึดถือสังขารุเปกขาแม้นั้น.
บัดนี้ พระสารีบุตรเพื่อจะแสดงประเภทของการน้อมจิตไปในสังขารุเปกขา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กตีหากาเรหิ - ด้วยอาการเท่าไร. ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขารุเปกฺขาย เป็นสัตตมีวิภัตติ แปลว่า ในสังขารุเบกขา.
บทว่า จิตฺตสฺส อภินีหาโร - การน้อมไปแห่งจิต ได้แก่ การทำจิตอื่นจากนั้นให้มุ่งไปสู่ความวางเฉยของสังขาร แล้วนำไปอย่างหนักหน่วง. อภิ ศัพท์ ในบทนี้ มีความว่ามุ่งหน้า. นี ศัพท์ มีความว่าอย่างยิ่ง พระสารีบุตรประสงค์จะแก้คำถามที่ถามว่า กตีหากาเรหิ - ด้วยอาการเท่าไร ตอบว่า อฏฺหากาเรหิ - ด้วยอาการ ๘ อย่าง แล้วจึงแสดงอาการ ๘ เหล่านั้น ด้วยแก้คำถามข้อที่ ๒ จึงไม่แสดงอาการเหล่านั้น ได้ตั้งคำถามมีอาทิว่า ปุถุชฺชนสฺส กตีหากาเรหิ - การน้อมจิตไปในสังขารุเบกขาของปุถุชน ด้วยอาการเท่าไร ในบทว่า ปุถุชฺชนสฺส นี้มีคาถาดังต่อไปนี้ ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 723
ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา พุทฺเธนาทิจฺจพนฺธุนา
อนฺโธ ปุถุชฺชโน เอโก กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน.
พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ตรัสถึงปุถุชนไว้ ๒ จำพวก พวกหนึ่งเป็นอันธปุถุชน พวกหนึ่งเป็นกัลยาณปุถุชน.
ในปุถุชน ๒ จำพวกนั้น ปุถุชนที่ไม่มีการเรียน การสอบถาม การฟัง การจำและการพิจารณาเป็นต้น ในขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้น เป็น อันธปุถุชน ปุถุชนที่มีการเรียนเป็นต้นเหล่านั้น เป็นกัลยาณปุถุชน. แม้ปุถุชน ๒ จำพวกนี้ก็มีคาถาว่า
ปุถูนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโน
ปุถุชฺชนนฺโตคธตฺตา ปุถุวายํ ชโน อิติ.
ชื่อว่า ปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสหนาให้เกิดขึ้น เพราะความเป็นผู้มีกิเลสหนาหยั่งลงถึงภายใน จึงชื่อว่า เป็นปุถุชน.
ชื่อว่า ปุถุชนด้วยเหตุยังกิเลสเป็นต้นมีประการต่างๆ อันหนาให้เกิด. ดังที่ท่านกล่าวว่า
ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่ายังกิเลสอันหนาให้เกิด เพราะอรรถว่าไม่กำจัดสักกายทิฏฐิอันหนาออกไป, เพราะอรรถว่าเลือกหน้าศาสดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 724
มาก เพราะอรรถว่าคติทั้งปวงร้อยไว้มาก เพราะอรรถว่าย่อมตกแต่งด้วยอภิสังขารต่างๆ มาก เพราะอรรถว่าย่อมลอยไปด้วยโอฆะต่างๆ มาก เพราะอรรถว่าย่อมเดือดร้อนเพราะกิเลสเป็นเหตุให้เดือดร้อนต่างๆ มาก, เพราะอรรถว่าถูกเผาด้วยอันตรายต่างๆ มาก, เพราะอรรถว่าเป็นผู้กำหนัด ยินดี ขอบใจ หลงใหล ซบ ติดใจ เกาะเกี่ยว พัวพัน ในกามคุณ ๕, เพราะอรรถว่าถูกร้อยรัด ปกคลุม ปิดบัง หุ้มห่อ ปกปิด คดโกงมาก ด้วยนิวรณ์ ๕ (๑) ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน เพราะชนมีกิเลสหนาเหลือที่จะนับ หันหลังให้อริยธรรม ประพฤติธรรมต่ำ, อีกอย่างหนึ่ง เพราะคนกิเลสหนาจัดอยู่ต่างหาก ไม่สังสรรค์กับพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วยคุณ มีความเป็นผู้มีศีลและสุตะเป็นต้น. ในปุถุชน ๒ จำพวกนั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอากัลยาณปุถุชน, เพราะชนนอกนั้นไม่มีการเจริญภาวนาเลย.
ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ ได้แก่ พระเสกขะ ๗ จำพวก คือ ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิ
๑. ขุ. มหา. ๒๙/๔๓๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 725
ผล อนาคามิมรรค อนาคามิผลและอรหัตตมรรค ชื่อว่า เสกขะ เพราะท่านเหล่านั้นยังสิกขา ๓. ในพระเสกขะเหล่านั้นในที่นี้ท่านประสงค์เอาพระเสกขะ ๓ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สกทาคามิผลและอนาคามิผล เพราะท่านผู้ตั้งอยู่ในมรรค ไม่น้อมจิตไปในสังขารุเบกขา.
ในบทว่า วีตราคสฺส นี้ ชื่อว่า วีตราโค เพราะมีราคะปราศจากไปแล้ว โดยปราศจากไปด้วยสมุจเฉทปหาน. บทนี้เป็นชื่อของพระอรหัต. แม้ใน ๓ บทนั้น ท่านก็ทำให้เป็นเอกวฺจนะ โดยถือเอาชาติ.
บทว่า สงฺขารุเปกฺขํ อภินนฺทติ - พระเสกขะย่อมยินดีสังขารุเบกขา ความว่า พระเสกขะครั้นได้สัญญาในธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นผาสุก ในธรรมเป็นเครื่องอยู่ คือ อุเบกขานั้นแล้ว เป็นผู้มุ่งไปสู่สังขารุเบกขาด้วยความปรารถนาในผาสุขวิหารธรรม ย่อมยินดี อธิบายว่า ยังตัณหาอันมีปีติให้เกิดขึ้น.
บทว่า วิปสฺสติ - ย่อมเห็นแจ้ง คือ พระเสกขะย่อมเห็นหลายๆ อย่าง ด้วยลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้นเพื่อได้โสดาปัตติมรรค, พระเสกขะย่อมเห็นเพื่อได้มรรคชั้นสูง, พระอเสกขะผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นเพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 726
บทว่า ปฏิสงฺขาย ได้แก่ เข้าไปพิจารณาด้วยสามารถลักษณะ มีความไม่เที่ยงเป็นต้น, อนึ่ง เพราะพระอริยะทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้นเข้าผลสมาบัติของตนๆ ถ้าไม่เห็นแจ้งวิปัสสนาญาณ ๙ มีอุทยัพพยญาณ เป็นต้น ก็ไม่สามารถจะเข้าสมาบัติได้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฏิสงฺขาย วา ผลสมาปตฺตึ สมาปชฺชนฺติ - พระอริยะทั้งหลายพิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ดังนี้.
เพื่อแสดงความเป็นไปแห่งผลสมาบัติ จึงมีปัญหากรรมของพระเสกขะเหล่านี้ดังต่อไปนี้
ผลสมาบัติ คือ อะไร, ใครเข้าสมาบัตินั้น, ใครไม่เข้าสมาบัติ, เพราะเหตุไรจึงต้องเข้าสมาบัติ, การเข้าสมาบัตินั้นเป็นอย่างไร, การตั้งอยู่เป็นอย่างไร, การออกเป็นอย่างไร, อะไรเป็นลำดับของผล และผลเป็นลำดับของอะไร?
พึงทราบวินิจฉัยในปัญหากรรมนั้นดังต่อไปนี้ว่า
อะไรเป็นผล สมาบัติ? แก้ว่า อัปปนาในนิโรธของอริยผล (๑).
ใครเข้าสมาบัตินั้น ใครไม่เข้าสมาบัตินั้น, แก้ว่า ปุถุชนแม้ทั้งหมดเข้าสมาบัติไม่ได้. เพราะเหตุไร? เพราะยังไม่บรรลุ. ส่วนพระอริยะทั้งหมดเข้าสมาบัติได้.
๑. วิสุทธิมรรคบาลี หน้า ๓๕๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 727
เพราะเหตุไร? เพราะบรรลุแล้ว. ส่วนพระอริยะชั้นสูง ไม่เข้าสมาบัติชั้นต่ำ เพราะสงบแล้วด้วยความเข้าถึงความเป็นบุคคลอื่น. และพระอริยะชั้นต่ำ ก็ไม่เข้าสมาบัติชั้นสูง เพราะยังไม่บรรลุ. แต่ท่านทั้งหมดก็เข้าสมาบัติอันเป็นผลของตนๆ นั่นเอง เพราะเหตุนั้น คำนี้จึงเป็นข้อสันนิษฐานไว้ในที่นี้.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้พระโสดาบันพระสกทาคามีก็ไม่เข้าสมาบัติ. พระอริยะ ๒ ชั้นสูงย่อมเข้าสมาบัติ. นี้เป็นเหตุของพระอริยะเหล่านั้น. เพราะพระอริยะเหล่านั้นเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ. นั้นไม่ใช่เหตุของปุถุชน เพราะเข้าโลกิยสมาธิที่ตนได้แล้ว. ก็ในที่นี้ เพราะคิดถึงเหตุและมิใช่เหตุเป็นอย่างไร. ในการแก้ปัญหา เหล่านี้ว่า สังขารุเบกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยวิปัสสนาเป็นไฉน (๑). โคตรภูธรรม ๑๐ ย่อมเกิดด้วยวิปัสสนาเป็นไฉน ท่านกล่าวไว้ต่างหากกันในบาลีนี้แล้วมิใช่หรือว่า เพื่อประโยชน์การเข้าโสดาปัตติผล เพื่อประโยชน์การเข้าสกทาคามิผล. เพราะฉะนั้น พระอริยะแม้ทั้งหมดก็ย่อมเข้าสมาบัติอันเป็นผลของตนๆ เพราะเหตุนั้น จึงควรตกลงไว้ในที่นี้.
