พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. อินทริยกถา ว่าด้วยอินทรีย์ ๕

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 พ.ย. 2564
หมายเลข  40953
อ่าน  808

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 230

มหาวรรค

๔. อินทริยกถา

ว่าด้วยอินทรีย์ ๕

สาวัตถีนิทาน หน้า 234

สาวัตถีนิทาน ว่าด้วยประเภทของอินทรีย์ ๕ หน้า 245

อรรถกถาอินทริยกถา

อรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ หน้า 277

อรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ หน้า 293

- อรรถกถาอัสสาทนิเทศ หน้า 296

- อรรถกถาอาทีนวนิเทศ หน้า 297

- อรรถกถานิสสรณนิเทศ หน้า 297

อรรถกถาตติยสุตตันตนิเทศ หน้า 300

- อรรถกถาปเภทคณนนิเทศ หน้า 300

- อรรถกถาจริยาวาร หน้า 303

- อรรถกถาจารวิหารนิเทศ หน้า 303

อรรถกถาจตุตถสุตตันตนิเทศ หน้า 309

- อรรถกถาอาธิปเตยยัตถนิเทศ หน้า 310

- อรรถกถาอาทิวิโสธนัตถนิเทศ หน้า 310

- อรรถกถาอธิมัตตัตถนิเทศ หน้า 311

- อรรถกถาอธิฏฐานัตถนิเทศ หน้า 313

- อรรถกถาปริยาทานัตถปติฏฐาปกัตถนิเทศ หน้า 314

อรรถกถาอินทริยสโมธาน หน้า 315


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 230

มหาวรรค

อินทริยกถา

ว่าด้วยอินทรีย์ ๕

[๔๒๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือสัทธินทรีย์ ๑ วิริยินทรีย์ ๑ สตินทรีย์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑ ปัญญินทรีย์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 231

[๔๒๔] อินทรีย์ ๕ ประการนี้ย่อมหมดจดด้วยอาการเท่าไร.

อินทรีย์ ๕ ประการนี้ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๑๕ เมื่อบุคคลงดเว้นพวกบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา สมาคม คบหา นั่งใกล้พวกบุคคลผู้มีศรัทธา (และ) พิจารณาพระสูตรอันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใส สัทธินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้ เมื่อบุคคลงดเว้นพวกบุคคลผู้เกียจคร้าน สมาคม คบหา นั่งใกล้พวกบุคคลผู้ปรารภความเพียร (และ) พิจารณาสัมมัปปธาน วิริยินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้ เมื่อบุคคลงดเว้นพวกบุคคลผู้มีสติหลงลืม สมาคม คบหา นั่งใกล้พวกบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น (และ) พิจารณาสติปัฏฐาน สตินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้ เมื่อบุคคลงดเว้นพวกบุคคลผู้มีใจไม่มั่นคง สมาคม คบหา นั่งใกล้พวกบุคคลมีใจมั่นคง (และ) พิจารณาฌานและวิโมกข์ สมาธินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านั้น เมื่อบุคคลงดเว้นพวกบุคคลทรามปัญญา สมาคม คบหา นั่งใกล้พวกบุคคลผู้มีปัญญา (และ) พิจารณาญาณจริยาอันลึกซึ้ง ปัญญินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้ เมื่อบุคคลงดเว้นบุคคล ๕ จำพวก สมาคม คบหา นั่งใกล้บุคคล ๕ จำพวก (และ) พิจารณาจำนวนพระสูตร ๕ ประการดังกล่าวมานี้ อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๑๕ เหล่านี้.

[๔๒๕] บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร การเจริญอินทรีย์ ๕ ย่อมมีด้วยอาการเท่าไร.

บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๑๐ การเจริญอินทรีย์ ๕ ย่อมมีด้วยอาการ ๑๐ บุคคลเมื่อละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า เจริญสัทธินทรีย์ เมื่อเจริญสัทธินทรีย์ ชื่อว่า ละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา เมื่อละความเป็นผู้เกียจคร้าน ชื่อว่า เจริญวิริยินทรีย์ เมื่อเจริญวิริยินทรีย์ ชื่อว่า ละความเป็นผู้เกียจคร้าน

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 232

เมื่อละความประมาท ชื่อว่า เจริญสตินทรีย์ เมื่อเจริญสตินทรีย์ ชื่อว่า ละความประมาท เมื่อละอุทธัจจะ ชื่อว่า เจริญสมาธินทรีย์ เมื่อเจริญสมาธินทรีย์ ชื่อว่า ละอุทธัจจะ เมื่อละอวิชชา ชื่อว่า เจริญปัญญินทรีย์ เมื่อเจริญปัญญินทรีย์ ชื่อว่า ละอวิชชา บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๑๐ เหล่านั้น การเจริญอินทรีย์ ๕ ย่อมมีด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้.

[๔๒๖] อินทรีย์ ๕ เป็นอินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้วด้วยอาการเท่าไร.

อินทรีย์ ๕ เป็นอินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้วอบรมแล้วด้วยอาการ ๑๐ คือสัทธินทรีย์เป็นคุณชาติอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว เพราะเป็นผู้ละแล้ว ละดีแล้วซึ่งอสัทธินทรีย์ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นโทษชาติอันบุคคลละแล้ว ละดีแล้ว เพราะความเป็นผู้เจริญแล้ว อบรมแล้วซึ่งสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์เป็นคุณชาติอันเจริญแล้ว อบรมแล้ว เพราะความเป็นผู้ละแล้ว ละดีแล้ว ซึ่งความเกียจคร้าน ความเป็นผู้เกียจคร้านเป็นโทษชาติอันบุคคลละแล้ว ละดีแล้ว เพราะความเป็นผู้เจริญแล้ว อบรมแล้วซึ่งวิริยินทรีย์ สตินทรีย์เป็นคุณชาติอันเจริญแล้ว อบรมแล้ว เพราะความเป็นผู้ละแล้ว ละดีแล้ว ซึ่งความประมาท ความประมาทเป็นโทษชาติอันบุคคลละแล้ว ละดีแล้ว เพราะความเป็นผู้เจริญแล้ว อบรมแล้วซึ่งสตินทรีย์ สมาธินทรีย์เป็นคุณชาติอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว เพราะความเป็นผู้ละแล้ว ละดีแล้วซึ่งอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นโทษชาติอันบุคคลละแล้ว ละดีแล้ว เพราะความเป็นผู้เจริญแล้ว อบรมแล้วซึ่งสมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์เป็นคุณชาติอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว เพราะความเป็นผู้ละแล้ว ละดีแล้วซึ่งอวิชชา อวิชชาเป็นโทษชาติอันบุคคลละแล้ว ละดีแล้ว เพราะความเป็นผู้เจริญแล้ว อบรมแล้วซึ่งปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ เป็นอินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้วด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้.

[๔๒๗] บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วด้วยอาการเท่าไร.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 233

บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔ อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วด้วยอาการ ๔ บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ในขณะโสดาปัตติมรรค อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วในขณะโสดาปัตติผล บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ในขณะสกทาคามิมรรค อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วในขณะสกทาคามิผล บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ในขณะอนาคามิมรรค อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วในขณะอนาคามิผล บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ในขณะอรหัตมรรค อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วในขณะอรหัตผล.

มรรควิสุทธิ ๔ ผลวิสุทธิ ๔ สมุจเฉทวิสุทธิ ๔ ปฏิปัสสัทธิวิสุทธิ ๔ ด้วยประการดังนี้ บุคคลย่อมเจริญอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔ เหล่านี้ อินทรีย์ ๕ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว ระงับแล้ว และระงับดีแล้วด้วยอาการ ๔ เหล่านี้.

[๔๒๘] บุคคลเท่าไรเจริญอินทรีย์ บุคคลเท่าไรเจริญอินทรีย์แล้ว บุคคล ๘ เจริญอินทรีย์ บุคคล ๓ เจริญอินทรีย์แล้ว.

บุคคล ๘ เหล่าไหนเจริญอินทรีย์ พระเสขบุคคล ๗ กัลยาณปุถุชน ๑ บุคคล ๘ เหล่านี้เจริญอินทรีย์.

บุคคล ๓ เหล่าไหนเจริญอินทรีย์แล้ว พระขีณาสพสาวกพระตถาคต ชื่อว่า พุทโธ ด้วยสามารถความเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว ชื่อว่า เจริญอินทรีย์แล้ว พระปัจเจกพุทธะ ชื่อว่า พุทโธ ด้วยอรรถว่าตรัสรู้เอง ชื่อว่า เจริญอินทรีย์แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทโธ ด้วยอรรถว่า มีพระคุณ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 234

ประมาณไม่ได้ ชื่อว่า เจริญอินทรีย์แล้ว บุคคล ๓ เหล่านี้เจริญอินทรีย์แล้ว บุคคล ๘ เหล่านี้เจริญอินทรีย์ บุคคล ๓ เหล่านี้เจริญอินทรีย์แล้ว ด้วยประการดังนี้.

สาวัตถีนิทาน

[๔๒๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน คือสัทธินทรีย์ ฯ ปัญญินทรีย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษและอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๕ เหล่านั้นตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น หาได้รับยกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะหรือได้รับยกย่องว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ไม่ และท่านเหล่านั้นหาได้ทำให้แจ้งซึ่งสามัญผลหรือพรหมัญผล ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ไม่.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษและอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๕ เหล่านี้ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแล เป็นผู้ได้รับยกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ ได้รับยกย่องว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นย่อมทำให้แจ้งซึ่งสามัญผลและพรหมัญผล ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.

[๔๓๐] อินทรีย์ ๕ มีเหตุเกิดด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมรู้เหตุเกิดแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร อินทรีย์ ๕ ย่อมดับไปด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมรู้ความดับแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร อินทรีย์ ๕ มีคุณด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมรู้คุณแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร อินทรีย์ ๕ มีโทษด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมรู้โทษแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 235

อินทรีย์ ๕ มีอุบายเป็นเครื่องสลัดออกด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร.

อินทรีย์ ๕ มีเหตุเกิดด้วยอาการ ๔๐ บุคคลย่อมรู้เหตุเกิดแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ อินทรีย์ ๕ ย่อมดับไปด้วยอาการ ๔๐ บุคคลย่อมรู้ความดับแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ อินทรีย์ ๕ มีคุณด้วยอาการ ๒๕ บุคคลย่อมรู้คุณแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ อินทรีย์ ๕ มีโทษด้วยอาการ ๒๕ บุคคลย่อมรู้โทษแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ อินทรีย์ ๕ มีอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปด้วยอาการ ๑๘๐ บุคคลย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๑๘๐.

[๔๓๑] อินทรีย์ ๕ มีเหตุเกิดด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน บุคคลย่อมรู้เหตุเกิดแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน.

ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสัทธินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์.

ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความประคองไว้เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความประคองไว้เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความประคองไว้เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์.

ความเกิดแห่งความคํานึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความปรากฏ (* แห่งสภาพธรรมตามความเป็นจริง) เป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความปรากฏเป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความเกิดแห่ง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 236

มนสิการด้วยสามารถความปรากฏเป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์เป็นเหตุแห่งสตินทรีย์.

ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสมาธินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์.

ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์.

ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความประคองไว้เป็นเหตุแห่งวิริยินทรีย์ ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความปรากฏเป็นเหตุเกิดแห่งสตินนทรีย์ ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความเกิดแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์.

ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความประคองไว้เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความปรากฏเป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความเกิดแห่งฉันทะด้วยสามารถความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์.

ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 237

ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความประคองไว้เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความปรากฏเป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่านเป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความเกิดแห่งมนสิการด้วยสามารถความเห็นเป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์.

ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสัทธินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถวิริยินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งวิริยินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสตินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งสตินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสมาธินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งสมาธินทรีย์ ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถปัญญินทรีย์เป็นเหตุเกิดแห่งปัญญินทรีย์.

อินทรีย์ ๕ มีเหตุเกิดด้วยอาการ ๔๐ เหล่านี้ บุคคลย่อมรู้เหตุเกิดแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ เหล่านี้.

[๔๓๒] อินทรีย์ ๕ ย่อมดับไปด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน บุคคลย่อมรู้ความดับแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน.

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่การน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์เป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์.

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 238

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความปรากฏเป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความปรากฏเป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความปรากฏเป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสตินทรีย์เป็นความดับแห่งสตินทรีย์.

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถสมาธินทรีย์เป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์.

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์เป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์.

ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความปรากฏเป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความดับแห่งความคำนึงถึงเพื่อประโยชน์แก่ความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์.

ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความปรากฏ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 239

เป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความดับแห่งฉันทะด้วยสามารถแห่งความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์.

ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความน้อมใจเชื่อเป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความประคองไว้เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความปรากฏเป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่านเป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความดับแห่งมนสิการด้วยสามารถแห่งความเห็นเป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์.

ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์เป็นความดับแห่งสัทธินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์เป็นความดับแห่งวิริยินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์เป็นความดับแห่งสตินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์เป็นความดับแห่งสมาธินทรีย์ ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียวด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์เป็นความดับแห่งปัญญินทรีย์.

อินทรีย์ ๕ ย่อมดับไปด้วยอาการ ๔๐ เหล่านี้ บุคคลย่อมรู้ความดับแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๔๐ เหล่านี้.

[๔๓๓] อินทรีย์ ๕ มีคุณด้วยอาการ ๒๕ เป็นไฉน บุคคลย่อมรู้คุณแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ เป็นไฉน.

ความไม่ปรากฏแห่งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์ ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์ ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความน้อมใจเชื่อเป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์ ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรมเป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์ ความสุขความโสมนัสอันอาศัยสัทธินทรีย์เกิดขึ้นเป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 240

ความไม่ปรากฏแห่งความเป็นผู้เกียจคร้านเป็นคุณแห่งวิริยินทรีย์ ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้เกียจคร้านเป็นคุณแห่งวิริยินทรีย์ ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความประคองไว้เป็นคุณแห่งวิริยินทรีย์ ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรมเป็นคุณแห่งวิริยินทรีย์ ความสุขความโสมนัสอันอาศัยวิริยินทรีย์เกิดขึ้นเป็นคุณแห่งวิริยินทรีย์.

ความไม่ปรากฏแห่งความประมาทเป็นคุณแห่งสตินทรีย์ ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะความประมาทเป็นคุณแห่งสตินทรีย์ ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความปรากฏเป็นคุณแห่งสตินทรีย์ ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรมเป็นคุณแห่งสตินทรีย์ ความสุขความโสมนัสอันอาศัยสตินทรีย์เกิดขึ้นเป็นคุณแห่งสตินทรีย์.

ความไม่ปรากฏแห่งอุทธัจจะเป็นคุณเเห่งสมาธินทรีย์ ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะอุทธัจจะเป็นคุณแห่งสมาธินทรีย์ ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความไม่ฟุ้งซ่านเป็นคุณแห่งสมาธินทรีย์ ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรมเป็นคุณแห่งสมาธินทรีย์ ความสุขความโสมนัสอันอาศัยสมาธินทรีย์เกิดขึ้นเป็นคุณแห่งสมาธินทรีย์.

ความไม่ปรากฏแห่งอวิชชาเป็นคุณแห่งปัญญินทรีย์ ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะอวิชชาเป็นคุณแห่งปัญญินทรีย์ ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความเห็นเป็นคุณแห่งปัญญินทรีย์ ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรมเป็นคุณแห่งปัญญินทรีย์ ความสุขความโสมนัสอันอาศัยปัญญินทรีย์เกิดขึ้นเป็นคุณแห่งปัญญินทรีย์.

อินทรีย์ ๕ มีคุณด้วยอาการ ๒๕ เหล่านี้ บุคคลย่อมรู้คุณแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ เหล่านี้.

[๔๓๔] อินทรีย์ ๕ มีโทษด้วยอาการ ๒๕ เป็นไฉน บุคคลย่อมรู้โทษแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ เป็นไฉน.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 241

ความปรากฏแห่งอสัทธินทรีย์เป็นโทษแห่งสัทธินทรีย์ ความปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะอสัทธินทรีย์เป็นโทษแห่งสัทธินทรีย์ สัทธินทรีย์มีโทษเพราะความไม่เที่ยง ฯ เป็นทุกข์ ฯ เป็นอนัตตา.

