อานันตริกสมาธิญาณนิทเทส
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 858
อานันตริกสมาธิญาณนิทเทส
อรรถกถาอานันตริกสมาธิญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 858
อานันตริกสมาธิญาณนิทเทส
[๒๑๑] ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณอย่างไร?
เอกัคตาจิตอันไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ ญาณเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งสมาธินั้น อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไปด้วยญาณนั้น สมถะมีก่อน ญาณมีภายหลัง ด้วยประการดังนี้ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิ อันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ.
[๒๑๒] คำว่า อาสวา ความว่า อาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่านั้น คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ.
อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ แต่ละอย่าง อันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งโสดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 859
ปัตติมรรคนี้ กามาสวะส่วนหยาบ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้นย่อมสิ้นไปด้วยสกทาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งสกทาคามิมรรคนี้ กามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอนาคามิมรรคนี้ ภวาสวะ อวิชชาทั้งสิ้นย่อมสิ้นไปด้วยอรหัตตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคนี้.
[๒๑๓] เอกัคตาจิตอันไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งความไม่พยาบาท ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา ด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งการกำหนดธรรม ด้วยสามารถแห่งญาณ ด้วยสามารถแห่งความปราโมทย์
ด้วยสามารถแห่งปฐมฌาน ด้วยสามารถแห่งทุติยฌาน ด้วยสามารถแห่งตติยฌาน ด้วยสามารถแห่งจตุตถฌาน ด้วยสามารถแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ ด้วยสามารถแห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ด้วยสามารถแห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ ด้วยสามารถแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ.
ด้วยสามารถแห่งปฐวีกสิณ ด้วยสามารถแห่งอาโปกสิณ ด้วยสามารถแห่งเตโชกสิณ ด้วยสามารถแห่งวาโยกสิณ ด้วยสามารถแห่งนีลกสิณ ด้วยสามารถแห่งปีตกสิณ ด้วยสามารถแห่งโลหิตกสิณ ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 860
สามารถแห่งโอทาตกสิณ ด้วยสามารถแห่งอากาสกสิณ ด้วยสามารถแห่งวิญญาณกสิณ
ด้วยสามารถแห่งพุทธานุสติ ด้วยสามารถแห่งธรรมานุสติ ด้วยสามารถแห่งสังฆานุสติ ด้วยสามารถแห่งสีลานุสติ ด้วยสามารถแห่งจาคานุสติ ด้วยสามารถแห่งเทวตานุสติ ด้วยสามารถแห่งอานาปานสติ ด้วยสามารถแห่งมรณสติ ด้วยสามารถแห่งกายคตาสติ ด้วยสามารถแห่งอุปสมานุสติ
ด้วยสามารถแห่งอุทธุมาตกสัญญา ด้วยสามารถแห่งวินีลกสัญญา ด้วยสามารถแห่งวิปุพพกสัญญา ด้วยสามารถแห่งวิฉิททกสัญญา ด้วยสามารถแห่งวิกขายิตกสัญญา ด้วยสามารถแห่งวิกขิตตกสัญญา ด้วยด้วยสามารถแห่งหตวิกขิตตกสัญญา ด้วยสามารถแห่งโลหิตกสัญญา ด้วยสามารถแห่งปุฬุวกสัญญา ด้วยสามารถแห่วอัฏฐิกสัญญา
ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว
ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกยาว
ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าสั้น
ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกสั้น
ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความระงับกายสังขารหายใจเข้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 861
ด้วยสามารถแห่งความระงับกายสังขารหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งปีติหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งสุขหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งสุขหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความระงับจิตสังขารหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความระงับจิตตสังขารหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งจิตหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความรู้แจ้งจิตหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความทำจิตให้บันเทิงหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความตั้งจิตไว้หายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความตั้งจิตไว้หายใจออก
ด้วยสามารถแห่งความเปลื้องจิตหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งความเปลื้องจิตหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 862
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความดับหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความดับหายใจออก
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก
เป็นสมาธิแต่ละอย่างๆ ญาณย่อมเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งสมาธินั้น อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไปด้วยญาณนั้น สมถะมีก่อน ญาณมีภายหลัง ด้วยประการดังนี้ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาดเพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ.
[๒๑๔] คำว่า อาสวา ความว่า อาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่านั้น คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ.
อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคนี้.
กามาสวะส่วนหยาบ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยสกทาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งสกทาคามิมรรคนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 863
กามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอนาคามิมรรคนี้.
ภวาสวะ อวิชชาสวะ ย่อมในรูปไม่มีส่วนเหลือด้วยอรหัตตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคนี้.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ.
อรรถกถาอานันตริกสมาธิญาณนิทเทส
๒๑๑ - ๒๑๔] พึงทราบวินิจฉัยในอานันตริกสมาธิญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้.
ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมวเสน - ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะมีอธิบายดังต่อไปนี้ ธรรมทั้งหลาย คือ เนกขัมมะ อัพยาบาท อาโลกสัญญา การกำหนดธรรมที่ไม่ฟุ้งซ่าน ญาณและปราโมทย์ประกอบด้วยอุปจารฌาน ของพระสุกขวิปัสสก เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสนั้นๆ สัมปยุตด้วยจิตดวงเดียวเท่านั้น.