เพราะเหตุไรจึงต้องเข้าสมาบัติ? แก้ว่า เพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม. เหมือนอย่างพระราชาทั้งหลายย่อมเสวยสุขในราชสมบัติ. ทวยเทพย่อมเสวยทิพยสุข ฉันใด, พระอริยะทั้งหลายก็ฉันนั้น ทำข้อ
๑. ขุ. ป. ๓๑/๑๓๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 728
กำหนดไว้ในกาลใกล้ว่า เราจักเสวยโลกุตรสุข ดังนี้ แล้วเข้าผลสมาบัติในขณะที่ตนปรารถนาๆ.
การเข้าสมาบัตินั้นเป็นอย่างไร? ตั้งไว้เป็นอย่างไร. ออกเป็นอย่างไร? แก้ว่า การเข้าสมาบัตินั้นย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ไม่ใสใจถึงอารมณ์อื่น นอกจากนิพพาน ๑ ใส่ใจนิพพาน ๑. ดังที่ท่านกล่าวว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๒ อย่าง คือ การไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง ด้วยสมาบัติอันเป็นเจโตวิมุตติ หานิมิตมิได้ ๑ การใส่ใจด้วยธาตุอันหานิมิตมิได้ ๑ (๑) .
นี้เป็นลำดับของการเข้าสมาบัติในที่นี้, จริงอยู่พระอริยสาวกผู้มีความต้องการด้วยผลสมาบัติไปในที่ลับหลีกเร้นอยู่ พึงพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยอนุปัสนาญาณ มีอุทยัพพยานุปัสนาญาณเป็นต้น. จิตของพระอริยสาวกนั้นผู้พิจารณาตามลำดับที่เป็นไปแล้ว ย่อมเอิบอิ่มในนิโรธ ด้วยสามารถผลสมาบัติในลำดับแห่งโคตรภูญาณ อันมีสังขารเป็นอารมณ์.
อนึ่ง เพราะจิตน้อมไปในผลสมาบัติ ผลนั่นแลย่อมเกิดแม้แก่พระเสกขะในผลสมาบัตินี้ มิใช่มรรคเกิด.
๑. ม. มู. ๑๒/๕๐๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 729
อนึ่ง ผู้ใดกล่าวว่าพระโสดาบันเริ่มตั้งวิปัสสนา ด้วยคิดว่าเรา จักเข้าผลสมาบัติ ดังนี้ แล้วจะเป็นพระสกทาคามี, และพระสกทาคามีก็จะเป็นพระอนาคามี ดังนี้. ผู้นั้นควรกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ พระอนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์. พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธะ และพระปัจเจกพุทธะก็จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. เพราะฉะนั้น ข้อนั้น จึงไม่มีอะไร. และก็ไม่ควรถือเอาโดยบาลีว่า ปฏิกฺขิตฺตํ - ถูกห้ามเสีย แล้วบ้าง. แต่ควรถือข้อนี้ไว้. ผลเท่านั้นย่อมเกิดแม้แก่พระเสกขะ มิใช่ มรรคเกิด.
อนึ่ง หากว่า ผลของมรรคนั้นมีอยู่ เป็นอันว่า พระเสกขะนั้นได้บรรลุมรรคอันมีในปฐมฌาน ญาณอันมีในปฐมฌานนั่นแลย่อมเกิด, หากว่า มรรคมีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น ญาณก็มีในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น การเข้าสมาบัตินั้นย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้แล.
สมาบัตินั้นตั้งอยู่ด้วยอาการ ๓ เพราะบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๓ อย่าง คือ การไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง เพื่อความตั้งมั่นแห่งเจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้ ๑, การใส่ใจธาตุอันหานิมิตมิได้ ๑ การปรุงแต่งในกาลก่อน ๑ (๑) .