ความปรากฏแห่งความเป็นผู้เกียจคร้านเป็นโทษแห่งวิริยินทรีย์ ความปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้เกียจคร้านเป็นโทษแห่งวิริยินทรีย์ วิริยินทรีย์มีโทษเพราะความไม่เที่ยง ฯ เป็นทุกข์ ฯ เป็นอนัตตา.

ความปรากฏแห่งความประมาทเป็นโทษแห่งสตินทรีย์ ความปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะควานประมาทเป็นโทษแห่งสตินทรีย์ สตินทรีย์มีโทษเพราะความไม่เที่ยง ฯ เป็นทุกข์ ฯ เป็นอนัตตา.

ความปรากฏแห่งอุทธัจจะเป็นโทษแห่งสมาธินทรีย์ ความปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะอุทธัจจะเป็นโทษแห่งสมาธินทรีย์ สมาธินทรีย์มีโทษเพราะความไม่เที่ยง ฯ เป็นทุกข์ ฯ เป็นอนัตตา.

ความปรากฏแห่งอวิชชาเป็นโทษแห่งปัญญินทรีย์ ความปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะอวิชชาเป็นโทษแห่งปัญญินทรีย์ ปัญญินทรีย์มีโทษเพราะความไม่เที่ยง ฯ เป็นทุกข์ ฯ เป็นอนัตตา.

อินทรีย์ ๕ มีโทษด้วยอาการ ๒๕ เหล่านี้ บุคคลย่อมรู้โทษแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๕ เหล่านี้.

[๔๓๕] อินทรีย์ ๕ มีอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปด้วยอาการ ๑๘๐ เป็นไฉน บุคคลย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๑๘๐ เป็นไฉน.

สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ความน้อมใจเชื่อ สลัดออกไปจากความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ จากความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ จากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ จากขันธ์ ๑ จากสรรพนิมิตภายนอก ๑ จากสัทธินทรีย์ซึ่งมีอยู่ก่อนแต่การได้สัทธินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น ๑.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 242

วิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่าประคองไว้ สลัดออกไปจากความเป็นผู้เกียจคร้าน ๑ จากความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้เกียจคร้าน ๑ จากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามความเป็นผู้เกียจคร้าน ๑ จากขันธ์ ๑ จากสรรพนิมิตภายนอก ๑ จากวิริยินทรีย์ซึ่งมีอยู่ก่อนแต่การได้วิริยินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น ๑.

สตินทรีย์ด้วยอรรถว่าตั้งมั่น สลัดออกไปจากความประมาท ๑ จากความเร่าร้อนเพราะความประมาท ๑ จากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามความประมาท ๑ จากขันธ์ ๑ จากสรรพนิมิตภายนอก ๑ จากสตินทรีย์ซึ่งมีอยู่ก่อนแต่การได้สตินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น ๑.

สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน สลัดออกไปจากอุทธัจจะ ๑ จากความเร่าร้อนเพราะอุทธัจจะ ๑ จากขันธ์ ๑ จากสรรพนิมิตภายนอก ๑ จากสมาธินทรีย์ชึ่งมีอยู่ก่อนแต่การได้สมาธินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น ๑.

ปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่าเห็น สลัดออกไปจากอวิชชา ๑ จากความเร่าร้อนเพราะอวิชชา ๑ จากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามอวิชชา ๑ จากขันธ์ ๑ จากสรรพนิมิตภายนอก ๑ จากปัญญินทรีย์ซึ่งมีอยู่ก่อนแต่การได้ปัญญินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น ๑.

อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถปฐมฌาน สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในส่วนเบื้องต้น อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถทุติยฌาน สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในปฐมฌาน อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถตติยฌาน สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในทุติยฌาน อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถจตุตถฌาน สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในตติยฌาน อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในจตุตถฌาน อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอากาสานัญจายตนสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในวิญญาณัญจายตนสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 243

อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอนิจานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งทุกขานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอนิจจานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอนัตตานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในทุกขานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งนิพพิทานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอนัตตานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งวิราคานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในนิพพิทานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งนิโรธานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในวิราคานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งปฏินิสสัคคานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในนิโรธานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งขยานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในปฎินิสสัคคานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งวยานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในขยานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งวิปริณามานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในวยานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอนิมิตตานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในวิปริณามานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอนิมิตานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งสุญญตานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอัปปณิหิตานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในสุญญตานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งยถาภูตญาณทัสนะ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอาทีนวานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในยถาภูตญาณทัสนะ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งปฏิสังขานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอาทีนวานุปัสสนา อินทรีย์ ๕

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 244

ด้วยสามารถแห่งวิวัฏฏนานุปัสสนา สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในปฏิสังขานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งโสดาปัตติมรรค สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในวิวัฏฏนานุปัสสนา อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งโสดาปัตติผลสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในโสดาปัตติมรรค อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งสกทาคามิมรรค สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในโสดาปัตติผลสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งสกทาคามิผลสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในสกทาคามิมรรค อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอนาคามิมรรค สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในสกทาคามิผลสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอนาคามิผลสมาบัติ สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอนาคามิมรรค อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอรหัตมรรค สลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอนาคามิผลสมาบัติ อินทรีย์ ๕ ด้วยสามารถแห่งอรหัตผลสมาบัติสลัดออกไปจากอินทรีย์ ๕ ในอรหัตมรรค.

อินทรีย์ ๕ ในเนกขัมมะ สลัดออกไปจากกามฉันทะ อินทรีย์ ๕ ในอัพยาบาท สลัดออกไปจากพยาบาท อินทรีย์ ๕ ในอาโลกสัญญา สลัดออกไปจากถีนมิทธะ อินทรีย์ ๕ ในความไม่ฟุ้งซ่าน สลัดออกไปจากอุทธัจจะ อินทรีย์ ๕ ในธรรมววัตถาน สลัดออกไปจากวิจิกิจฉา อินทรีย์ ๕ ในญาณ สลัดออกไปจากอวิชชา อินทรีย์ ๕ ในความปราโมทย์ สลัดออกจากอรติ อินทรีย์ ๕ ในปฐมฌาน สลัดออกไปจากนิวรณ์ อินทรีย์ ๕ ในทุติยฌาน สลัดออกไปจากวิตกวิจาร อินทรีย์ ๕ ในตติยฌาน สลัดออกไปจากปีติ อินทรีย์ ๕ ในจตุตถฌาน สลัดออกไปจากสุขและทุกข์ อินทรีย์ ๕ ในอากาสานัญจายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา อินทรีย์ ๕ ในวิญญาณัญจายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอากาสานัญจายตนสัญญา อินทรีย์ ๕ ในอากิญจัญญายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากวิญญาณัญจายตนสัญญา อินทรีย์ ๕ ในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ สลัดออกไปจากอากิญจัญญายตนสัญญา

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 245

อินทรีย์ ๕ ในอนิจจานุปัสสนา สลัดออกไปจากนิจจสัญญา อินทรีย์ ๕ ในทุกขานุปัสสนา สลัดออกไปจากสุขสัญญา อินทรีย์ ๕ ในอนัตตานุปัสสนา สลัดออกไปจากอัตตสัญญา อินทรีย์ ๕ ในนิพพิทานุปัสสนา สลัดออกไปจากความเพลิดเพลิน อินทรีย์ ๕ ในวิราคานุปัสสนา สลัดออกไปจากราคะ อินทรีย์ ๕ ในนิโรธานุปัสสนา สลัดออกไปจากสมุทัย อินทรีย์ ๕ ในปฏินิสสัคคานุปัสสนา สลัดออกไปจากความยึดมั่น อินทรีย์ ๕ ในขยานุปัสสนา สลัดออกไปจากฆนสัญญา อินทรีย์ ๕ ในวยานุปัสสนา สลัดออกไปจากการประมวลมา อินทรีย์ ๕ ในวิปริณามานุปัสสนา สลัดออกไปจากธุวสัญญา อินทรีย์ ๕ ในอนิมิตตานุปัสสนา สลัดออกไปจากนิมิต อินทรีย์ ๕ ในอัปปณิหิตานุปัสสนา สลัดออกไปจากปณิธิ อินทรีย์ ๕ ในสุญญตานุปัสสนา สลัดออกไปจากความถือมั่น อินทรีย์ ๕ ในอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา สลัดออกไปจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นแก่นสาร อินทรีย์ ๕ ในยถาภูตญาณทัสนะ สลัดออกไปจากความถือมั่นเพราะความหลง อินทรีย์ ๕ ในอาทีนวานุปัสสนา สลัดออกไปจากความถือมั่นด้วยความอาลัย อินทรีย์ ๕ ในปฏิสังขานุปัสสนา สลัดออกไปจากการไม่พิจารณาหาทาง อินทรีย์ ๕ ในวิวัฏฏนานุปัสสนา สลัดออกไปจากความถือมั่นเพราะกิเลสเครื่องประกอบ อินทรีย์ ๕ ในโสดาปัตติมรรค สลัดออกไปจากกิเลสอันตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับทิฏฐิ อินทรีย์ ๕ ในสกทาคามิมรรค สลัดออกไปจากกิเลสส่วนหยาบๆ อินทรีย์ ๕ ในอนาคามิมรรค สลัดออกไปจากกิเลสส่วนละเอียด อินทรีย์ ๕ ในอรหัตมรรค สลัดออกไปจากกิเลสทั้งปวง อินทรีย์ ๕ ในธรรมนั้นๆ เป็นคุณชาติอันพระขีณาสพทั้งปวงเทียวสลัดออกแล้ว สลัดออกดีแล้ว ระงับแล้วและระงับดีแล้ว อินทรีย์ ๕ มีอุบายเป็นเครื่องสลัดออกด้วยอาการ ๑๘๐ เหล่านี้ บุคคลย่อมรู้อุบายเครื่องสลัดออกแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๑๘๐ เหล่านี้.

จบภาณวาร

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 246

สาวัตถีนิทาน

ว่าด้วยประเภทของอินทรีย์ ๕

[๔๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน คือสัทธินทรีย์ ๑ วิริยินทรีย์ ๑ สตินทรีย์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑ ปัญญินทรีย์ ๑.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จะพึงเห็นสัทธินทรีย์ในที่ไหน พึงเห็นในโสดาปัตติยังคะ (ธรรมอันเป็นองค์แห่งการบรรลุกระแสนิพพาน) ๔.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จะพึงเห็นวิริยินทรีย์ในที่ไหน พึงเห็นในสัมมัปปธาน ๔.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จะพึงเห็นสตินทรีย์ในที่ไหน พึงเห็นในสติปัฏฐาน ๔.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จะพึงเห็นสมาธินทรีย์ในที่ไหน พึงเห็นใน ฌาน ๔.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็จะพึงเห็นปัญญินทรีย์ในที่ไหน พึงเห็นในอริยสัจ ๔.

[๔๓๗] ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ในฌาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 247

ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐.

[๔๓๘] ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการน้อมใจเชื่อในโสดาปัตติยังคะ คือการคบสัตบุรุษ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น.

ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการน้อมใจเชื่อในโสดาปัตติยังคะ คือการฟังธรรมของท่าน การทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น

ด้วยด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๓๙] ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการประคองไว้ในสัมมัปปธาน ๔ คือการไม่ยังอกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 248

พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ.

ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการประคองไว้ในสัมมัปปธาน คือการละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ ในสัมมัปปธาน คือการยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ฯลฯ ในสัมมัปปธาน คือความตั้งมั่น ความไม่ฟั่นเฟือน ความเจริญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ.

ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๐] ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้.

ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ ในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นจิตในจิต ฯลฯ ในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถ ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 249

ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๑] ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ในฌาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านในปฐมฌาน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ.

พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านในทุติยฌาน ฯลฯ ในตติยฌาน ฯลฯ ในจตุตถฌาน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ.

ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ในฌาน ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๒] ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการเห็นอริยสัจ คือทุกข์ พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน.

ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความเห็นในอริยสัจ คือทุกขสมุทัย ฯลฯ ในอริยสัจ คือ

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 250

ทุกขนิโรธ ฯลฯ ในอริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน.

ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๓] ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร ฯลฯ ในสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ในสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ ในฌาน ๔ ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการเท่าไร.

ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ ฯลฯ ในสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ในสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ ในฌาน ๔ ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐.

[๔๔๔] ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อในโสดาปัตติยังคะ คือการคบหาสัปบุรุษ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น.

ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อในโสดาปัตติยังคะ คือการฟังธรรมของท่าน ฯลฯ ในโสดาปัตติยังคะ คือ

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 251

การทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ ในโสดาปัตติยังคะ คือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น.

ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ในโสดาปัตติยังคะ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๕] ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

จะพึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความประคองไว้ในสัมมัปปธาน คือการไม่ยังอกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ฯลฯ พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ.

พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความประคองไว้ในสัมมัปปธาน คือการละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ ในสัมมัปปธาน คือการยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ฯลฯ ในสัมมัปปธาน คือความตั้งมั่น ความไม่ฟั่นเฟือน ความเจริญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ฯลฯ พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ.

ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์ในสัมมัปปธาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 252

[๔๔๖] ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้.

ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ ในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นจิตในจิต ฯลฯ ในสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้.

ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์ในสติปัฏฐาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๗] ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ในฌาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านในปฐมฌาน พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ.

ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านในทุติยฌาน ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 253

ในตติยฌาน ฯลฯ ในจตุตถฌาน ฯลฯ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ.

ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ในฌาน ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๘] ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วยอาการ ๒๐ เป็นไฉน.

พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการเห็นในอริยสัจ คือทุกข์ พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน.

ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ พึงเห็นความประพฤติแห่งปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความเห็นในอริยสัจ คือทุกขสมุทัย ฯลฯ ในอริยสัจ คือทุกขนิโรธ ฯลฯ ในอริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา พึงเห็นความประพฤติแห่งสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นความประพฤติแห่งวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นความประพฤติแห่งสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นความประพฤติแห่งสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน.

ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ในอริยสัจ ๔ จะพึงเห็นความประพฤติแห่งอินทรีย์ ๕ ด้วย อาการ ๒๐ เหล่านี้.

[๔๔๙] ความประพฤติและวิหารธรรม เป็นอันตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว เหมือนอย่างที่สพรหมจารีผู้รู้แจ้ง เชื่อมั่นบุคคลผู้ประพฤติอยู่ ผู้เป็นอยู่ในฐานะที่ลึกซึ้งว่า ท่านผู้นี้บรรลุแล้วหรือว่าจักบรรลุเป็นแน่.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 254

จริยา (ความประพฤติ) ในคำว่า ความประพฤติ มี ๘ คืออิริยาปถจริยา ๑ อายตนจริยา ๑ สติจริยา ๑ สมาธิจริยา ๑ ญาณจริยา ๑ มรรคจริยา ๑ ปัตติจริยา ๑ โลกัตถจริยา ๑.

ความประพฤติในอิริยาบถ ๔ ชื่อว่า อิริยาปถจริยา ความประพฤติในอายตนภายในภายนอก ๖ ชื่อว่า อายตนจริยา ความประพฤติในสติปัฏฐาน ๔ ชื่อว่า สติจริยา ความประพฤติในฌาน ๔ ชื่อว่า สมาธิจริยา ความประพฤติในอริยสัจ ๔ ชื่อว่า ญาณจริยา ความประพฤติในอริยมรรค ๔ ชื่อว่า มรรคจริยา ความประพฤติในสามัญผล ๔ ชื่อว่า ปัตติจริยา ความประพฤติกิจซึ่งเป็นประโยชน์แก่โลก ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้าบางส่วน ของพระสาวกบางส่วน ชื่อว่า โลกัตถจริยา.

อิริยาปถจริยาเป็นของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยการตั้งใจไว้ อายตนจริยาเป็นของท่านผู้คุ้มครองอินทรีย์ สติจริยาเป็นของท่านผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท สมาธิจริยาเป็นของท่านผู้ขวนขวายในอธิจิต ญาณจริยาเป็นของท่านผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา มรรคจริยาเป็นของท่านผู้ปฏิบัติชอบ ปัตติจริยาเป็นของท่านผู้บรรลุผลแล้ว และโลกัตถจริยาเป็นของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้าบางส่วน ของพระสาวกบางส่วน จริยา ๘ เหล่านี้.