บทว่า จิตฺตสฺส เอกคฺคตา อวิกฺเขโป - เอกัคตาจิตอันไม่ฟุ้งซ่าน คือ ความเป็นจิตเลิศดวงเดียว ชื่อว่า เอกัคตา. ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 864
อวิกเขปะ เพราะจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ด้วยเอกัคตานั้น. อธิบายว่า ความไม่ฟุ้งซ่าน กล่าวคือ ความที่จิตเป็นเอกัคตา.
บทว่า สมาธิ ความว่า ชื่อว่าสมาธิ เพราะจิตตั้งอยู่เสมอในอารมณ์เดียว.
บทว่า ตสฺส สมาธิสฺส วเสน - ด้วยอำนาจแห่งสมาธินั้น คือ ด้วยอำนาจแห่งสมาธิมีประการดังกล่าวแล้ว เพราะรู้ตามความเป็นจริงแห่งจิตตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ.
บทว่า อุปฺปชฺชติ าณํ - ญาณย่อมเกิดขึ้น คือ มรรคญาณย่อมเกิดขึ้นตามลำดับ.
บทว่า ขียนฺติ - ย่อมสิ้นไป ด้วยสามารถการตัดขาด.
บทว่า อิติ เป็นบทสรุปอรรถมีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า ปมํ สมโถ - สมถะมีก่อน คือ สมาธิย่อมมีในส่วนเบื้องต้น.
บทว่า ปจฺฉา ฌาณํ - ญาณมีภายหลัง คือ ญาณย่อมมีในขณะมรรค ในส่วนหลัง.
บทว่า กามาสโว - กามาสวะ คือ ราคะประกอบด้วยกามคุณ.
บทว่า ภวาสโว - ภวาสวะ คือ ฉันทราคะในรูปภพ อรูปภพ ความใคร่ในฌาน ราคะเกิดร่วมกับสัสสตทิฏฐิ ความปรารถนาด้วยสามารถแห่งภพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 865
บทว่า ทิฏฺาสโว - ทิฏฐาสวะ คือ ทิฏฐิ ๖๒.
บทว่า อวิชฺชาสโว - อวิชฺชาสวะ คือ ความไม่รู้ในฐานะ ๘ มีทุกข์เป็นต้น. ท่านทำคำถามตามโอกาสด้วยสัตตมีวิภัตติ แล้วแสดงความสิ้นอาสวะด้วยมรรค ทำความสิ้นอาสวะด้วยบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติมคฺเตน - ด้วยโสดาปัตติมรรค แล้วจึงทำคำตอบตามโอกาสด้วย
บทว่า เอตฺถ. ท่านอธิบายว่า ในขณะแห่งมรรค.
บทว่า อนวเสโส - ไม่มีส่วนเหลือ คือ อาสวะไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่า อนวเสสะ.
บทว่า อปายคมนีโย - อันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย ได้แก่ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัยและอสุรกายทั้ง ๔ นี้ ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากความเจริญ คือความสุข.
ชื่อว่า อปายคมนีโย เพราะอรรถว่ายังบุคคลที่มีอาสวะให้ไปสู่อบาย. ท่านกล่าวอาสวักขยกถาไว้แล้วในทุภโตวุฏฐานกถา.
บทว่า อวิกฺเขปวเสน - ด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน คือ ด้วยสามารถแห่งสมาธิเป็นอุปนิสัยแห่งสมาธิอันเป็นไปอยู่.
ในบทว่า ปฐวีกสิณวเสน - ด้วยสามารถแห่งปฐวีกสิณ เป็นอาทิมีความดังต่อไปนี้ ท่านกล่าวถึงกสิณ ๑๐ ด้วยสามารถแห่งอัปปนาสมาธิอันมีกสิณเป็นอารมณ์. ท่านกล่าวพุทธานุสติเป็นต้น มรณสติ และอุปสมานุสติ ด้วยสามารถแห่งอุปจารฌาน. ท่านกล่าวอานาปาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 866
สติ และกายคตาสติ ด้วยสามารถแห่งอัปปนาสมาธิ. ท่านกล่าวอสุภะ ๑๐ ด้วยสามารถแห่งปฐมฌาน.
การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทธานุสติ. พุทธานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา อรหํ. (๑) ด้วยสามารถแห่งพุทธานุสตินั้น.
อนึ่ง การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระธรรม ชื่อว่า ธรรมานุสติ. ธรรมนานุสตินี้ เป็นชื่อของสติมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม (๑) . การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระสงฆ์ ชื่อว่า สังฆานุสติ. สังฆานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ (๑) .
การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภศีล ชื่อว่า สีลานุสติ. สีลานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณของศีล คือ ความที่ศีลไม่ขาดเป็นต้นเป็นอารมณ์.
การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภจาคะ ชื่อว่า จาคานุสติ. จาคานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณของการบริจาค คือ ความเป็นผู้เสียสละเป็นต้น เป็นอารมณ์.
การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า เทวตานุสติ. เทวตานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณคือศรัทธาเป็นต้นของตนเป็นอารมณ์
๑. ม. มู. ๑๒/๙๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 867
ตั้งเทวดาไว้ในที่เผชิญหน้า.
สติเกิดขึ้นปรารภอานาปานะ - หายใจเข้าหายใจออก ชื่อว่า อานาปานสติ. อานาปานสตินี้เป็นชื่อของสติมีอานาปานนิมิตเป็นอารมณ์.
สติเกิดขึ้นปรารภความตาย ชื่อว่า มรณสติ. มรณสตินี้เป็นชื่อของสติมีมรณะ กล่าวคือ การตัดชีวิตินทรีย์อันนับเนื่องในภพหนึ่งเป็นอารมณ์.
สติเป็นไปในสรีระที่เรียกว่า กาย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งปฏิกูลทั้งหลายมีผมเป็นต้นอันน่าเกลียด. หรือไปสู่กายเช่นนั้น ชื่อว่า กายคตาสติ. เมื่อควรจะกล่าวว่า กายคตาสติ ท่านไม่ทำเป็นรัสสะ กล่าวว่า กายคตสติ. แม้ในที่นี้ก็เหมือนกัน ท่านกล่าวว่า กายคตาสติวเสน กายคตาสตินี้เป็นชื่อของสติมีปฏิกูลนิมิต ในส่วนของกายมีผมเป็นต้น เป็นอารมณ์.
การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภอุปสมะ - ความสงบ ชื่อว่า อุปสมานุสติ. อุปสมานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีการสงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์.
อสุภะ ๑๐ มีอรรถได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
เพื่อแสดงถึงประเภทของอัปปนาสมาธิและอุปจารสมาธิ ท่านจึงกล่าว ทีฆํ อสฺสาสวเสน ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว คือ ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้า ที่ท่านกล่าวแล้วว่า ทีฆํ - ยาว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 868
ดังที่ท่านกล่าวว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ- เมื่อหายใจเข้ายาวย่อมรู้ว่า เราหายใจเข้ายาว. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้.
บทว่า ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ - การระงับกายสังขาร คือ ระงับ คือ สงบกายสังขาร อันได้แก่การหายใจเข้าและการหายใจออกอย่างหยาบ. ท่านกล่าวอัปปนาสมาธิ ด้วยหมวด ๔ นี้ คือ ทีฆํ - ยาว ๑ รสฺสํ - สั้น ๑ รู้แจ้งกายทั้งปวง ๑ ระงับกายสังขาร ๑.
บทว่า ปีติปฏิสํเวที - รู้แจ้งปีติ คือ ทำปีติให้ปรากฏ.
บทว่า จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที - รู้เจ้าจิตตสังขาร คือ ทำจิตตสังขาร อันได้แก่ สัญญา เวทนา ให้ปรากฏ.
บทว่า อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ - ทำจิตให้บันเทิง.
บทว่า สมาทหํ จิตฺตํ - ความตั้งจิตไว้ คือ ตั้งจิตไว้เสมอในอารมณ์.
บทว่า วิโมจยํ จิตฺตํ - ความเปลื้องจิต คือ เปลื้องจิตจากนิวรณ์เป็นต้น.
ท่านกล่าวหมวด ๔ คือ ปีติปฏิสํเวที - รู้แจ้งปีติ ๑ สุขปฏิสํเวที - รู้แจ้งสุข ๑ จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที - รู้แจ้งจิตตสังขาร ๑ ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ระงับจิตสังขาร ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 869
และหมวด ๔ คือ จิตฺตปฏิสํเวที - รู้แจ้งจิต ๑ อภิปฺปุโมทยํ จิตฺตํ - ทำจิตให้บันเทิง ๑ สมาทหํ จิตฺตํ - ความตั้งจิตไว้ ๑ วิโมจยํ จิตฺตํ - ความเปลื้องจิต ๑ ด้วยอัปปนาสมาธิ และด้วยสมาธิสัมปยุตด้วยวิปัสสนา.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง คือ ท่านกล่าวด้วยสามารถการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง.
บทว่า วิราคานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด คือ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย.
บทว่า นิโรธานุปสิสี - การพิจารณาเห็นความดับ คือ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการทำลาย.
บทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความสละคืน ท่านกล่าวด้วยสามารถวุฏฐานคามินีวิปัสสนา - เห็นแจ้งการออกไป.
จริงอยู่ การพิจารณาเห็นความสละคืนนั้น ย่อมสละกิเลสกับด้วยขันธาภิสังขาร ด้วยสามารถตทังคะ อนึ่ง ย่อมแล่นไปเพราะน้อมจิตไปในนิพพาน อันตรงกันข้ามกับกิเลสนั้น ด้วยเห็นโทษในสังขตธรรม. ท่านกล่าวหมวด ๔ นี้ ด้วยสามารถแห่งสมาธิอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนา.
อนึ่ง ในบทนี้ว่า อสฺสาสวเสน ปสฺสาสวเสน - ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งการหายใจออก ท่านกล่าวถือเอา