๑. ม. มู. ๑๒/๕๐๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 730
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ จ อภิสงฺขาโร - การปรุงแต่งในกาลก่อน คือ กำหนดกาลก่อนจากเข้าสมาบัติ การตั้งอยู่ของสมาบัตินั้นย่อมมีได้ ตราบเท่าที่กาลนั้นยังไม่มาถึง เพราะกำหนดไว้ว่า เราจักออกในเวลาโน้น ดังนี้. ที่ตั้งของสมาบัติ ย่อมมีได้อย่างนี้.
สมาบัตินั้นออกด้วยอาการ ๒ เพราะบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโส ปัจจัย ๒ อย่างแล คือ การใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวง ด้วยการออกจากเจโตวิมุตติ อันไม่มีนิมิต ๑ การไม่ใส่ใจธาตุอันหานิมิตมิได้ ๑ (๑) .
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และวิญญาณนิมิต. อนึ่ง แม้จะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งหมดเหล่านั้น โดยเป็นอันเดียวก็จริง ถึงดังนั้นท่านก็กล่าวบทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ นี้ ด้วยสามารถสงเคราะห์เข้าด้วยกันทั้งหมด. เพราะฉะนั้น. เมื่อพระโยคาวจรใส่ใจถึงอารมณ์อันมีแก่ภวังค์ ก็เป็นอันออกจากผลสมาบัติ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบการออกแห่ง สมาบัตินั้นอย่างนี้.
อะไรเป็นลำดับของผล, และผลเป็นลำดับของอะไร? แก้ว่า ผลนั่นแล หรือภวังค์ เป็นลำดับของผล. แต่ผลมีอยู่ในลำดับมรรค, มรรคมีอยู่ในลำดับผล, ผลมีอยู่ในลำดับโคตรภู คือ อนุโลมญาณ
๑. ม. มู. ๑๒/๕๐๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 731
ผลมีอยู่ในลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะ. ผลมีอยู่ในลำดับของมรรค ในวิถีแห่งมรรคนั้น, ผลหลังๆ มีอยู่ในลำดับของผลก่อนๆ. ผลก่อนๆ ในผลสมาบัติมีอยู่ในลำดับโคตรภู คือ อนุโลมญาณ.
อนึ่ง ในบทว่า โคตรภู นี้ พึงทราบว่าเป็นอนุโลมญาณดังที่ท่านกล่าวไว้ในปัฏฐานว่า อนุโลมญาณของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจอนันตรปัจจัย (๑) . อนุโลมญาณของพระเสกขะเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ด้วยอำนาจอนันตรปัจจัย (๒) . การออกจากนิโรธย่อมมีด้วยผลใด ผลนั้นย่อมมีในลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะ. ในบทนั้น ผลทั้งหมดที่เหลือเว้นผลอันเกิดขึ้นในมรรควิถี ชื่อว่า เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติ. ผลนี้เป็นไปแล้วด้วยการเกิดขึ้นในมรรควิถีก็ดี ในผลสมาบัติก็ดี ด้วยประการฉะนี้. ท่านกล่าวเป็นคาถาไว้ว่า
ปฏิปฺปสฺสทฺธทรถํ อมตารมฺมณํ สุภํ
วนฺตโลกามิสํ สนฺตํ สามญฺผลมุตฺตมํ.
สามัญผลสูงสุดระงับความกระวนกระวาย มีอมตะเป็นอารมณ์งาม คายโลกามิสสงบ ดังนี้.
นี้เป็นผลสมาปัตติกถาในนิทเทสนี้.
๑. อภิ. ปฏฺาน. ๔๐/๕๐๙.
๒. อภิ. ปฏฺาน. ๔๐/๕๑๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 732
บทว่า ตทชฺฌุเปฺขิตฺวา - วางเฉยสังขารุเบกขานั้น ได้แก่ วางเฉยสังขารุเบกขานั้น ด้วยวิปัสสนาญาณเช่นนั้นอย่างหนึ่ง. ในบทมีอาทิว่า สุญฺตวิหาเรน วา - ด้วยสุญญฺตวิหารสมาบัติ มีความดังต่อไปนี้ การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของพระอรหันต์ผู้ประสงค์จะอยู่ด้วยวิปัสสนาวิหารเว้นผลสมาบัติ เห็นความยึดมั่นตนโดยความน่ากลัว จึงน้อมไปใน สุญญตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่า สุญญตวิหาร.
การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของท่านผู้เห็นสังขารนิมิต โดยความน่ากลัวแล้วน้อมไปใน อนิมิตตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่า อนิมิตตวิหาร. การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของท่านผู้เห็นความตั้งมั่นในตัณหา โดยความน่ากลัวแล้วน้อมไปใน อัปปณิหิตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร. ดังที่ท่านกล่าวไว้ข้างหน้าว่า
พระโยคาวจร เมื่อเห็นความยึดมั่นสังขารนิมิต โดยความน่ากลัวถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อม เพราะมีจิตน้อมไปในสุญญตนิพพาน ชื่อว่า สุญญตวิหาร. เมื่อเห็นนิมิตโดยความน่ากลัวถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อม เพราะมีจิตน้อมไปในอนิมิตตนิพพาน ชื่อว่า อนิมิตต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 733
วิหาร. เมื่อเห็นปณิธิโดยความน่ากลัว ย่อมเห็นความเสื่อมถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อม เพราะมีจิตน้อมไปในอัปปณิหิตนิพพาน ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร (๑) .
จิตของพระอรหันต์นั่นแล ย่อมเป็นไปในอำนาจโดยอาการทั้งปวง โดยความมีฉฬังคุเบกขา และโดยมีวิหารธรรมมีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่า ไม่เป็นปฏิกูลเป็นต้น, จากนั้นท่านอธิบายว่า วิปัสสนาวิหารย่อมสำเร็จแก่พระอรหันต์เท่านั้น.ในบทนี้ว่า วีตราโค สงฺขารุเปกฺขํ วิปสฺสติ - ผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเบกขา มีความว่า วิปัสสนายังไม่ถึงภัย ๓ อย่าง และอธิมุตติ ๓ อย่าง พึงทราบว่า เป็นวิปัสสนาสิ้นเชิง. เมื่อเป็นอย่างนั้นย่อมมีความวิเศษทั้งก่อนและหลัง.
บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะแสดงประเภทของความเป็นอันเดียวกันและความต่างกันแห่งสังขารุเบกขา ด้วยสามารถบุคคล ๒ - ๓ ประเภท จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กถํ ปุถุชฺชนสฺส จ เสกฺขสฺส.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตสฺส อภินีหาโร เอกตฺตํ โหติ - ความน้อมไปแห่งจิตเป็นอย่างเดียวกัน คือ เป็นอันเดียวกัน. พึงทราบว่า เป็น ภาววจนะ ลงใน สกัตถะ. ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา ก็เหมือน อิทปฺปจฺจยา. เอกตฺตํ ก็คือ เอโก นั่นเอง.
๑. ขุ. ป. ๓๑/๒๐๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 734
บทว่า อภินีหาโร เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งฉัฏฐิวิภัตติ. คือ อภินีหารสฺส - แห่งความน้อมไป. พึงทราบว่า ท่านทำเป็นวิภัตติวิปลาส ดุจในบทว่า โส เทโส สมฺมชฺชิตฺวา - กวาดที่พื้นที่นั้น.
บทว่า จิตฺตํ กิลิสฺสติ - จิตเศร้าหมอง ได้แก่ จิตเศร้าหมองด้วยกิเลส คือ โลภะได้ในบทว่า วิปสฺสนานิกํ เป็นข้าศึกแห่งวิปัสสนา อธิบายว่า ทำให้เดือดร้อนทำให้ลำบาก.
บทว่า ภาวนาย ปริปนฺโถ โหติ - มีอันตรายแห่งภาวนา ได้แก่ กำจัดวิปัสสนาภาวนาที่ได้แล้ว.
บทว่า ปฏิเวธสฺส อนฺตราโย โหติ - มีอันตรายแห่งปฏิเวธ ได้แก่ เป็นอันตรายแก่การได้สัจปฏิเวธที่ควรได้ด้วยวิปัสสนาภาวนา.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจโย โหติ - มีปัจจัยแห่งปฏิสนธิต่อไป ความว่า เมื่อกรรมนั้นให้สุคติปฏิสนธิ เพราะกรรมสัมปยุตด้วยสังขารุเบกขามีกำลัง กิเลส คือโลภะ กล่าวคือ ความยินดีมีปัจจัยแห่งสุคติปฏิสนธิ เป็นกามาวจรในอนาคต เพราะกรรมมีกิเลสเป็นสหาย ย่อมยังวิบากให้เกิด. ฉะนั้น กรรมจึงเป็นชนกปัจจัย. กิเลส เป็นอุปถัมภกปัจจัย.
อนึ่ง บทว่า อุตฺตริปฏิเวธสฺส - แห่งปฏิเวธในมรรคชั้นสูง ได้แก่ สัจปฏิเวธด้วยอำนาจสกทาคามิมรรคเป็นต้นของพระเสกขะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 735
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจโย โหติ พึงทราบว่า กิเลส คือ ความพอใจเป็นปัจจัยแห่งสุคติปฏิสนธิเป็นกามาวจร อันกรรม คือ สังขารุเบกขาให้แก่ฌานในพระเสกขะทั้งหลาย ที่เป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามียังไม่บรรลุ. ไม่เป็นปัจจัยแก่ผู้ได้ฌานและแก่พระอนาคามีตั้งแต่ปฏิสนธิในพรหมโลก, กิเลสนี้แหละเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิ อันโคตรภูที่เป็นอนุโลมให้.