จริยา ๘ อีกประการหนึ่ง คือบุคคลผู้น้อมใจเชื่อย่อมประพฤติด้วยศรัทธา ผู้ประคองไว้ย่อมประพฤติด้วยความเพียร ผู้ทำให้ปรากฏย่อมประพฤติด้วยสติ ผู้ทำจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านย่อมประพฤติด้วยสมาธิ ผู้รู้ชัดย่อมประพฤติด้วยปัญญา ผู้รู้แจ้งย่อมประพฤติด้วยวิญญาณ ผู้ทราบว่าท่านปฏิบัติอย่างนี้จึงบรรลุคุณวิเศษดังนี้ย่อมประพฤติด้วยวิเสสจริยา ผู้ที่ทราบ

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 255

ว่ากุศลธรรมของท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้ย่อมยังอิฐผลให้ยืดยาวไปดังนี้ย่อมประพฤติด้วยอายตนจริยา จริยา ๘ เหล่านี้.

จริยา ๘ อีกประการหนึ่ง คือทัสสนจริยาแห่งสัมมาทิฏฐิ ๑ อภิโรปนจริยาแห่งสัมมาสังกับปะ ๑ ปริคคหจริยาแห่งสัมมาวาจา ๑ สมุฏฐานจริยาแห่งสัมมากัมมันตะ ๑ โวทานจริยาแห่งสัมมาอาชีวะ ๑ ปัคคหจริยาแห่งสัมมาวายามะ ๑ อุปัฏฐานจริยาแห่งสัมมาสติ ๑ อวิกเขปจริยาแห่งสัมมาสมาธิ ๑ จริยา ๘ เหล่านี้.

[๔๕๐] คำว่า วิหาโร (วิหารธรรม) ความว่า บุคคลผู้น้อมใจเชื่อย่อมอยู่ด้วยศรัทธา ผู้ประคองไว้ย่อมอยู่ด้วยความเพียร ผู้ตั้งสติมั่นย่อมอยู่ด้วยสติ ผู้ทำจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านย่อมอยู่ด้วยสมาธิ ผู้รู้ชัดย่อมอยู่ด้วยปัญญา.

คำว่า ตรัสรู้แล้ว ความว่า ความน้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์ ความประคองไว้แห่งวิริยินทรีย์ ความปรากฏแห่งสตินทรีย์ ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมาธินทรีย์ ความเห็นแห่งปัญญินทรีย์ เป็นอันตรัสรู้แล้ว.

คำว่า แทงตลอดแล้ว ความว่า ความน้อมใจเชื่อแห่งสัทธินทรีย์ ฯ ความเห็นแห่งปัญญินทรีย์ เป็นอันแทงตลอดแล้ว.

คำว่า ผู้ประพฤติอยู่ ความว่า ประพฤติด้วยศรัทธาอย่างนี้ ด้วยความเพียรอย่างนี้ ด้วยสติอย่างนี้ ด้วยสมาธิอย่างนี้ ด้วยปัญญาอย่างนี้.

คำว่า ผู้เป็นอยู่ ความว่า อยู่ด้วยศรัทธาอย่างนี้ ฯ ด้วยปัญญาอย่างนี้.

คำว่า วิญญู (ผู้รู้แจ้ง) คือผู้รู้แจ้ง ผู้มีปัญญาแจ่มแจ้ง ผู้มีปัญญาทำลายกิเลส ผู้เป็นบัณฑิต ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้.

คำว่า สพฺรหฺมจารี (สพรหมจารี) คือบุคคลผู้มีการงานอย่างเดียวกัน มีอุเทศอย่างเดียวกัน มีการศึกษาเสมอกัน.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 256

ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล อภิญญาและปฏิสัมภิทา ท่านกล่าวว่า เป็นฐานะอันลึก ในคำว่า คมฺภีเรสฺ าเนสุ (ในฐานะที่ลึกซึ้ง).

คำว่า โอกปฺเปยยุํ (เชื่อมั่น) ความว่า พึงเชื่อ คือพึงน้อมใจเชื่อ.

คำว่า อทฺธา (แน่แท้) นี้ เป็นคำกล่าวโดยส่วนเดียว เป็นคำกล่าวโดยไม่สงสัย เป็นคำกล่าวโดยสิ้นความเคลือบแคลง เป็นคำกล่าวไม่เป็นสอง เป็นคำกล่าวโดยธรรมเครื่องนำออก (เป็นคำกล่าวโดยกำหนดลง) เป็นคำกล่าวไม่ผิด เป็นคำกล่าวโดยหลักฐาน.

คำว่า อายสฺมา (ท่าน) นี้ เป็นคำกล่าวด้วยความรัก เป็นคำกล่าวด้วยความเคารพ เป็นคำกล่าวมีความเคารพยำเกรง.

คำว่า บรรลุแล้ว ความว่า ถึงทับแล้ว.

คําว่า หรือว่าจักบรรลุ ความว่า จักถึงทับ.

จบนิทานบริบูรณ์

[๔๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ ๕ เป็นไฉน คือสัทธินทรีย์ ฯ ปัญญินทรีย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล.

อินทรีย์ ๕ เหล่านี้พึงเห็นด้วยอาการเท่าไร พึงเห็นด้วยอาการ ๖ พึงเห็นด้วยอรรถว่ากระไร ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ ด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้น ด้วยอรรถว่า มีประมาณยิ่ง ด้วยอรรถว่า ตั้งมั่น ด้วยอรรถว่า ครอบงำ ด้วยอรรถว่า ให้ตั้งอยู่.

[๔๕๒] พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ อย่างไร.

พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อแห่งบุคคลผู้ละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 257

พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์.

พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการประคองไว้แห่งบุคคลผู้ละความเกียจคร้าน พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์.

พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏแห่งบุคคลผู้ละความประมาท พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์.

พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านแห่งบุคคลผู้ละอุทธัจจะ พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์.

พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการเห็นแห่งบุคคลผู้ละอวิชชา พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.

พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะแห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์.

พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความประคองไว้ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะแห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะ พึงเห็น

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 258

สตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์.

พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความปรากฏด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะแห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ ด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์.

พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะแห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะ พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์.

พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความเห็นด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะแห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะ พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.

พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อด้วยสามารถแห่งความไม่พยาบาทแห่งบุคคลผู้ละพยาบาท ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา แห่งบุคคลผู้ละถีนมิทธะ ฯลฯ พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในความน้อมใจเชื่อด้วยสามารถแห่งอรหัตมรรคแห่งบุคคลผู้ละกิเลสทั้งปวง พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ฯลฯ พึงเห็นปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการเห็นด้วยสามารถแห่งอรหัตมรรค

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 259

แห่งบุคคลผู้ละกิเลสทั้งปวง พึงเห็นสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ พึงเห็นวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พึงเห็นสตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ พึงเห็นสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ อย่างนี้.

[๔๕๓] พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้น อย่างไร.

สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังความเกียจคร้าน เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งวิริยินทรีย์ สตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังความประมาท เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งสตินทรีย์ สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังอุทธัจจะ เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งสมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังอวิชชา เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งปัญญินทรีย์.

อินทรีย์ ๕ ในเนกขัมมะ เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังกามฉันทะ เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งอินทรีย์ ๕ อินทรีย์ ๕ ในความไม่พยาบาท เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังพยาบาท เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งอินทรีย์ ๕ ฯลฯ อินทรีย์ ๕ ในอรหัตมรรค เป็นสีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังกิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งอินทรีย์ ๕ พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้น อย่างนี้.

[๔๕๔] พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า มีประมาณยิ่ง อย่างไร.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 260

ฉันทะเกิดขึ้นเพื่อความเจริญสัทธินทรีย์ เพื่อละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา เพื่อละความเร่าร้อนเพราะความไม่มีศรัทธา เพื่อละกิเลสอันตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิ เพื่อละกิเลสส่วนหยาบๆ เพื่อละกิเลสส่วนละเอียดๆ เพื่อละกิเลสทั้งปวง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจฉันทะ.

ความปราโมทย์เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งฉันทะ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความปราโมทย์.

ปีติเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งความปราโมทย์ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจแห่งปีติ.

ปัสสัทธิเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งปีติ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจปัสสัทธิ.

ความสุขเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งปัสสัทธิ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจแห่งความสุข.

โอภาสเกิดขึ้นด้วยสามารถความสุข สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วย สามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจโอภาส.

สังเวชเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งโอภาส สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจสังเวช.

จิตสังเวชแล้วย่อมตั้งมั่น สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจสมาธิ.

จิตมั่นคงอย่างนั้นแล้วย่อมประคองไว้ดี สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจการประคองไว้.

จิตประคองแล้วอย่างนั้นย่อมวางเฉยดี สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจอุเบกขา.

จิตย่อมหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ด้วยสามารถแห่งอุเบกขา สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความหลุดพ้น.

ธรรมเหล่านั้นมีกิจ (* กิจรสะ) เสมอกัน เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้ว สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจภาวนา (อบรม) เพราะอรรถว่า เป็นธรรมมีกิจ (* กิจรสะ) เสมอกัน.

ธรรมเหล่านั้นย่อมหลีกจากธรรมนั้นสู่ธรรมที่ประณีตกว่า

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 261

เพราะเป็นธรรมที่เจริญแล้ว สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความหลีกไป.

จิตย่อมปล่อยจากธรรมนั้น เพราะเป็นธรรมที่หลีกไปแล้ว สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความปล่อย.

ธรรมทั้งหลายย่อมดับไปจากนั้น เพราะจิตเป็นธรรมชาติปล่อยไปแล้ว สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความดับ.

ความปล่อยด้วยสามารถแห่งความดับ มี ๒ ประการ คือความปล่อยด้วยความสละ ๑ ความปล่อยด้วยความแล่นไป ๑ ชื่อว่า ความปล่อยด้วยความสละเพราะอรรถว่า สละกิเลสและขันธ์ ชื่อว่า ความปล่อยด้วยความแล่นไปเพราะอรรถว่า จิตแล่นไปในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ ความปล่อยด้วยอำนาจความดับมี ๒ ประการนี้.

[๔๕๕] ฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญวิริยินทรีย์ เพื่อละความเกียจคร้าน เพื่อละความเร่าร้อนเพราะความเกียจคร้าน เพื่อละกิเลสอันตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิ ฯลฯ เพื่อละกิเลสทั้งปวง.

ฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญสตินทรีย์ เพื่อละความประมาท เพื่อละความเร่าร้อนเพราะความประมาท ฯลฯ เพื่อละกิเลสทั้งปวง.

ฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญสมาธินทรีย์ เพื่อละอุทธัจจะ เพื่อละความเร่าร้อนเพราะอุทธัจจะ ฯลฯ เพื่อละกิเลสทั้งปวง.

ฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญปัญญินทรีย์ เพื่อละอวิชชา เพื่อละความเร่าร้อนเพราะอวิชชา เพื่อละกิเลสอันตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิ เพื่อละกิเลสส่วนหยาบๆ เพื่อละกิเลสส่วนละเอียดๆ เพื่อละกิเลสทั้งปวง.

ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจฉันทะ.

ความปราโมทย์ย่อมเกิดด้วยสามารถฉันทะ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความปราโมทย์.

ปีติย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งความปราโมทย์ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจปีติ.

ปัสสัทธิย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งปีติ

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 262

ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจปัสสัทธิ.

ความสุขย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งปัสสัทธิ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความสุข.

โอภาสย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งความสุข ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจโอภาส.

ความสังเวชย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งโอภาส ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความสังเวช.

จิตสังเวชแล้วย่อมตั้งมั่น ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจสมาธิจิตตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น.

ย่อมประคองไว้ดี ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความประคองไว้ จิตประคองไว้แล้วอย่างนั้น.

ย่อมวางเฉยด้วยดี ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจอุเบกขา.

จิตย่อมหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ด้วยสามารถแห่งอุเบกขา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความหลุดพ้น.

ธรรมเหล่านั้นย่อมมีกิจเป็นอันเดียวกัน เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้ว ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจภาวนา เพราะอรรถว่าเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน.

ธรรมเหล่านั้นย่อมหลีกจากธรรมนั้นไปสู่ธรรมที่ประณีตกว่า เพราะเป็นธรรมที่เจริญแล้ว ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความหลีกไป.

จิตย่อมปล่อยจากธรรมนั้น เพราะเป็นจิตหลีกไปแล้ว ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความปล่อย.

ธรรมทั้งหลายย่อมดับไปจากนั้น เพราะจิตเป็นธรรมชาติปล่อยแล้ว ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจความดับ.

ความปล่อยด้วยอำนาจแห่งความดับมี ๒ ประการ คือความปล่อยด้วยความสละ๑ ความปล่อยด้วยความแล่นไป ๑ ชื่อว่า ความปล่อยด้วยความสละเพราะอรรถว่า สละกิเลสและขันธ์

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 263

ชื่อว่า ความปล่อยด้วยความแล่นไปเพราะอรรถว่า จิตแล่นไปในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ ความปล่อยด้วยสามารถแห่งความดับ มี ๒ ประการนี้ พึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า มีประมาณยิ่ง อย่างนี้.

จบภาณวาร

[๔๕๖] จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า ตั้งมั่น อย่างไร.

ฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญสัทธินทรีย์ สัทธินทรีย์ย่อมตั้งมั่นด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจฉันทะ.

ความปราโมทย์ย่อมเกิดด้วยสามารถแห่งฉันทะ สัทธินทรีย์ย่อมตั้งมั่นด้วยสามารถแห่งศรัทธา ด้วยอำนาจความปราโมทย์ ฯลฯ จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่าตั้งมั่นอย่างนี้.

[๔๕๗] จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า ครอบงำ อย่างไร.

สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ย่อมครอบงำความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมครอบงำความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา.

วิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ ย่อมครอบงำความเป็นผู้เกียจคร้าน ย่อมครอบงำความเร่าร้อนเพราะความเกียจคร้าน.

สตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ ย่อมครอบงำความประมาท ย่อมครอบงำความเร่าร้อนเพราะความประมาท.

สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมครอบงำอุทธัจจะ ย่อมครอบงำความเร่าร้อนเพราะอุทธัจจะ.

ปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่า เห็น ย่อมครอบงำอวิชชา ย่อมครอบงำความเร่าร้อนเพราะอวิชชา.

อินทรีย์ ๕ ในเนกขัมมะ ย่อมครอบงำกามฉันทะ อินทรีย์ ๕ ในความไม่พยาบาท ย่อมครอบงำความพยาบาท อินทรีย์ ๕ ในอาโลกสัญญา ย่อมครอบงำถีนมิทธะ อินทรีย์ ๕ ในความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมครอบงำอุทธัจจะ ฯลฯ อินทรีย์ ๕ ในอรหัตมรรค ย่อมครอบงำกิเลสทั้งปวง จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า ครอบงำ อย่างนี้.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 264

[๔๕๘] จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า ให้ตั้งอยู่ อย่างไร.

ผู้มีศรัทธาย่อมให้สัทธินทรีย์ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์ของผู้มีศรัทธา ย่อมให้ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ.

ผู้มีความเพียรย่อมให้วิริยินทรีย์ตั้งอยู่ในความประคองไว้ วิริยินทรีย์ของผู้มีความเพียรย่อมให้ตั้งอยู่ในความประคองไว้.

ผู้มีสติย่อมให้สตินทรีย์ตั้งอยู่ในความปรากฏ สตินทรีย์ของผู้มีสติย่อมให้ตั้งอยู่ในความปรากฏ.

ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมให้สมาธินทรีย์ตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่าน สมาธินทรีย์ของผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมให้ตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่าน.

ผู้มีปัญญาย่อมให้ปัญญินทรีย์ตั้งอยู่ในความเห็น ปัญญินทรีย์ของผู้มีปัญญาย่อมให้ตั้งอยู่ในความเห็น.

พระโยคาวจรย่อมให้อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ อินทรีย์ ๕ ของพระโยคาวจรย่อมให้ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ.

พระโยคาวจรย่อมให้อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ในความไม่พยาบาท อินทรีย์ ๕ ของพระโยคาวจรย่อมให้ตั้งอยู่ในความไม่พยาบาท.

พระโยคาวจรย่อมให้อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ในอาโลกสัญญา อินทรีย์ ๕ ของพระโยคาวจรย่อมให้ตั้งอยู่ในอาโลกสัญญา.

พระโยคาวจรย่อมให้อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์ ๕ ของพระโยคาวจรย่อมให้ตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ พระโยคาวจรย่อมให้อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค อินทรีย์ ๕ ของพระโยคาวจรย่อมให้ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค จะพึงเห็นอินทรีย์ด้วยอรรถว่า ให้ตั้งอยู่ อย่างนี้.

[๔๕๙] ปุถุชนเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร พระเสขะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 265

ปุถุชนเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๗ พระเสขะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๘ ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๑๐.

[๔๖๐] ปุถุชนเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๗ เป็นไฉน.

ปุถุชนผู้มีตนอันพิจารณาแล้ว ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งสมถนิมิต ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งปัคคหนิมิต ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความไม่ฟุ้งซ่าน ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งโอภาส ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความร่าเริง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา ๑ ปุถุชนเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๗ เหล่านี้.

พระเสขะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.

พระเสขะมีตนอันพิจารณาแล้ว ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์ ๑ ฯลฯ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความเป็นธรรมอย่างเดียว ๑ พระเสขะผู้เจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๘ เหล่านี้.

ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วย อาการ ๑๐ เป็นไฉน.

ท่านผู้ปราศจากราคะมีตนอันพิจารณาแล้ว ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์ ๑ ฯลฯ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความเป็นธรรมอย่างเดียว ๑

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 266

เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งจิต (๑) ๑ ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญสมาธิย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้.

[๔๖๑] ปุถุชนเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร พระเสขะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญวิปัสสนาเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ ด้วยอาการเท่าไร.

ปุถุชนเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ พระเสขะเจริญวิปัสสนาเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญวิปัสสนาเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒.

[๔๖๒] ปุถุชนเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ เป็นไฉน เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ เป็นไฉน.

ปุถุชนเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นของเที่ยง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นทุกข์ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นสุข ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นอนัตตา ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นอัตตา ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความสิ้นไป ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นก้อน ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเสื่อมไป ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความประมวลมา ๑ เป็นผู้


(๑) พม่า. ยุโรป. เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งวิมุตติ.

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 267

ฉลาดในความตั้งไว้โดยความแปรปรวน ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยั่งยืน ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพหานิมิตมิได้ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยเป็นสภาพมีนิมิต ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพไม่มีที่ตั้ง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยเป็นสภาพมีที่ตั้ง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพสูญ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่น ๑.

ปุถุชนเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ เหล่านี้ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๙ เหล่านี้.

พระเสขะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ เป็นไฉน ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ เป็นไฉน.

พระเสขะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นของเที่ยง ๑ ฯลฯ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นสภาพสูญ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่น ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งสิ่งมิใช่ญาณ ๑.

พระเสขะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๐ เหล่านี้.

ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ เป็นไฉน เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ เป็นไฉน.

ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นของเที่ยง ๑ ฯลฯ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งสิ่งมิใช่ญาณ ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความไม่เกี่ยวข้อง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเกี่ยวข้อง ๑ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความดับ ๑ เป็นผู้ฉลาด

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 268

ในความไม่ตั้งไว้ซึ่งสังขาร ๑.

ท่านผู้ปราศจากราคะเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ด้วยอาการ ๑๒ เหล่านี้ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ด้วย ๑๒ เหล่านี้.

บุคคลผู้มีตนอันเว้นแล้ว ย่อมให้อินทรีย์ประชุมลงด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์ รู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์ ฯลฯ (๑) ย่อมให้ธรรมทั้งหลายประชุมลง รู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[๔๖๓] คำว่า ย่อมให้อินทรีย์ประชุมลง ความว่า ย่อมให้อินทรีย์ประชุมลงอย่างไร.

ย่อมให้สัทธินทรีย์ประชุมลงด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ฯลฯ ย่อมให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลงด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งสมถนิมิต ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งปัคคหนิมิต ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความร่าเริง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นธรรมอย่างเดียว ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นของเที่ยง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นทุกข์ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นสุข ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นอนัตตา ด้วยสามรถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นอัตตา ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความสิ้นไป ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาด


(๑) ที่ย่อไว้มี พละ โพชฌงค์ มรรค (ดูนัยข้อ ๓๙๖ ถึงข้อ ๔๐๐ ประกอบ).

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 269

ในความไม่ตั้งไว้โดยความเป็นก้อน ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเสื่อมไป ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความประมวลมา ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความแปรปรวน ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยั่งยืน ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นสภาพที่หานิมิตมิได้ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยเป็นสภาพมีนิมิต ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพไม่มีที่ตั้ง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยสภาพมีที่ตั้ง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นสภาพสูญ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่น ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งสิ่งมิใช่ญาณ ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความไม่เกี่ยวข้อง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งความไม่เกี่ยวข้อง ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความดับ (๑) ย่อมรู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.

[๔๖๔] ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ด้วยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ อินทรีย์ ๓ เป็นไฉน คืออนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ๑ อัญญินทรีย์ ๑ อัญญาตาวินทรีย์ ๑.

อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร อัญญินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร อัญญาตาวินทรีย์ย่อมถึงฐานะเท่าไร.

อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๑ คือโสดาปัตติมรรค อัญญินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๖ คือโสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล


(๑) พม่า. ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งสังขาร.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 270

อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อัญญาตาวินทรีย์ย่อมถึงฐานะ ๑ คืออรหัตผล.

[๔๖๕] ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร วิริยินทรีย์มีความประคองไว้เป็นบริวาร สตินทรีย์มีความปรากฏเป็นบริวาร สมาธินทรีย์มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นบริวาร ปัญญินทรีย์มีความเห็นเป็นบริวาร มนินทรีย์มีความรู้แจ้งเป็นบริวาร โสมนัสสินทรีย์มีความยินดียิ่งเป็นบริวาร ชีวิตินทรีย์มีความเป็นใหญ่ในการสืบต่อแห่งความเป็นไปเป็นบริวาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะโสดาปัตติมรรค เว้นรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ล้วนเป็นกุศลทั้งนั้น ล้วนไม่มีอาสวะ ล้วนเป็นธรรมที่นำออก ล้วนเป็นเครื่องให้ถึงความไม่สั่งสม ล้วนเป็นโลกุตระ ล้วนเป็นธรรมมีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะโสดาปัตติมรรค อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์มีอินทรีย์ทั้ง ๘ นี้เป็นสหชาตบริวาร เป็นอัญญมัญญบริวาร เป็นนิสสยบริวาร เป็นสัมปยุตบริวาร เป็นสหคตธรรม (เป็นธรรมไปพร้อมกัน) เป็นสหชาตธรรม (เป็นธรรมเกิดพร้อมกัน) เป็นธรรมเกี่ยวข้องกัน เป็นธรรมประกอบกัน ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและเป็นบริวารแห่งอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์นั้น.

ในขณะโสดาปัตติผล ฯลฯ ในขณะอรหัตผล อัญญาตาวินทรีย์ มีสัทธินทรีย์ซึ่งมีความน้อมใจเชื่อเป็นบริวาร ฯลฯ ชีวิตินทรีย์มีความเป็นใหญ่ในความสืบเนื่องแห่งความเป็นไปเป็นบริวาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดในขณะอรหัตผล เว้นรูปอันมีจิตเป็นสมุฏฐาน ล้วนเป็นอัพยากฤตทั้งนั้น ล้วนไม่มีอาสวะ ล้วนเป็นโลกุตระ ล้วนมีนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะอรหัตผล อัญญาตาวินทรีย์มีอินทรีย์ ๘ นี้เป็นสหชาตบริวาร ฯลฯ ธรรมเหล่านั้นแลเป็นอาการและ

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 271

เป็นบริวารแห่งอัญญาตาวินทรีย์นั้น.

อินทรีย์ ๘ หมวดนี้รวมเป็นอินทรีย์ ๖๔ ด้วยประการฉะนี้.

[๔๖๖] คำว่า อาสวะ ความว่า อาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่านั้น คือกามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ.

อาสวะเหล่านั้นย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปเพราะโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะโสดาปัตติมรรคนี้ กามาสวะส่วนหยาบ ภวาสวะ อวิชชาสวะซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปเพราะสกทาคามิมรรค อาสวะเหล่านั้นย่อมสิ้นไปในขณะสกทาคามิมรรคนี้ กามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปเพราะอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอนาคามิมรรคนี้ ภวาสวะและอวิชชาทั้งสิ้น ย่อมสิ้นไปเพราะอรหัตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอรหัตมรรคนี้.

บทธรรมอะไรๆ ที่พระตถาคตนั้นไม่ทรงเห็น ไม่มีโนโลกนี้ อนึ่ง บทธรรมอะไรๆ ที่พระตถาคตนั้นไม่ทรงทราบแล้ว ไม่พึงทรงทราบมิได้มี พระตถาคตทรงทราบธรรมที่ควรนำไปทั้งปวง เพราะเหตุนั้นพระตถาคตจึงชื่อว่าเป็น พระสมันตจักษุ.

คำว่า สมนฺตจกฺขุ ความว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ เพราะอรรถว่ากระไร.

พระพุทธญาณ ๑๔ คือญาณในทุกข์ ญาณในทุกขสมุทัย ฯลฯ สัพพัญญุตญาณ อนาวรณญาณเป็นพระพุทธญาณ พระพุทธญาณ ๑๔ นี้

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 272

ในพระพุทธญาณ ๑๔ นี้ ญาณ ๘ ข้างต้นทั่วไปกับพระสาวก ญาณ ๖ ข้างหลังไม่ทั่วไปกับพระสาวก.

[๔๖๗] พระตถาคตทรงทราบสภาพแห่งทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยากตลอดหมด ที่ไม่ทรงทราบมิได้มี เพราะเหตุนั้นพระตถาคตจึงทรงพระนามว่า สมันตจักษุ สมันตจักษุเป็นปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ สตินทรีย์ด้วยอรรถว่า ปรากฏ สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์สภาพแห่งทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก พระตถาคตทรงเห็นแล้ว ทรงทราบแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดหมดด้วยพระปัญญา ที่ไม่ทรงถูกต้องแล้วมิได้มี เพราะเหตุนั้นพระตถาคตจึงทรงพระนามว่า สมันตจักษุ สมันตจักษุเป็นปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ฯลฯ สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯลฯ สภาพแห่งสมุทัยเป็นเหตุให้เกิด ฯลฯ สภาพแห่งนิโรธเป็นเหตุดับโดยไม่เหลือ ฯลฯ สภาพแห่งมรรคเป็นทางให้ถึง ฯลฯ สภาพแห่งอรรถปฏิสัมภิทาเป็นปัญญาเครื่องแตกฉานดีโดยอรรถ ฯลฯ สภาพแห่งธรรมปฏิสัมภิทาเป็นปัญญาแตกฉานดีโดยธรรม ฯลฯ สภาพแห่งนิรุตติปฏิสัมภิทาเป็นปัญญาแตกฉานดีโดยภาษา สภาพแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทาเป็นปัญญาแตกฉานดีโดยปฏิภาณ ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ญาณในฉันทะอันมานอนและกิเลสอันนอนตามของสัตว์ทั้งหลาย ญาณในยมกปาฏิหาริย์ ญาณในมหากรุณาสมาบัติ ฯลฯ อารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้สดับ ที่ได้ทราบ ที่รู้แจ้ง ที่ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแจ้งแล้ว

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 273

ทรงรู้แล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องด้วยพระปัญญา ที่ไม่ทรงถูกต้องด้วยพระปัญญาไม่มี เพราะเหตุนั้นพระตถาคตจึงทรงพระนามว่า สมันตจักษุ สมันตจักษุเป็นปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ฯ สมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลเมื่อเชื่อย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมเชื่อ.

เมื่อประคองไว้ย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมประคองไว้.

เมื่อตั้งสติมั่นย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมตั้งสติมั่น.

เมื่อตั้งใจมั่นย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมตั้งใจมั่น.

เมื่อรู้ชัดย่อมเชื่อ เมื่อเชื่อย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมประคองไว้ เมื่อประคองไว้ย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมตั้งสติมั่น เมื่อตั้งสติมั่นย่อมรู้ชัด เมื่อรู้ชัดย่อมตั้งใจมั่น เมื่อตั้งใจมั่นย่อมรู้ชัด.

เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงเชื่อ.

เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงประคองไว้ เพราะความ

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 274

เป็นผู้ประคองไว้จึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงประคองไว้.

เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงตั้งสติมั่น.

เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงตั้งใจมั่น.

เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงเชื่อ เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงประคองไว้ เพราะความเป็นผู้ประคองไว้จึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงตั้งสติมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งสติมั่นจึงรู้ชัด เพราะความเป็นผู้รู้ชัดจึงตั้งใจมั่น เพราะความเป็นผู้ตั้งใจมั่นจึงรู้ชัด.

พระพุทธจักษุเป็นพระพุทธญาณ พระพุทธญาณเป็นพระจักษุ อันเป็นเครื่องให้พระตถาคตทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุก็มี มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการชั่วก็มี ที่จะพึงฝึกให้รู้ได้โดยง่ายก็มี ที่จะพึงฝึกให้รู้ได้โดยยากก็มี บางพวกเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกไม่เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.

[๔๖๘] คำว่า มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุก็มี มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุก็มี ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา ชื่อว่า มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ ผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ผู้ปรารภความเพียร ฯ ผู้มี

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 275

สติตั้งมั่น ฯ ผู้มีจิตตั้งมั่น ฯ ผู้มีปัญญา ชื่อว่า ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้เกียจคร้าน ฯ ผู้มีสติหลงลืม ฯ ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ฯ ผู้มีปัญญาทราม ชื่อว่า ผู้มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ.

คำว่า มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา ชื่อว่า ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า ผู้มีอินทรีย์อ่อน ฯลฯ ผู้มีปัญญา ชื่อว่า มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีปัญญาทราม ชื่อว่า ผู้มีอินทรีย์อ่อน.

คำว่า มีอาการดีก็มี มีอาการชั่วก็มี ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา ชื่อว่า ผู้มีอาการดี ผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า ผู้มีอาการชั่ว ฯลฯ ผู้มีปัญญา ชื่อว่า ผู้มีอาการดี ผู้ไม่มีปัญญา ชื่อว่า ผู้มีอาการชั่ว.

คำว่า จะพึงให้รู้ได้โดยง่ายก็มี จะพึงให้รู้ได้โดยยากก็มี ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา ชื่อว่า จะพึงให้รู้ได้โดยง่าย ผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า จะพึงให้รู้ได้โดยยาก ฯลฯ ผู้มีปัญญา ชื่อว่า จะพึงให้รู้ได้โดยง่าย ผู้ไม่มีปัญญา ชื่อว่า จะพึงให้รู้ได้โดยยาก.

คำว่า บางพวกเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกไม่เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา ชื่อว่า เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า ไม่เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ฯลฯ ผู้มีปัญญา ชื่อว่า เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ผู้ไม่มีปัญญา ชื่อว่า ไม่เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.

คำว่า โลก คือขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก วิปัตติภวโลก วิปัตติสัมภวโลก สัมปัตติภวโลก สัมปัตติสัมภวโลก โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวง

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 276

ดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร โลก ๒ คือนามและรูป โลก ๓ คือเวทนา ๓ โลก ๔ คืออาหาร ๔ โลก ๕ คืออุปาทานขันธ์ ๕ โลก ๖ คืออายตนะภายใน ๖ โลก ๗ คือวิญญาณฐิติ ๗ โลก ๘ คือโลกธรรม ๘ โลก ๙ คือสัตตาวาส ๙ โลก ๑๐ คืออายตนะ ๑๐ โลก ๑๒ คืออายตนะ ๑๒ โลก ๑๘ คือธาตุ ๑๘.