บทว่า อนิจฺจโต ชื่อว่าโดยความไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี เพราะมีความไม่เที่ยงเป็นที่สุด เพราะความมีเบื้องต้นและความมีที่สุด.
บทว่า ทุกฺขโต ชื่อว่าโดยความเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า บีบคั้นบ่อยๆ เพราะบีบคั้นด้วยความเกิดและความเสื่อม และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
บทว่า อนตฺตโต ชื่อว่าโดยความเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ เพราะอาศัยปัจจัยเป็นไป และเพราะไม่มีสามี - เจ้าของ ไม่มีนิวาสี - ผู้อาศัยอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีการก - ผู้ทำและเวทกะ - ผู้เสวย.
บทว่า อนุปสฺสนฏฺเน - โดยสภาพแห่งการพิจารณา ได้แก่ โดยสภาพแห่งการ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นตามๆ กัน.
บทว่า อภินีหาโร นานตฺตํ โหติ พึงทราบว่า การน้อมจิตไปต่างกัน หรือ ความต่างกันแห่งการน้อมจิต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 736
บทว่า กุสลา ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่าไม่มีโรค เพราะ อรรถว่าไม่มีโทษ และเพราะอรรถว่าเป็นความฉลาด.
บทว่า อพฺยากตา คือ พยากรณ์ไม่ได้ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล.
บทว่า กิญฺจิกาเล สุวิทิตา - ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย ได้แก่ ปรากฏด้วยดีในกาลแห่งวิปัสสนา.
บทว่า กิญฺจิกาเล น สุวิทิตา - ไม่ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย คือ ไม่ปรากฏด้วยดีในกาลแห่งความพอใจ.
บทว่า อจฺจนฺตํ สุวิทิตา - ปรากฏดีโดยส่วนเดียว ได้แก่ ปรากฏดีโดยส่วนเดียว เพราะละความพอใจได้แล้ว.
ในบทนี้ว่า วิทิตฏฺเน จ อวิทิตฏฺเน จ - โดยสภาพที่ปรากฏ และโดยสภาพที่ไม่ปรากฏ มีความว่า พระเสกขะที่เป็นปุถุชนมีสภาพปรากฏดีแล้วก็ดี พระเสกขะปราศจากราคะ มีสภาพปรากฏดีโดยส่วนเดียวก็ดี ชื่อว่า เป็นผู้ปรากฏแล้ว, แม้ทั้งสองมีสภาพปรากฏไม่ดี ก็ชื่อว่า มีสภาพปรากฏไม่ดีนั่นแล.
บทว่า อติตฺตตฺตา - เพราะยังไม่เสร็จกิจ ได้แก่ เพราะยังไม่เสร็จกิจที่ควรทำแห่งวิปัสสนา คือยังไม่ประณีต. ชื่อว่า ติตฺตตฺตา เพราะตรงข้ามกับบทว่า อติตฺตตฺตา นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 737
บทว่า ติณฺณํ สญฺโชนานํ ปหานาย - เพื่อละสังโยชน์ ๓ ได้แก่ เพื่อละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส. พระโพธิสัตว์ แม้มีภพสุดท้ายก็ยังสงเคราะห์เข้าในบทนี้เหมือนกัน. แต่สัตว์ผู้ยังไม่มีภพสุดท้ายยังวิปัสสนาให้ถึงสังขารุเบกขาตั้งอยู่.
บทว่า โสตาปตฺติมคฺคํ ปฏิลาภตฺถาย - เพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค อาจารย์ทั้งหลายไม่กล่าวย่อไว้. กล่าวย่อไว้ดีกว่า.
บทว่า เสกฺโข ติณฺณํ สญฺโชนานํ ปหีนตฺตา ท่านกล่าวโดยความเสมอกันแห่งพระโสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามี จริงอยู่ สังโยชน์เหล่านั้น มีพระสกทาคามีและพระอนาคามี ก็ละได้แล้ว.
บทว่า อุตฺตริปฏิลาภตฺถาย - คือ เพื่อต้องการได้มรรคชั้นสูงๆ.
บทว่า ทิฏฺธมฺมสุขวิหารตฺถาย - เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ได้แก่ เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือ ในอัตภาพที่ประจักษ์.
บทว่า วิหารสมาปตฺตฏฺเน - โดยสภาพแห่งวิหารสมาบัติ ได้แก่ โดยสภาพแห่งผลสมาบัติของพระเสกขะ. โดยสภาพแห่งผลสมาบัติ อันเป็นวิปัสสนาวิหารของท่านผู้ปราศจากราคะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 738
บัดนี้ พระสารีบุตรเพื่อแสดงการกำหนดด้วยการคำนวณของสังขารุเบกขา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา - สังขารุเบกขาเท่าไร?
ในบทเหล่านั้น บทว่า สมถวเสน คือ ด้วยสามารถสมาธิ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะนี้เหมือนกัน.
บทว่า นีวรเณ ปฏิสงฺขา - ปัญญาพิจารณานิวรณ์ ได้แก่ กำหนดโดยความที่ควรละนิวรณ์ ๕.
บทว่า สนฺติฏนา - การดำรงไว้ ได้แก่ การดำรงไว้เพราะความเป็นกลาง ด้วยการเข้าถึงความไม่ขวนขวายในการละนิวรณ์เหล่านั้น เพราะมุ่งแต่จะละนิวรณ์เหล่านั้น.
บทว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ คือ ในการวางเฉยสังขาร อันกล่าวคือ นิวรณ์ ด้วยการไม่ทำความขวนขวายในการละนิวรณ์ทั้งหลาย ในวิตก วิจารเป็นต้น และในอุปาทะเป็นต้นก็มีนัยนี้. ญาณสำเร็จด้วยภาวนา อันมีกำลังในส่วนเบื้องต้นอันใกล้ด้วยอัปปนาวิถีในสมถะ ชื่อว่า สังขารุเบกขา.
ในบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติมคฺคํ ปฏิลาภตฺถาย - เพื่อได้โสดาปัตติมรรค คือ เป็นอันได้มรรคอย่างใดอย่างหนึ่งในสุญญตมรรค อนิมิตตมรรคและอัปปณิหิตมรรค ในมรรควาร ๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 739
ในบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการได้โสดาปัตติผลสมาบัติ พึงทราบผลสมาบัติอันเป็นอัปปณิหิตะในผลวาร ๔. เพราะเหตุไร? เพราะท่านกล่าวถึงผลสมาบัติ ๒ เหล่านี้ คือ สุญฺตวิหารสมาปตฺตถาย - เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ ๑ อนิมิตฺตวิหารสมาปตฺตตฺถาย - เพื่อต้องการอนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ ไว้ต่างหากกัน.
พึงทราบอนิมิตตมรรคด้วยการออกจากอนิจจานุปัสนา, พึงทราบอนิมิตตผลสมาบัติในกาลแห่งผลสมาบัติ, พึงทราบอัปปณิหิตมรรคและผลสมาบัติ ด้วยการออกจากทุกขานุปัสสนา, พึงทราบสุญญตมรรคและผลสมาบัติ ด้วยการออกจากอนัตตานุปัสสนา โดยนัยแห่งพระสูตรนั่นแล.
อนึ่ง ในมรรควาร ๔ เหล่านี้ ท่านกล่าวถึงบทอันเป็นมูลเหตุ ๕ มีอาทิว่า อุปฺปาทํ - เกิดขึ้น, บทแห่งไวพจน์ ๑๐ มีอาทิว่า คตึ รวม เป็น ๑๕ บท. ในผลสมาบัติวาร ๖ ท่านกล่าวบทอันเป็นมูลเหตุ ๕ ไว้.
หากถามว่าเพราะเหตุไร จึงกล่าวไว้อย่างนั้น. แก้ว่า เมื่อสังขารุเบกขามีความแก่กล้า เพื่อแสดงถึงความแก่กล้าของสังขารุเบกขานั้น เพราะมีมรรคสามารถในการละกิเลส ท่านจึงกล่าวบทอันเป็นมูลเหตุทำให้มั่นกับบทอันเป็นไวพจน์. เพื่อแสดงว่าสังขารุเบกขาแม้อ่อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 740
ก็เป็นปัจจัยแก่ผล เพราะความที่ผลมีสภาพสงบโดยความที่หมดความอุตสาหะ และเพราะเป็นที่อาศัยของมรรค พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงบทอันเป็นมูลเหตุเท่านั้น.
บัดนี้ พระสารีบุตร ครั้นถามด้วยชาติแล้ว เพื่อจะแก้ด้วยการได้ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กติ สงฺขารุเปกฺขา กุสลา - สังขารุเบกขาเป็นกุศลเท่าไร?