คำว่า โทษ ความว่า กิเลสทั้งปวงเป็นโทษ ทุจริตทั้งปวงเป็นโทษ อภิสังขารทั้งปวงเป็นโทษ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวงเป็นโทษ ความสำคัญในโลกนี้และในโทษนี้ด้วยประการดังนี้ โดยความเป็นภัยอย่างแรงกล้าปรากฏเฉพาะหน้า เปรียบเหมือนความสำคัญในเพชฌฆาตซึ่งกำลังแกว่งดาบเข้ามาโดยความเป็นภัย ฉะนั้น พระตถาคตย่อมทรงทราบ ทรงเห็น ทรงรู้ชัด ทรงแทงตลอดซึ่งอินทรีย์ ๕ ประการ ด้วยอาการ ๕๐ เหล่านี้.

จบตติยภาณวาร

จบอินทริยกถา

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 277

๔. อินทริยกถา

๑. อรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ

บัดนี้ถึงคราวที่จะพรรณนาตามความที่ยังไม่เคยพรรณนาในอินทริยกถา ซึ่งกล่าวในลำดับอานาปานสติกถา.

จริงอยู่ อินทริยกถานี้ท่านกล่าวในลำดับอานาปานสติกถา เพื่อแสดงวิธีการชำระอินทรีย์อันเป็นอุปการะแก่อานาปานสตินั้น เพราะเมื่ออินทรีย์ทั้งหลายอันเป็นอุปการะแก่อานาปานสติภาวนาไม่มี อานาปานสติภาวนาก็มีไม่ได้แล อนึ่ง พระสารีบุตรเถระประสงค์จะกล่าวอินทริยกถาที่ควรกล่าวนั้น อันเป็นเทศนาที่มีมาในพระสูตร โดยประสงค์จะให้รู้ซึ่งตนได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นเบื้องต้น จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า เอวมฺเม สุตํ (ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เป็นบทนิบาต.

บททั้งหลายมีอาทิว่า เม เป็นบทนาม.

บทว่า วิ ในบทว่า วิหรติ นี้ เป็นบทอุปสรรค.

บทว่า หรติ เป็นบทอาขยาต พึงทราบการจำแนกบทโดยนัยนี้ก่อนด้วยประการฉะนี้.

แต่โดยอรรถ ในการกำหนดคำอันเป็นอุปมา การอ้างอิง การติเตียน การสรรเสริญและอาการ เอวํ ศัพท์ย่อมปรากฏในอรรถแห่งนิทัศนะ (การชี้แจง) และในอรรถแห่งอวธารณะ (การรับรอง) แต่ เอวํ ศัพท์ในที่นี้ วิญญูชนบัญญัติลงในอรรถแห่งอาการและในอรรถแห่งนิทัศนะก็เหมือนอย่างนั้น จะใช้ในอรรถแห่งอวธารณะก็ได้.

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 278

ในอรรถเหล่านั้น ท่านแสดงความนี้ด้วย เอวํ ศัพท์ อันมีอาการเป็นอรรถ (แปลว่า ด้วยอาการอย่างนี้) ใครเล่าสามารถจะรู้แจ้งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น อันมีนัยต่างๆ ละเอียด มีอัธยาศัยไม่น้อยเป็นสมุฏฐาน สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ มีปาฏิหาริย์หลายอย่าง ลึกซึ้งด้วยเหตุ ผลเทศนาและปฏิเวธ อันมาสู่คลองโสตโดยสมควรแก่ภาษาของตนๆ แห่งสัตว์ทั้งปวง ได้โดยทุกประการ ก็แม้ข้าพเจ้าปลุกเร้าความอยากที่จะฟัง (* พยายามตั้งใจฟังเต็มที่) ให้เกิดด้วยกำลังทั้งปวง ก็ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ จึงกล่าวว่า เอวํ เม สุตํ คือแม้ข้าพเจ้าก็สดับมาแล้วด้วยอาการอย่างหนึ่ง ดังนี้.

พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะออกตัวว่า เรามิใช่พระสยัมภู สิ่งนี้เรายังมิได้ทำให้แจ้ง ด้วย เอวํ ศัพท์อันมีนิทัศนะเป็นอรรถ จึงแสดงสูตรทั้งสิ้นที่ควรกล่าวในบัดนี้ว่า เอวํ เม สุตํ คือแม้เราก็สดับมาแล้วอย่างนี้ ดังนี้.

ด้วย เอวํ ศัพท์อันมีอวธารณะเป็นอรรถ พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงกำลังอันทรงจำไว้ของตน อันสมควรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงสรรเสริญ โดยนัยมีอาทิว่า.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเราผู้มีปัญญามาก สารีบุตรเป็นผู้เลิศ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่พิจารณาเห็นบุคคลอื่นแม้สักคนเดียว ซึ่งเป็นผู้ยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่ตถาคตประกาศไปแล้วอย่างนี้ ให้เป็นไปตามได้อย่างถูกต้องเหมือนสารีบุตรเลย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่ตถาคตประกาศแล้ว ให้เป็นไปตามได้อย่างถูกต้อง.

ท่านจึงยังความเป็นผู้ใคร่จะฟังให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลายว่า เราสดับมาแล้วอย่างนี้ พระธรรมจักร (พระสูตร) นั้นแลไม่บกพร่องไม่เกินโดยอรรถหรือโดยพยัญชนะ พึงเห็นเป็นอย่างนี้เท่านั้น ไม่พึงเห็นเป็นอย่างอื่น.

เม ศัพท์ย่อมปรากฏในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ จตุตถีวิภัตติและฉัฏฐีวิภัตติ แต่ในที่นี้ย่อมควรในสองอรรถว่า มยา สุตํ (อันเราสดับแล้ว) และ

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 279

มม สุตํ (สดับแล้วแก่เรา) ดังนี้.

ศัพท์ว่า สุตํ นี้เป็นทั้งอุปสรรคและมิใช่อุปสรรค ย่อมปรากฏในการฟังชัด การไป การชุ่มชื้น การสะสม การประกอบ การรู้แจ้งทางหู และเมื่อจะรู้ ย่อมปรากฏด้วยการแล่นไปตามโสตทวาร แต่ในที่นี้ สุตํ ศัพท์นั้น มีความว่า เข้าไปทรงไว้หรือการเข้าไปทรงไว้โดยแล่นไปตามโสตทวาร.

เมื่อ เม ศัพท์ มีอรรถว่า มยา ย่อมควรว่า อันเราสดับแล้วอย่างนี้ คือเข้าไปทรงไว้โดยแล่นไปตามโสตทวาร เมื่อมีอรรถว่า มม ย่อมควรว่า การฟัง (การสดับ) คือการเข้าไปทรงไว้โดยตามแล่นไปทางโสตทวารของเราอย่างนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรเมื่อไม่รับความที่การฟังอันตนให้เกิดแล้ว เมื่อจะเปิดเผยการฟังอันมีมาก่อนว่า เราสดับมาแล้วอย่างนี้ ย่อมยังความไม่เชื่อถือในธรรมนี้ให้พินาศไปว่า คำนี้เรารับมาแล้วเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้ทรงแกล้วกล้าด้วยเวสารัชธรรม ๔ ผู้ทรงกำลัง ๑๐ ผู้ทรงตั้งอยู่ในฐานะอันองอาจ ผู้ทรงบันลือสีหนาท ผู้ทรงสูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ผู้ทรงเป็นอิสระ (เป็นใหญ่) ในธรรม ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชา ผู้ทรงเป็นธรรมาธิบดี ผู้ทรงเป็นธรรมประทีป ผู้ทรงเป็นธรรมสรณะ ผู้ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งพระสัทธรรมอันประเสริฐ ผู้ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) ไม่ควรทำความเคลือบแคลงสงสัยในอรรถ ในธรรม ในบท ในพยัญชนะนี้เลย ย่อมยังสัทธาสัมปทาให้เกิด ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

สาวกของพระโคดมเมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ว่า เราสดับมาแล้วอย่างนี้ ย่อมยังผู้ไม่เชื่อให้พินาศไป (ย่อมทำลายความไม่ศรัทธา) ย่อมยังผู้เชื่อให้เจริญในพระศาสนา ดังนี้.

บทว่า เอกํ (หนึ่ง) แสดงจำนวน (แสดงการกำหนดนับ).

บทว่า สมยํ (สมัย) แสดงกำหนด (แสดงสิ่งที่กำหนด).

บทว่า เอกํ สมยํ (สมัยหนึ่ง) แสดงความไม่แน่นอน สมย ศัพท์ในบทนั้นย่อมปรากฏ

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 280

ในการประชุม ขณะ กาล หมู่ เหตุ ทิฏฐิ การได้ การละและการแทงตลอด.

แต่ในที่นี้ สมย ศัพท์ เอาความว่า กาล ด้วยเหตุนั้นท่านแสดงว่า เอกํ สมยํ (สมัยหนึ่ง) ในบรรดาสมัยทั้งหลายอันเป็นประเภทแห่งกาล มีปี ฤดู เดือน กึ่งเดือน คืน วัน เช้า เที่ยง เย็น ยามต้น ยามกลาง ยามสุดและครู่เป็นต้น.

ในกาลทั้งหลายมีปีเป็นต้นเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรใดๆ ในปี ฤดู เดือน ปักษ์ กลางคืนหรือกลางวันใดๆ พระสูตรนั้นทั้งหมด พระเถระรู้แล้วเป็นอย่างดี กำหนดแล้วเป็นอย่างดีด้วยปัญญาโดยแท้ แต่เพราะเมื่อกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้ ในปีโน้น ฤดูโน้น เดือนโน้น ปักษ์โน้น กลางคืนวันโน้นหรือกลางวันวันโน้น ใครๆ ไม่สามารถจะทรงจำได้ จะยกขึ้นแสดงได้หรือให้ยกขึ้นแสดงได้โดยง่าย และจำเป็นจะต้องกล่าวให้มาก ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระจึงประมวลความนั้นลงด้วยบทเดียวเท่านั้น แล้วกล่าวว่า เอกํ สมยํ.

อีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาสมัยอันมีประเภทมากมายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่รู้กันดีในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้คือ สมัยลงสู่พระครรภ์ สมัยประสูติ สมัยเกิดสังเวช สมัยเสด็จทรงผนวช สมัยทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา สมัยชนะมาร สมัยตรัสรู้ สมัยเสวยสุขในทิฏฐิธรรม สมัยเทศนา สมัยปรินิพพาน พระเถระย่อมแสดงถึงสมัยหนึ่ง คือสมัยเทศนา ท่านกล่าวว่า เอกํ สมยํ หมายถึงสมัยใดสมัยหนึ่งในบรรดาสมัยอันเป็นสมัยทรงบำเพ็ญกิจด้วยพระปัญญาและพระกรุณา หมายถึงสมัยทรงบำเพ็ญกิจด้วยพระกรุณา ในสมัยเป็นสมัยทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์เพื่อผู้อื่น หมายถึงสมัยที่ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 281

ในสมัยที่ทรงบำเพ็ญกรณียกิจ ๒ อย่างแก่พุทธบริษัทผู้มาประชุมกัน หมายถึงสมัยที่ตรัสธรรมีกถา ในสมัยแห่งเทศนาและการปฏิบัติ หมายถึงสมัยแห่งเทศนา.

อนึ่ง เพราะบทว่า เอกํ สมยํ (สมัยหนึ่ง) เป็นอัจจันตสังโยค คือเป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถว่า ตลอดหรือสิ้น ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้หรือพระสูตรอื่นสิ้นสมัยใด ทรงอยู่ด้วยพระกรุณาวิหารสิ้นสมัยนั้นตลอดกาล ฉะนั้น เพื่อส่องความนั้น ท่านจึงทำให้เป็นทุติยาวิภัตติ ดังที่ท่านกล่าวว่า

ท่านเพ่งถึงอรรถนั้นๆ แล้วจึงกล่าว สมยศัพท์ในที่อื่นด้วยสัตตมีวิภัตติและตติยาวิภัตติ ในที่นี้กล่าวด้วยทุติยาวิภัตติ.

ส่วนพระโบราณาจารย์ทั้งหลายพรรณนาว่า สมย ศัพท์นี้มีความต่างกันเพียงคำพูดว่า ตสฺมิํ สมเย (ในสมัยนั้น) เตน สมเยน (โดยสมัยนั้น) หรือ ตํ สมยํ (ตลอดสมัยนั้น) ในที่ทั้งปวงมีความเป็นสัตตมีวิภัตติทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แม้เมื่อกล่าวว่า เอกํ สมยํ ก็พึงทราบความว่า เอกสฺมิํ สมเย (ในสมัยหนึ่ง).

บทว่า ภควา (พระผู้มีพระภาคเจ้า) คือครู เพราะชนทั้งหลายในโลกเรียกครูว่า ภควา อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านี้เป็นครูของสรรพสัตว์ เพราะเป็นผู้ประเสริฐด้วยคุณทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึงทราบบทว่า ภควา (พระผู้มีพระภาคเจ้า) แม้พระโบราณาจารย์ทั้งหลายก็ยังกล่าวไว้ว่า

คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐที่สุด คำว่า ภควา เป็นคำสูงที่สุด พระตถาคตนั้นทรงเป็นผู้ควรแก่ความเคารพ คารวะ ด้วยเหตุนั้นจึงขนานพระนามว่า ภควา.

อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความโดยพิสดารแห่งบทนั้นด้วยคาถานี้ว่า

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 282

เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงมีภาคยธรรม ๑ ทรงมีภัคคธรรม ๑ ทรงประกอบด้วยภคธรรม ๑ ทรงจำแนกธรรม ๑ ทรงมีผู้ภักดี ๑ ทรงคายการไปในภพทั้งหลาย ๑ ฉะนั้น จึงได้รับการขนานพระนามว่า ภควา.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ท่านกล่าวไว้ในพุทธานุสตินิเทศ ในวิสุทธิมรรคแล้ว.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ในนิเทศนี้ท่านแสดงเทศนาสมบัติ ด้วยคำว่า เอวํ แสดงสาวกสมบัติ ด้วยบทว่า เม สุตํ แสดงกาลสมบัติว่า เอกํ สมยํ แสดงเทสกสมบัติ ด้วยบทว่า ภควา.

อนึ่ง ในบทว่า สาวตฺถิยํ (ใกล้กรุงสาวัตถี) นี้ ชื่อว่า สาวตฺถี เป็นนครอันเป็นที่อยู่ของฤษีชื่อว่า สวัตถะ นักอักษรศาสตร์กล่าวไว้อย่างนี้ว่า เหมือนนคร กากันที มากันที แต่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ชื่อว่า สาวตฺถี เพราะมนุษย์ทั้งหลายมีเครื่องอุปโภคบริโภคครบทุกอย่าง เมื่อพวกกองเกวียนถามว่า มีสินค้าอะไร ชาวกรุงสาวัตถีตอบว่า มีทุกอย่าง (สพฺพมตฺถิ).

เครื่องอุปกรณ์ทุกชนิดรวมอยู่ในกรุงสาวัตถีตลอดทุกกาล เพราะฉะนั้น อาศัยเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด จึงเรียกว่า สาวัตถี.

ใกล้กรุงสาวัตถีนั้น บทว่า สาวตฺถิยํ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่า ใกล้.

บทว่า วิหรติ (ประทับอยู่) นี้แสดงความพร้อมเพรียงแห่งการอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาการอยู่ด้วยอิริยาบถ การอยู่อันเป็นของทิพย์ ของพรหม ของพระอริยะโดยไม่พิเศษ แต่ในที่นี้แสดงถึงการประกอบด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอิริยาบถทั้งหลาย อันมีประเภท คือยืน เดิน นั่งและนอน ด้วยเหตุนั้น

 
  ข้อความที่ 54  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 283

พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ประทับยืน แม้ทรงดำเนิน แม้ประทับนั่ง แม้บรรทม ก็พึงทราบว่า วิหรติ (ประทับอยู่) นั่นแล (พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเปลี่ยนอิริยาบถหนึ่งด้วยอิริยาบถอื่น ทรงพักอยู่และเปลี่ยนแปลงอัตภาพไม่ให้ทรุดโทรม เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า ประทับอยู่).

ในบทว่า เชตวเน (ณ พระวิหารเชตวัน) นี้ ชื่อ เชตะ เพราะทรงชนะชนผู้เป็นศัตรูของพระองค์ หรือชื่อ เชตะ เพราะเกิดเมื่อพระราชาทรงชนะชนผู้เป็นศัตรูของพระองค์ หรือชื่อ เชตะ เพราะตั้งชื่ออย่างนี้แก่พระกุมาร เพราะทำให้เป็นมงคล.

ชื่อว่า วนะ เพราะชวนให้ปรารถนา ความว่า เพราะทำสัตว์ทั้งหลายให้ภักดีด้วยสมบัติของตน อธิบายว่า ยังความสิเนหาให้เกิดในตน หรือชื่อว่า วนะ เพราะเชิญชวน ความว่า ดุจขอร้องสัตว์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงมาใช้สอยเราเถิด ด้วยต้นไม้ กิ่งไม้ คบไม้ หน่อไม้ ใบไม้ที่ลมอ่อนๆ พัดให้ไหว อันมีกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดและมีเสียงนกดุเหว่าเป็นต้นที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม.

สวนของเจ้าเชต ชื่อว่า เชตวัน เพราะสวนนั้น พระราชกุมารพระนามว่า เชตะ ทรงปลูก ทำให้งอกงาม ทรงดูแลรักษาอย่างดี อนึ่ง เจ้าเชตนั้นเป็นเจ้าของสวนนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เชตวนํ (สวนของเจ้าเชต) ในเชตวันนั้น ชื่อว่า วนะ มีสองอย่าง คือที่ปลูกและที่เกิดเอง เชตวันนี้และเวฬุวันเป็นต้นเป็นป่าที่ปลูก อันธวันและมหาวันเป็นต้นป่าที่เกิดเอง.

บทว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม (อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี) มารดาบิดาตั้งชื่อว่า สุทัตต์ อนึ่ง เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความประสงค์ทุกประการ เพราะปราศจากความตระหนี่และเพราะเพียบพร้อมด้วยคุณมีกรุณาเป็นต้น ได้บริจาคก้อนข้าวแก่คนอนาถาตลอดกาล ด้วยเหตุนั้นจึงชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ ชื่อว่า อาราม เพราะเป็นที่มายินดีของสัตว์หรือโดยเฉพาะบรรพชิต บรรพชิตทั้งหลายมาจากที่ต่างๆ ย่อมยินดี ย่อมยินดียิ่ง เพราะ

 
  ข้อความที่ 55  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 284

อารามนั้นงามด้วยดอกไม้และผลไม้เป็นต้น และเพราะถึงพร้อมด้วยองค์แห่งเสนาสนะ ๕ อย่างมีไม่ไกลเกินไป ไม่ใกล้เกินไปเป็นต้น อธิบายว่า เป็นผู้ไม่รำคาญอาศัยอยู่ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อาราม เพราะนำชนผู้ไปในที่ต่างๆ มาในภายในตนแล้วให้ยินดีด้วยสมาบัติมีประการดังกล่าวแล้ว เพราะอารามนั้นอนาถบิณฑิกคหบดีซื้อด้วยเงิน ๑๘ โกฏิจากพระหัตถ์ของพระราชกุมารเชตะโดยปูลาดเต็มพื้นที่ แล้วให้สร้างเสนาสนะด้วยเงิน ๑๘ โกฏิ สร้างทางไปสู่วิหาร (ฉลองวิหาร) ด้วยเงิน ๑๘ โกฏิ แล้วมอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยบริจาคเงิน ๕๔ โกฏิด้วยประการฉะนี้ ฉะนั้นจึงเรียกว่า อารามของอนาถบิณฑิกะ ในอารามของอนาถบิณฑิกะนั้น.

อนึ่ง คำว่า เชตวเน ประกาศเจ้าของเดิม คำว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ประกาศเจ้าของหลัง ประโยชน์อะไรในการประกาศชนเหล่านั้น เป็นการนึกถึงทิฏฐานุคติของผู้ประสงค์บุญทั้งหลาย เจ้าเชตทรงบริจาคเงิน ๑๘ โกฏิ ที่ได้จากการขายพื้นที่สร้างซุ้มประตูและปราสาท และบริจาคต้นไม้มีค่าหลายโกฏิ อนาถบิณฑิกบริจาค ๕๔ โกฏิ ด้วยประการฉะนี้ ด้วยการประกาศชื่อชนเหล่านั้น ท่านพระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงว่า ผู้ใคร่บุญทั้งหลายย่อมทำบุญอย่างนี้ ย่อมชักชวนผู้ใคร่บุญแม้เหล่าอื่นในการนึกถึงทิฏฐานุคติ (ในการถือเอาเป็นแบบอย่าง) ของท่านเหล่านั้น.

ในข้อนั้นจะพึงมีผู้พูดว่า หากพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ก็ไม่ควรกล่าวว่า เชตวเน อนาถปิณฺทิกสฺส อาราเม ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ครั้นประทับอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ก็ไม่ควรกล่าวว่า สาวัตฺถิยํ ใกล้กรุงสาวัตถี เพราะสมัยเดียวไม่สามารถจะประทับอยู่ในที่สองแห่งได้ ไม่ควรเห็นอย่างนั้น เรา (ท่านพระสารีบุตร) ได้กล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่า บทว่า สาวตฺถิยํ เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถว่าใกล้ คือใกล้กรุงสาวัตถี.

 
  ข้อความที่ 56  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 285

เพราะฉะนั้น เหมือนฝูงโคทั้งหลายเที่ยวไปใกล้แม่น้ำคงคาและยมุนาเป็นต้นก็เรียกว่า ฝูงโคเที่ยวไปใกล้แม่น้ำคงคา เที่ยวไปใกล้แม่น้ำยมุนา ฉันใด แม้ในข้อนี้ก็ฉันนั้น เชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่นั้น ก็กล่าวว่า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้กรุงสาวัตถี เพราะคำว่า กรุงสาวัตถี ของบทนั้น เพื่อแสดงถึงโคจรคาม คำที่เหลือเพื่อแสดงถึงที่อยู่อันสมควรแก่บรรพชิต.

ในบทเหล่านั้น ท่านพระสารีบุตรแสดงถึงการทำความอนุเคราะห์คฤหัสถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประกาศชื่อกรุงสาวัตถี แสดงถึงการทำความอนุเคราะห์บรรพชิต ด้วยประกาศชื่อเชตวันเป็นต้น อนึ่ง ด้วยบทต้น (สาวัตถี) แสดงถึงการเว้นการประกอบอัตตกิลมถานุโยค เพราะได้รับปัจจัย ด้วยบทหลัง (เชตวัน) แสดงถึงอุบายเป็นเครื่องเว้นการประกอบกามสุขัลลิกานุโยค เพราะละวัตถุกาม.

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทก่อน (สาวัตถี) แสดงถึงการประกอบธรรมเทศนา ด้วยบทหลัง (เชตวัน) แสดงถึงการน้อมไปเพื่อวิเวก ด้วยบทก่อนแสดงถึงการเข้าถึงด้วยพระกรุณา ด้วยบทหลังแสดงถึงการเข้าถึงด้วยพระปัญญา ด้วยบทต้นแสดงถึงความเป็นผู้น้อมไปเพื่อยังประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยบทหลังแสดงถึงความไม่เข้าไปติดในการทำประโยชน์สุขเพื่อผู้อื่น ด้วยบทต้นแสดงถึงการอยู่ผาสุกมีการไม่สละสุขอันประกอบด้วยธรรมเป็นนิมิต ด้วยบทหลังแสดงถึงการอยู่ผาสุกมีการประกอบธรรมอันยอดเยี่ยมของมนุษย์ ด้วยบทต้นแสดงถึงความเป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่มนุษย์ทั้งหลาย ด้วยบทหลังแสดงถึงความเป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่ทวยเทพ ด้วยบทต้นแสดงถึงความที่พระองค์

 
  ข้อความที่ 57  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 286

อุบัติขึ้นในโลกเป็นผู้เจริญในโลก ด้วยบทหลังแสดงถึงความเป็นผู้ไม่ถูกโลกฉาบทา ด้วยบทต้นแสดงการชี้แจงถึงประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว เพราะพระบาลีว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลหนึ่ง คือใคร คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.

ด้วยบทหลังแสดงถึงการอยู่อันสมควรในที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติแล้ว จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติในสวน (ในป่า) ทั้งนั้น ทั้งโลกิยอุบัติและโลกุตรอุบัติ คือครั้งแรกทรงอุบัติ ณ ลุมพินีวัน ครั้งที่สองทรงอุบัติ ณ โพธิมณฑล ด้วยเหตุนั้น พึงทราบการประกอบความในบทนี้ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงถึงการประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในสวนทั้งนั้น.

บทว่า ตตฺร (ณ ที่นั้น) เป็นบทแสดงถึงเทศะและกาละ ท่านแสดงว่า ในสมัยที่ประทับอยู่ และในพระวิหารเชตวันที่ประทับอยู่ หรือแสดงถึงเทศะและกาละอันควรกล่าว จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่ทรงแสดงธรรมในเทศะหรือกาละอันไม่สมควร ดังตัวอย่างในข้อนี้ว่า ดูก่อนพาหิยะ ยังไม่ถึงเวลาก่อน.

บทว่า โข (แล) เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งอวธารณะ หรือในอรรถแห่งกาลต้น ซึ่งเป็นเพียงทำบทให้เต็ม.

บทว่า ภควา (พระผู้มีพระภาคเจ้า) คือแสดงถึงความเป็นผู้เคารพของโลก (เป็นคำแสดงถึงครูของโลก).

บทว่า ภิกฺขู (ภิกษุทั้งหลาย) เป็นคำกล่าวถึงบุคคลที่ควรฟังพระดำรัส อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ภิกฺขู นี้ พึงทราบอรรถแห่งคำโดยนัยมีอาทิว่า ชื่อว่า ภิกฺขู เพราะเป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกฺขู เพราะเป็นผู้ออกเที่ยวเพื่อขอ.

บทว่า อามนฺเตสิ (ตรัสเรียก)

 
  ข้อความที่ 58  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 287

คือตรัสเรียก ได้ตรัสให้รู้ (ตรัสเรียกขาน ตรัสเตือนให้ทราบ) นี้เป็นความในบทว่า อามนฺเตสิ นี้ แต่ในที่อื่น เป็นไปในความให้รู้บ้าง ในการเรียกบ้าง.

บทว่า ภิกฺขโว (ภิกษุทั้งหลาย) แสดงอาการตรัสเรียก ด้วยบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศถึงความประพฤติที่คบคนเลวและคนดี (เมื่อจะทรงประกาศถึงความประพฤติที่คนชั้นต่ำและคนชั้นสูงประพฤติกัน) ด้วยพระดำรัสอันสำเร็จด้วยการประกอบคุณ มีความเป็นผู้ขอเป็นปกติ ความเป็นผู้ขอเป็นธรรมดา และความเป็นผู้ทำความดีในการขอเป็นต้นของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงกระทำการข่มความเป็นผู้ฟุ้งซ่าน และความหดหู่ (ทรงกระทำการข่มความเป็นผู้ผยอง และความน้อยเนื้อต่ำใจ) อนึ่ง ด้วยบทว่า ภิกฺขโว นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำภิกษุเหล่านั้น ให้หันหน้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ ด้วยพระดำรัสอันเปี่ยมไปด้วยพระกรุณาอย่างกว้างขวาง พระหฤทัยและพระเนตรสุภาพ (พระเนตรที่ทอดลง) ทรงยังภิกษุเหล่านั้นให้เกิดความสนใจเพื่อจะฟังด้วยพระดำรัสแสดงความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกล่าวนั้นนั่นเอง อนึ่ง ด้วยบทว่า ภิกฺขโว นั้นทรงชักชวนภิกษุเหล่านั้น แม้ตั้งใจฟังด้วยดี ด้วยพระดำรัสอันเป็นประโยชน์ในการตรัสรู้ จริงอยู่ ความเป็นผู้ตั้งใจฟังด้วยดีเป็นสมบัติของพระศาสนา (ความสมบูรณ์แห่งคำสอนเนื่องด้วยการกระทำไว้ในใจในการตั้งใจฟังด้วยดี).

หากมีคำถามว่า เมื่อมีเทวดาและมนุษย์เหล่าอื่นอยู่ด้วย เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกเฉพาะภิกษุทั้งหลายเท่านั้นเล่า ตอบว่า เพราะภิกษุทั้งหลายเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นผู้นั่งใกล้ เป็นผู้เตรียมแล้วทุกเมื่อ และเป็นดุจภาชนะ อันที่จริง พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั่วไปแก่บริษัททั้งปวง อนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นผู้เจริญที่สุดในบริษัทเพราะเข้าไปถึงก่อน ชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐที่สุดเพราะเป็นผู้ดำเนินตามพระจริยาของพระศาสดา ตั้งแต่ความเป็นผู้ไม่ครองเรือนเป็นต้น และเพราะเป็นผู้รับคำสอนไว้ทั้งสิ้น ชื่อว่า เป็นผู้ใกล้เพราะเมื่อนั่ง ณ ที่นั้น ก็นั่งใกล้พระศาสดา ชื่อว่า เป็นผู้เตรียมไว้ทุกเมื่อเพราะเป็นผู้ท่องเที่ยวไปในสำนักของพระศาสดา และชื่อว่า เป็นดุจภาชนะของพระธรรมเทศนาเพราะเป็นผู้พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอน.

 
  ข้อความที่ 59  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 288

ในข้อนั้นจะพึงมีผู้พูดว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรม ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายก่อน ไม่ทรงแสดงธรรมไปเลยเพื่ออะไร เพื่อให้ตั้งสติ เพราะภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั่งคิดอย่างอื่นบ้าง จิตฟุ้งซ่านบ้าง พิจารณาธรรมบ้าง มนสิการกรรมฐานบ้าง ภิกษุเหล่านั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสเรียก แล้วทรงแสดงธรรมไปเลย ก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ว่า เทศนานี้ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร พึงถึงความฟุ้งซ่านหรือพึงถือเอาผิดๆ ด้วยเหตุนั้น เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นตั้งสติ จึงตรัสเรียกก่อนแล้วทรงแสดงธรรมในภายหลัง.

บทว่า ภทนฺเต (พระเจ้าข้า) นี้ เป็นคำแสดงความเคารพหรือเป็นการให้คำรับต่อพระศาสดา อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ภทนฺเต นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสว่า ภิกฺขโว (ภิกษุทั้งหลาย) ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ภทนฺเต ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกฺขโว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า ภทนฺเต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ภิกษุทั้งหลายให้คำรับว่า ภิกฺขโว ภิกษุทั้งหลายทูลให้คำรับว่า ภทนฺเต.

บทว่า เต ภิกฺขู (ภิกษุเหล่านั้น) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเรียก.

บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ (ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว) คือภิกษุทั้งหลายทูลรับการตรัสเรียกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า ภิกษุทั้งหลายหันหน้า ฟัง รับ ถือเอา.

บทว่า ภควา เอตทโวจ (พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส) คือพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรทั้งสิ้นนั้นที่ควรตรัสในบัดนี้.

อนึ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านพระสารีบุตรเถระกล่าวถึงนิทานใด อันประดับด้วยการอ้างถึงกาละ เทศะ ผู้แสดงและบริษัท เพื่อความสะดวก (เข้าใจได้ง่าย) แห่งพระสูตรนี้ อันส่องถึงความลึกซึ้งของเทศนาและญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ ดุจท่าน้ำอันเป็นภูมิภาคที่สะอาด

 
  ข้อความที่ 60  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 289

เกลื่อนกลาดด้วยทราย เช่นกับลาดไว้ด้วยตาข่ายแก้วมุกดา มีบันไดแก้ววิลาสโสภิตขจิตด้วยพื้นศิลาราบรื่น เพื่อข้ามไปได้สะดวก ณ สระโบกขรณี มีน้ำรสอร่อยใสสะอาดดาดาษไปด้วยดอกบัวและกอบัว ดุจบันไดงดงามรุ่งเรือง ผุดขึ้นด้วยแสงสว่างแห่งมวลแก้วมณี อันผูกติดไว้กับแผ่นกระดานอันละเอียดอ่อนทำด้วยงาและลดาทอง เพื่อขึ้นสะดวกยังปราสาทอันประเสริฐ ตกแต่งไว้อย่างรุ่งโรจน์ ล้อมด้วยฝาที่จัดไว้เป็นอย่างดีและเวทีอันวิจิตรดุจเพราะใคร่จะสัมผัสทางแห่งนักษัตร ดุจมหาทวารอันมีประตูและหน้าต่างไพศาล รุ่งโรจน์ โชติช่วง บริสุทธิ์ด้วยทอง เงิน แก้วมณี แก้วมุกดาและแก้วประพาฬเป็นต้น เพื่อเข้าไปสะดวกยังเรือนใหญ่ อันงดงามด้วยอิสริยสมบัติ อันโอฬาร ซึ่งพลุกพล่านไปด้วยชนในเรือนซึ่งมีเสียงไพเราะ ด้วยการพูด การหัวเราะเจือไปด้วยเสียงกระทบ มีกำไลมือและกำไลเท้าทองคำเป็นต้น การพรรณนาความแห่งนิทานนั้นสมบูรณ์แล้ว.