ในบทนั้น บทว่า ปณฺณฺรส สงฺขารุเปกฺขา - สังขารุเบกขาเป็นกุศล มี ๑๕ ได้แก่ ด้วยสมถะ ๘ และด้วยมรรค ๔ ผล ๓ เป็น ๗ รวมเป็น ๑๕. สังขารุเบกขา ๘ ด้วยสามารถสมถะไม่สมควรแก่ธรรมชื่อว่า สังขารุเบกขา เพราะพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณานิวรณ์ และเพราะเว้นความขวนขวายในการละวิตกวิจารเป็นต้น เป็นการละได้โดยง่าย เพราะเหตุนั้นพึงทราบว่าท่านไม่กล่าวความที่สังขารุเบกขาเหล่านั้น เป็นอัพยากฤต. อนึ่ง พระอรหันต์ผู้เข้าผลสมาบัติ ไม่สามารถเข้าสมาบัติเว้นสังขารุเบกขาได้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวสังขารุเบกขา ๓ ว่าเป็นอัพยากฤต. จริงอยู่ ชื่อว่า สังขารุเบกขา ๓ ของพระอรหันต์ย่อมมีด้วยสามารถอัปปณิหิตะ สุญญตะ และอนิมิตตะ.
บัดนี้ พึงทราบความในคาถาทั้งหลาย ๓ ที่ท่านกล่าวแล้วด้วยการพรรณนาถึงสังขารุเบกขา ดังต่อไปนี้.
บทว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺนา ปญฺา - ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉย ได้แก่ สังขารุเบกขา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 741
บทว่า อฏฺ จิตฺตสฺส โคจรา - เป็นโคจรของสมาธิ ๘ ความว่า ท่านกล่าวถึงสังขารุเบกขา ๘ เป็นวิสยะคือภูมิของสมาธิ ด้วยสามารถสมถะ. ท่านอธิบายถึง สมาธิ ด้วยหัวข้อว่า จิต ดุจในประโยคมีอาทิว่า จิตฺตํ ปญฺญฺจ ภาวยํ (๑) - เจริญสมาธิและปัญญา, ท่านอธิบาย วิสยะ ด้วย โคจร ศัพท์ ดุจในประโยคมีอาทิว่า โคจเร ภิกฺขเว จรถ สเก เปตฺติกา วิสเย (๒) - เจริญสมาธิและปัญญา, จงเที่ยวไปในโคจร อันเป็นถิ่นที่อยู่บิดาตน. ท่านกล่าวว่า นี้เป็นโคจรของผู้อาศัย.
บทว่า ปุถุชฺชนสฺส เทวฺ - โคจรภูมิของปุถุชน ๒ คือ ด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า ตโย เสกฺขสฺส - โคจรของพระเสกขะ ๓ ได้แก่ ด้วยสามารถแห่งสมถะ วิปัสสนาและสมาบัติ.
บทว่า ตโย จ วีตราคสฺส - โคจรของผู้ปราศจากราคะ ๓ ได้แก่ ด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติอันเป็นอัปปณิหิตะ สุญญตะ และอนิมิตตะ. ควรกล่าวว่า ติสฺโส ท่านทำเป็นลิงควิปลาสว่า ตโย. หรือพึงประกอบว่า ตโย สงฺขารุเปกฺขา ธมฺมา - ธรรม คือ สังขารุเบกขา ๓ อย่าง.
บทว่า เยหิ จิตฺตํ วิวฏฺฏติ - จิตปราศจากราคะหลีกไป ความว่า จิตหลีกไปจากวิตกวิจารเป็นต้นด้วยธรรม คือ สังขารุเบกขา, หรือจาก
๑. สํ. ส. ๑๕/๑๖.
๒. สํ. มหา. ๑๙/๗๐๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 742
อุปทะเป็นต้น. ท่านอธิบายว่า เพราะแม้ผู้ปราศจากราคะก็ยังมีสังขารุเบกขาจิตหลีกจากสังขารแล่นไปสู่นิพพาน
บทว่า อฏฺ สมาธิสฺส ปุจฺจยา - เป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ๘ คือ ปัจจัย ๘ ท่านกล่าวด้วยสามารถสมถะเป็นปัจจัยแก่อัปปนาสมาธิ เพราะให้ถึงอัปปนา.
บทว่า ทส าณสฺส โคจรา - เป็นโคจรแห่งญาณ ๑๐ คือ เป็นภูมิ ๑๐ แห่งมรรคญาณและผลญาณ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา.
บทว่า ติณฺณํ วิโมกฺขาย ปจฺจยา - เป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์ ๓ คือ เป็นปัจจัยแห่งสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์ ด้วยอุปนิสสยปัจจัย.
บทว่า นานาทิฏฺีสุ น กมฺปติ - ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฏฐิต่างๆ ได้แก่ ไม่สละความดับแล้วพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิมีประการต่างๆ มีสัสสตทิฏฐิเป็นต้น.
จบ อรรถกถาสังขารุเบกขาญาณนิทเทส