บทว่า ปญฺจ (๕) ในพระสูตรเป็นการกำหนดจำนวน.

บทว่า อิมานิ อินฺทริยานิ (อินทรีย์เหล่านี้) อินทรีย์ประการนี้ เป็นบทชี้แจงธรรมที่กำหนดไว้แล้ว อรรถแห่งอินทรีย์ ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.

บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรครั้นแสดงพระสูตรนี้แล้ว มีความประสงค์จะแสดงวิธีเจริญความบริสุทธิ์ (ความหมดจด) แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ดังที่ได้กล่าวไว้ในพระสูตรนี้ และความระงับอินทรีย์ที่เจริญแล้ว จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ (อินทรีย์ ๕ ประการนี้) อินทรีย์ ๕ เหล่านี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วิสุชฺฌนฺติ (ย่อมหมดจด) คือย่อมถึงความหมดจด (บริสุทธิ์).

บทว่า อสฺสทฺเธ (ผู้ไม่มีศรัทธา) คือผู้ปราศจากความเชื่อในพระรัตนตรัย.

บทว่า สทฺเธ (ผู้มีศรัทธา) คือผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย.

บทว่า เสวโต (สมาคม) คือ เสพด้วยจิต.

 
  ข้อความที่ 61  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 290

บทว่า ภชโต (คบหา) คือเข้าไปนั่งใกล้ (เข้าไปหา).

บทว่า ปยิรุปาสโต (นั่งใกล้) คือเข้าไปนั่งด้วยความเคารพ.

บทว่า ปาสาทนีเย สุตตนฺเต (พระสูตรอันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใส) คือพระสูตรปฏิสังยุต (อันประกอบด้วย) ด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยอันให้เกิดความเลื่อมใส.

บทว่า กุสีเต (ผู้เกียจคร้าน) ชื่อว่า กุสีทะ เพราะจมลงด้วยอาการเกียจคร้าน (อาการอันน่ารังเกียจ) กุสีทะ นั่นแล คือกุสีตะ (ผู้เกียจคร้าน) บุคคลผู้เกียจคร้านเหล่านั้น.

บทว่า สมฺมปฺปธาเน (สัมมัปปธาน ความเพียรชอบ) คือพระสูตรปฏิสังยุคด้วยความเพียรชอบอันให้สำเร็จกิจ ๔ อย่าง.

บทว่า มุฏฺสฺสติ (ผู้มีสติหลงลืม) คือผู้มีสติหายไป.

บทว่า สติปฏฺาเน (สติปัฏฐาน) คือพระสูตรอันทำให้ยิ่งด้วยสติปัฏฐาน (ที่ว่าด้วยสติปัฏฐาน).

บทว่า ฌานวิโมกฺเข (ฌานและวิโมกข์) คือพระสูตรอันทำให้ยิ่งด้วยจตุตถฌาน วิโมกข์ ๘ และวิโมกข์ ๓ อย่าง.

บทว่า ทุปฺปญฺเ (บุคคลปัญญาทราม) คือไม่มีปัญญา หรือชื่อว่า ทุปฺปญฺา เพราะเป็นผู้มีปัญญาทรามเพราะไม่มีปัญญา ซึ่งบุคคลผู้มีปัญญาทรามเหล่านั้น.

บทว่า คมฺภีราณจริยํ (ญาณจริยาอันลึกซึ้ง) คือพระสูตรปฏิสังยุตด้วยอริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น หรือเช่นกับญาณกถา.

บทว่า สุตฺตนฺตกฺขนฺเธ (จำนวนพระสูตร) คือส่วนแห่งพระสูตร.

บทว่า อสฺสทฺธิยํ (ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) ในบทมีอาทิว่า อสฺสทฺธิยํ คือความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ได้แก่ ความเป็นผู้ไม่เชื่อ บุคคลเห็นโทษในความไม่มีศรัทธา ละความไม่มีศรัทธา ย่อมเจริญสัทธินทรีย์ บุคคลเห็นอานิสงส์ในสัทธินทรีย์ เจริญสัทธินทรีย์ ย่อมละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้.

บทว่า โกสชฺชํ (ความเกียจคร้าน) คือความเป็นผู้เกียจคร้าน.

บทว่า ปมาทํ (ความประมาท) คือการอยู่ปราศจากสติ.

บทว่า อุทฺธจฺจํ คือความเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ได้แก่ ซัดจิตไป จิตฟุ้งซ่าน.

 
  ข้อความที่ 62  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 291

บทว่า ปหีนตฺตา (เพราะเป็นผู้ละแล้ว) คือเพราะเป็นผู้ละความไม่เชื่อเป็นต้นได้ด้วยการบำเพ็ญฌาน ด้วยสามารถแห่งอัปปนา.

บทว่า สุปฺปหีนตฺตา (เพราะความเป็นผู้ละดีแล้ว) คือเพราะความเป็นผู้ละความไม่เชื่อเป็นต้นแล้วด้วยดี ด้วยการบำเพ็ญวิปัสสนา ด้วยสามารถแห่งวุฏฐานคามินี.

บทว่า ภาวิตํ โหติ สุภาวิตํ (อันบุคคลเจริญแล้ว อบรมดีแล้ว) พึงประกอบตามลำดับดังที่กล่าวแล้วนั่นแล จริงอยู่ เพราะละด้วยสามารถธรรมตรงกันข้าม ด้วยวิปัสสนา จึงควรกล่าวว่า สุปฺปหีนตฺตา เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวว่า สุภาวิตํ (อบรมแล้ว) ก็ด้วยวิปัสสนา ไม่ใช่ด้วยฌาน อนึ่ง เพราะการสำเร็จภาวนาด้วยการละสิ่งที่ควรละ เป็นอันสำเร็จการละสิ่งที่ควรละด้วยความสำเร็จแห่งภาวนา ฉะนั้นท่านแสดงให้เป็นคู่กัน.

พึงทราบวินิจฉัยในปฏิปัสสัทธิวารดังต่อไปนี้ บทว่า ภาวิตานิเจว โหนฺติ สุภาวิตานิ จ (เป็นอินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้ว อบรมแล้ว) เพราะอินทรีย์ ๕ ที่บุคคลเจริญแล้วนั่นแล เป็นอินทรีย์ที่อบรมดีแล้ว.

บทว่า ปฏิปฺปสฺสทธานิ จ สุปฺปฏิปฺปสฺสทฺธานิ จ (ระงับแล้ว และระงับดีแล้ว) ท่านกล่าวถึงความที่อินทรีย์ ๕ ระงับแล้วนั่นแล เป็นอินทรีย์ที่ระงับดีแล้ว พึงทราบความที่อินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้วและระงับแล้ว ด้วยสามารถแห่งการเกิดกิจของมรรคในขณะแห่งผล.

บทว่า สมุจฺเฉทวิสุทฺธิโย (สมุจเฉทวิสุทธิ) ได้แก่ มรรควิสุทธินั่นเอง.

บทว่า ปฏิปฺปสฺสทฺธิวิสุทฺธิโย (ปฏิปัสสัทธิวิสุทธิ) ได้แก่ ผลวิสุทธินั่นเอง.

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เพื่อแสดงประกอบอินทรีย์มีวิธีดังกล่าวแล้วอย่างนั้น ด้วยสามารถแห่งการกบุคคล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กตีนํ ปุคฺคลานํ (บุคคลเท่าไร).

ในบทเหล่านั้น บทว่า ภาวิตินฺทฺริยวเสน พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทโธ ด้วยสามารถความเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว ความว่า ผู้ตรัสรู้ คือผู้รู้อริยสัจ ๔

 
  ข้อความที่ 63  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 292

ด้วยการฟังธรรมกถาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นคำพูดถึงเหตุแห่งความเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว เพราะว่าในขณะแห่งผล ชื่อว่า เป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว เพราะเป็นผู้ตรัสรู้มรรคด้วยสามารถบรรลุภาวนา.

พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตผลเท่านั้นให้วิเศษออกไป เพราะพระอริยบุคคลทั้งหลายแม้ ๘ ก็เป็นพระสาวกของพระตถาคต จึงกล่าวว่า ขีณาสโว (พระขีณาสพ) เพราะพระขีณาสพเท่านั้น ท่านกล่าวว่า ภาวิตินฺทฺริโย (ผู้เจริญอินทรีย์แล้ว) ด้วยการสำเร็จกิจทั้งปวง ส่วนพระอริยบุคคลแม้นอกนั้น ก็เป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้วเหมือนกันโดยปริยาย เพราะสำเร็จกิจด้วยมรรคนั้นๆ เพราะฉะนั้น ในขณะแห่งผล ๔ ท่าน จึงกล่าวว่า อินทรีย์ ๕ เป็นอินทรีย์อันบุคคลเจริญแล้วอบรมดีแล้ว อนึ่ง เพราะอินทรีย์ภาวนายังมีอยู่นั่นเอง แก่พระอริยบุคคลเหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่อุปริมรรค (มรรคเบื้องสูง) ฉะนั้น พระอริยบุคคลเหล่านั้น จึงไม่ชื่อว่า เป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้วโดยตรง.

บทว่า สยมภูตฏฺเน (ด้วยอรรถว่า ตรัสรู้เอง) คือเป็นผู้ไม่มีอาจารย์ เป็น ภควา ด้วยอรรถเป็นแล้ว เกิดแล้วในอริยชาตินั่นแหละ จริงอยู่ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ก็เป็นพระสยัมภูในขณะผลด้วยอำนาจแห่งความสำเร็จภาวนา ชื่อว่า ภาวิตินฺทฺริโย (เจริญอินทรีย์แล้ว) ด้วยอรรถว่า เป็นผู้รู้เองในขณะแห่งผล ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อปฺปเมยฺยฏฺเน (ด้วยอรรถว่า มีพระคุณประมาณไม่ได้) คือด้วยอรรถว่า ไม่สามารถประมาณได้ เพราะทรงประกอบด้วยอนันตคุณ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า มีพระคุณประมาณไม่ได้ เพราะทรงสำเร็จด้วยภาวนาในขณะแห่งผล เพราะฉะนั้นแล จึงเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว.

จบอรรถกถาปฐมสุตตันตนิเทศ

 
  ข้อความที่ 64  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 293

๒. อรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะยกพระสูตรอื่นอีก แล้วชี้แจงถึงแบบอย่างแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย (การกำหนดอินทรีย์) จึงแสดงพระสูตรมีอาทิว่า ปญฺจิมานิ ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้).

ในบทเหล่านั้น บทว่า เย หิ เกจิ (ก็เหล่าใดเหล่าหนึ่ง) คือสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นบทถือเอาโดยไม่มีเหลือ หิ อักษรเป็นนิบาตลงในอรรถเพียงให้เต็มบท (บทสมบูรณ์).

บทว่า สมณา วา พฺราหฺมณา วา (สมณะหรือพราหมณ์) ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งโวหารของโลก.

บทว่า สมุทยํ (ซึ่งเหตุเกิด) เหตุเกิด คือปัจจัย.

บทว่า อตฺถงฺคมํ (ความดับ) คือถึงความไม่มีแห่งอินทรีย์ที่เกิดแล้ว หรือความไม่เกิดแห่งอินทรีย์ที่ยังไม่เกิด.

บทว่า อสฺสาทํ (คุณ) คืออานิสงส์.

บทว่า อาทีนวํ (โทษ) ได้แก่ โทษ ( โทสํ ).

บทว่า นิสฺสรณํ (อุบายเครื่องสลัดออก) คืออุบายเครื่องนำออกไป.

บทว่า ยถาภูตํ (ตามความเป็นจริง) ได้แก่ ตามสภาพจริง.

บทว่า สมเณสุ (ในหมู่สมณะ) คือผู้สงบบาป ในท่านผู้มีบาปสงบแล้ว.

บทว่า สมณสมฺมตา (นับว่าเป็นสมณะ) ได้แก่ เราตถาคตไม่รับรองว่าเป็นสมณะ เมื่อกล่าวว่า สมฺมตา (นับ) ด้วยอำนาจแห่งปัจจุบันกาล เป็นอันกล่าวฉัฏฐีวิภัตติในบทว่า เม (เรา) นี้ ด้วยอำนาจแห่งลักษณะของศัพท์.

บทว่า พฺราหฺมเณสุ (ในหมู่พราหมณ์) คือท่านผู้ลอยบาปแล้ว.

บทว่า สามญฺตฺถํ (ซึ่งสามัญผล) คือประโยชน์ของความเป็นสมณะ (ผลแห่งความเป็นสมณะ).

บทว่า พฺรหฺมญฺตฺถํ (พรหมัญผล) คือประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ (ผลแห่งความเป็นพราหมณ์) แม้ด้วยบททั้งสอง ก็เป็นอันท่านกล่าวถึง อรหัตผลนั่นเอง.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สามญฺตฺถํ ได้แก่ ผล ๓ เบื้องต่ำ.

บทว่า พฺรหฺมญฺตฺถํ ได้แก่ อรหัตผล เพราะทั้งสามัญผลและพรหมัญผล ก็คืออริยมรรคนั่นเอง.

 
  ข้อความที่ 65  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 294

บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม (ในปัจจุบัน) คือในอัตภาพที่ประจักษ์อยู่นี่แล.

บทว่า สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา (ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งเอง) คือทำให้ประจักษ์ด้วยญาณอันยิ่งด้วยตนเอง.

บทว่า อุปสมฺปชฺช (เข้าถึง) คือถึงแล้ว หรือให้สำเร็จแล้ว.

พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศดังต่อไปนี้ ท่านพระสารีบุตรเถระถามถึงจำนวนประเภทของเหตุเกิดแห่งอินทรีย์เป็นต้นก่อน แล้วแก้จำนวนของประเภทต่อไป.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อสีติสตํ (๑๘๐) คือ ๑๐๐ ยิ่งด้วย ๘๐. โยชนาแก้ว่า ด้วยอาการอันบัณฑิตกล่าวว่า ๑๘๐.

พึงทราบวินิจฉัยในคณนานิเทศ อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการถามจำนวนประเภทอีก ดังต่อไปนี้.

บทว่า อธิโมกฺขตฺถาย (เพื่อประโยชน์แก่การน้อมใจเชื่อ) คือเพื่อประโยชน์แก่การน้อมใจเชื่อ เพื่อประโยชน์แก่การเชื่อ.

บทว่า อาวชฺชนาย สมุทโย (เหตุเกิดแห่งความคำนึงถึง) คือความเกิดแห่งมโนทวาราวัชชนจิต สทฺธินฺทฺริยสฺส สมุทโย (เหตุเกิดแห่งสัทธินทรีย์) คือการคำนึงถึงส่วนเบื้องต้นว่า เราจักยังศรัทธาให้เกิดเป็นอุปนิสสยปัจจัยแห่งสัทธินทรีย์ การคำนึงถึงการแล่นไป (ชวนะ) แห่งสัทธินทรีย์ เป็นอนันตรปัจจัยแห่งชวนจิตดวงแรก เป็นอุปนิสสยปัจจัยแห่งชวนจิตดวงที่ ๒ เป็นต้น.

บทว่า อธิโมกฺขวเสน (ด้วยสามารถความน้อมใจเชื่อ) คือด้วยสามารถความน้อมใจเชื่ออันสัมปยุตด้วยฉันทะ.

บทว่า ฉนฺทสฺส สมุทโย (เหตุเกิดแห่งฉันทะ) คือเหตุเกิดแห่งธรรมฉันทะที่เป็นเยวาปนกธรรม (* ธรรมแม้อื่นใด หมายถึง ธรรมอย่างอื่นที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น) ที่สัมปยุตด้วยอธิโมกข์อันเกิดขึ้นเพราะการคำนึงถึงส่วนเบื้องต้นเป็นปัจจัย อนึ่ง เหตุเกิดนั้นเป็นปัจจัยแห่งสัทธินทรีย์ด้วยสามารถแห่งสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย ด้วยสามารถแห่งอธิปติปัจจัยในกาลที่มีฉันทะเป็นใหญ่ เหตุเกิดนั้นนั่นแหละเป็นปัจจัยแห่งธรรมฉันทะที่ ๒ ด้วยสามารถแห่งอนันตรปัจจัย

 
  ข้อความที่ 66  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 295

สมนันตรปัจจัย อนันตรูปนิสสยปัจจัย อาเสวนปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย โดยนัยนี้แลพึงทำการประกอบแม้มนสิการ.

อันที่จริง ในบทว่า มนสิกาโร (มนสิการ) นี้ก็อย่างเดียวกัน คือมีมนสิการเป็นเช่นเดียวกัน อันมีการแล่นไปเป็นลักษณะ มนสิการนั้นไม่เป็นอธิปติปัจจัย ในสัมปยุตธรรมทั้งหลาย พึงทราบว่า การถือเอาเหตุเกิดทั้งสองเหล่านี้ (* ฉันทะ มนสิการ) ว่า เพราะเป็นพลวปัจจัย (ปัจจัยที่มีกำลัง).

บทว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส วเสน (ด้วยอำนาจแห่งสัทธินทรีย์) คือด้วยอำนาจสัทธินทรีย์อันถึงความเป็นอินทรีย์ เพราะความเจริญยิ่งแห่งภาวนา.

บทว่า เอกตฺตุปฏฺานํ (ความปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียว) คือฐานะอันยิ่งใหญ่เพราะไม่หวั่นไหวในอารมณ์เดียว ย่อมเป็นปัจจัยแห่งสัทธินทรีย์สูงขึ้นไป.

พึงทราบแม้อินทรีย์ที่เหลือ โดยนัยดังกล่าวแล้วในสัทธินทรีย์นั่นแล.

อินทรีย์หนึ่งๆ มีเหตุเกิดอย่างละ ๔ เพราะเหตุนั้น อินทรีย์ ๕ จึงมีเหตุเกิด ๒๐ ในเหตุเกิดหนึ่งๆ ของเหตุเกิด ๔ ท่านประกอบเข้ากับอินทรีย์ ๕ แล้วกล่าวเหตุเกิด ๒๐.

อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า พึงเห็นเหตุเกิด ๒๐ ที่ ๑ ด้วยสามารถแห่งมรรค (ทางดำเนิน) ต่างๆ เหตุเกิด ๒๐ ที่ ๒ ด้วยสามารถแห่งมรรค (ทางดำเนิน) อย่างเดียว รวมเป็นอาการ ๔๐ ด้วยประการฉะนี้.

แม้อัตถังคมวาร (ความดับ) ก็พึงทราบโดยนัยนี้แล อนึ่ง ความดับนั้น เป็นความดับการได้เฉพาะอินทรีย์ที่ยังไม่ได้ ของผู้ไม่ขวนขวายการเจริญอินทรีย์ ชื่อว่า ดับการได้ ความเสื่อมจากการได้ของผู้เสื่อมจากการเจริญอินทรีย์ ชื่อว่า ดับ ความสงบระงับของผู้บรรลุผลแล้ว ชื่อว่า ดับ.

บทว่า เอกตฺตํ อนุปฏฺานํ (ความไม่ปรากฏเป็นธรรมอย่างเดียว) คือความไม่ปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียว.

 
  ข้อความที่ 67  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 296

อรรถกถาอัสสาทนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในอัสสาทนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า อสฺสทฺธิยสฺส อนุปฏฺานํ (ความไม่ปรากฏแห่งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) คือเว้นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา คบบุคคลผู้มีศรัทธา พิจารณาปสาทนียสูตรและทำโยนิโสมนสิการในพระสูตรนั้นให้มาก ชื่อว่า ความไม่ปรากฏแห่งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา.

ในบทว่า อสฺสทฺธิยปริฬาหสฺส อนุปฏฺานํ (ความไม่ปรากฏแห่งความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) นี้ คือเมื่อพูดถึงศรัทธาเป็นไปแก่คนไม่มีศรัทธา ความทุกข์โทมนัสย่อมเกิด นี้ชื่อว่า ความเร่าร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา.

บทว่า อธิโมกฺขจริยาย เวสารชฺชํ (ความแกล้วกล้าแห่งความประพฤติด้วยความน้อมใจเชื่อ) คือความเป็นผู้แกล้วกล้าด้วยความเป็นไปแห่งศรัทธาของผู้ถึงความชำนาญด้วยสามารถแห่งวัตถุอันเป็นศรัทธา หรือด้วยภาวนา.

บทว่า สนฺโต จ วิหาราธิคโม (ความสงบและการบรรลุสุขวิหารธรรม) คือการได้สมถะหรือวิปัสสนา.

คำว่า โสมนัส ในบทว่า สุขํ โสมนสฺสํ (ความสุขความโสมนัส) นี้ เพื่อแสดงถึงความสุขทางใจ แม้ความสุขทางกายก็ย่อมได้แก่กายอันสัมผัสด้วยรูปประณีตที่เกิดขึ้นเพราะสัทธินทรีย์ เพราะความสุขโสมนัสเป็นประธานและเป็นคุณ ท่านจึงกล่าวให้พิเศษว่า สุขและโสมนัสนี้เป็นคุณแห่งสัทธินทรีย์.

โดยนัยนี้พึงทราบประกอบแม้คุณแห่งอินทรีย์ที่เหลือ.

จบอรรถกถาอัสสาทนิเทส

 
  ข้อความที่ 68  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 297

อรรถกถาอาทีนวนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในอาทีนวนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า อนิจฺจฏฺเน (เพราะอรรถว่า ไม่เที่ยง) คือเพราะอรรถว่า สัทธินทรีย์ไม่เที่ยง ท่านกล่าวว่า สัทธินทรีย์นั้นมีอรรถว่า ไม่เที่ยง เป็นโทษของสัทธินทรีย์.

แม้ในสองบทนอกนี้ (เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา) ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

เหตุเกิด ความดับ คุณและโทษเหล่านี้ พึงทราบว่า เป็นของอินทรีย์อันเป็นโลกิยะนั่นเอง.

จบอรรถกถาอาทีนวนิเทศ

อรรถกถานิสสรณนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในนิสสรณนิเทศดังต่อไปนี้.

ในบทว่า อธิโมกฺขฏฺเน (ด้วยอรรถว่า ความน้อมใจเชื่อ) เป็นอาทิ ท่านทำอย่างละ ๕ ในอินทรีย์หนึ่งๆ แล้วแสดงอินทรีย์ ๕ มีอุบายเป็นเครื่องสลัดออก ๒๕ ด้วยสามารถมรรคแห่งผล.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตโต ปณีตตรสทฺธินฺทฺริยสฺส ปฏิลาภา (แต่การได้สัทธินทรีย์ที่ประณีตกว่านั้น) คือด้วยสามารถการได้สัทธินทรีย์ที่ประณีตกว่าในขณะแห่งมรรค มากกว่าสัทธินทรีย์ที่เป็นไปแล้วในขณะแห่งวิปัสสนานั้น.

บทว่า ปุริมตรสทฺธินฺทฺริยา นิสฺสฏํ โหติ (สลัดออกไปจากสัทธินทรีย์ที่มีอยู่ก่อน) คือสัทธินทรีย์ในขณะแห่งมรรคนั้นออกไปแล้วจากสัทธินทรีย์ที่เป็นไปแล้วในขณะแห่งวิปัสสนาที่มีอยู่ก่อน โดยนัยนี้แหละพึงประกอบแม้สัทธินทรีย์ในขณะแห่งผล แม้อินทรีย์ที่เหลือในขณะทั้งสองนั้น.

 
  ข้อความที่ 69  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 298

บทว่า ปพฺพภาเค ปฺจหิ อินฺทฺริเยหิ (จากอินทรีย์ ๕ ในส่วนเบื้องต้น) คืออุบายเป็นเครื่องสลัดออก ๘ ด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ มีปฐมฌานเป็นต้น จากอินทรีย์ ๕ ในอุปจารแห่งปฐมฌาน อุบายเป็นเครื่องสลัดออก ๑๘ ด้วยสามารถแห่งมหาวิปัสสนา ๑๘ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น อุบายเป็นเครื่องสลัดออกที่เป็นโลกุตระ ๘ ด้วยสามารถโสดาปัตติมรรคเป็นต้น.

ท่านแสดงนิสสรณะ (เครื่องสลัดออก) ๓๔ ด้วยสามารถแห่งฌานสมาบัติ มหาวิปัสสนา มรรคและผล โดยการก้าวล่วงไปแห่งอินทรีย์ก่อนๆ ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง บทว่า เนกฺขมฺเม ปญฺจินฺทฺริยานิ (อินทรีย์ ๕ ในเนกขัมมะ) ท่านแสดงนิสสรณะ ๓๗ โดยสิ่งเป็นปฏิปักษ์ด้วยสามารถการละสิ่งเป็นปฏิปักษ์ ในบทนั้น ท่านกล่าวนิสสรณะ ๗ ในธรรม ๗ มีเนกขัมมะเป็นต้นด้วยสามารถแห่งอุปจารภูมิ แต่ท่านมิได้กล่าวถึงผล เพราะไม่มีการละธรรมที่เป็นปฏิปักษ์.

บทว่า ทิฏฺเกฺฏเหิ (กิเลสอันตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับทิฏฐิ) กิเลสชื่อว่า ทิฏเกฏฺา เพราะตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับทิฏฐิ เพราะตั้งอยู่ในบุคคลคนหนึ่งพร้อมกับทิฏฐิ จนกว่าจะถึงโสดาปัตติมรรค (จากกิเลส) ซึ่งอยู่ในฐานเดียวกันกับทิฏฐิเหล่านั้น.

บทว่า โอฬาริเกหิ (จากกิเลสส่วนหยาบๆ) คือจากกามราคะและพยาบาทอันหยาบ.

บทว่า อณุสหคเตหิ (จากกิเลสส่วนละเอียด) คือจากกามราคะและพยาบาทนั้นแหละอันเป็นส่วนละเอียด.

บทว่า สพฺพกิเลเสหิ (จากกิเลสทั้งปวง) คือจากกิเลสมีรูปราคะเป็นต้น เพราะเมื่อละกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว ก็เป็นอันละกิเลสทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพกิเลเสหิ แต่ในนิเทศนี้ บททั้งหลายที่มีเนื้อความยังมิได้กล่าวไว้ ก็มีเนื้อความดังได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.

บทว่า สพฺเพสฺเว ขีณาสวานํ ตตฺถ ตตฺถ ปญฺจินฺทฺริยานิ (อินทรีย์ ๕ ในธรรมนั้นๆ อันพระขีณาสพทั้งปวงสลัดออกแล้ว) คืออินทรีย์ ๕ ในฐานะนั้นๆ ในบรรดาฐานะทั้งหลายที่กล่าวไว้แล้วในก่อน มีอาทิว่า

 
  ข้อความที่ 70  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 299

อธิโมกฺขฏฺเน (ด้วยอรรถว่า ความน้อมใจเชื่อ) เป็นคุณชาติอันพระขีณาสพทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายสลัดออกแล้วจากฐานะนั้นๆ ตามที่ประกอบไว้ ในวาระนี้ ท่านกล่าวถึงนัยที่ได้กล่าวแล้วครั้งแรก ด้วยสามารถแห่งพระขีณาสพตามที่ประกอบไว้.

ก็นิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องสลัดออก) เหล่านี้มี ๑๘๐ เป็นอย่างไร ท่านอธิบายไว้ดังนี้ ในปฐมวารมีนิสสรณะทั้งหมด ๙๖ คือท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งมรรคและผล ๒๕ ด้วยการก้าวล่วงไป (สูงขึ้นไป) ๓๔ ด้วยอำนาจการเป็นปฏิปักษ์ ๓๗ ในทุติยวารเมื่อนำนิสสรณะออกเสีย ๑๒ ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพทั้งหลาย นิสสรณะเหล่านี้ ก็เป็น ๘๔ ด้วยประการฉะนี้ นิสสรณะก่อน ๙๖ และนิสสรณะเหล่านี้ ๘๔ จึงรวมเป็นนิสสรณะ ๑๘๐.

ก็นิสสรณะ ๑๒ อันพระขีณาสพพึงนำออกเป็นไฉน นิสสรณะที่พระขีณาสพพึงนำออก ๑๒ เหล่านี้ คือบรรดานิสสรณะที่กล่าวแล้วโดยการก้าวล่วง นิสสรณะ ๘ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งมรรคและผล บรรดานิสสรณะที่กล่าวแล้วโดยเป็นปฏิปักษ์ นิสสรณะ ๔ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งมรรค.

หากถามว่า เพราะเหตุไร พระขีณาสพพึงนำนิสสรณะที่กล่าวแล้วด้วยสามารถแห่งอรหัตผลออก ตอบว่า เพราะได้นิสสรณะ ๒๕ ที่กล่าวไว้ก่อนทั้งหมดด้วยสามารถแห่งมรรคและผล จึงเป็นอันท่านกล่าวนิสสรณะด้วยสามารถแห่งอรหัตผลนั่นเอง ก็ผลสมาบัติเบื้องบนๆ ย่อมไม่เข้าถึงผลสมาบัติเบื้องล่างๆ เพราะฉะนั้น จึงมิได้ผลแม้ ๓ ในเบื้องล่าง อนึ่ง ฌานสมาบัติ วิปัสสนาและเนกขัมมะเป็นต้น พระขีณาสพย่อมได้ด้วยสามารถแห่งกิริยาจิต อินทรีย์ ๕ เหล่านี้สลัดออกไปจากธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ เพราะธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหลายสงบระงับก่อนแล้ว ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถานิสสรณนิเทศ

จบอรรถกถาทุติยสุตตันตนิเทศ

 
  ข้อความที่ 71  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 300

๓. อรรถกถาตติยสุตตันตนิเทศ

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะยกพระสูตรอื่นอีก แล้วชี้แจงถึงแบบอย่างของอินทรีย์ (การกำหนดอินทรีย์) จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปญฺจิมานิ ภิกฺขเว (ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้) ดังนี้.

อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่า โสต (โสตะ) ในบทนี้ว่า โสตาปตฺติยงฺเคสุ (ในโสตาปัตติยังคะ) การถึงการบรรลุอย่างสมบูรณ์ซึ่งโสตะ ชื่อว่า โสตาปตฺติ (การแรกถึงกระแสธรรม) องค์ คือสัมภาระแห่ง โสตาปตฺติ ชื่อว่า โสตาปตฺติยังฺคานิ (องค์แห่งการแรกถึงกระแสธรรม) ได้แก่ องค์แห่งโสตาปัตติ องค์แห่งการได้ในส่วนเบื้องต้นโดยความเป็นพระโสดาบัน โสดาปัตติยังคะ ๔ อย่างเหล่านี้ คือการคบสัตบุรุษเป็นโสดาปัตติยังคะ ๑ การฟังสัทธรรมเป็นโสดาปัตติยังคะ ๑ โยนิโสมนสิการเป็นโสดาปัตติยังคะ ๑ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นโสดาปัตติยังคะ ๑ เป็นองค์แห่งการได้ส่วนเบื้องต้น เพราะความเป็นพระโสดาบัน อาการที่เหลือ กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.

อนึ่ง บทนี้ท่านกล่าวเพื่อให้เห็นว่า อินทรีย์เหล่านี้เป็นใหญ่ในวิสัยของตน เปรียบเหมือนเศรษฐีบุตร ๔ คน เมื่อสหายมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่ ๕ เดินไปตามถนนด้วยคิดว่า จักเล่นนักษัตร ครั้นไปถึงเรือนของเศรษฐีบุตรคนที่ ๑ อีก ๔ คนนอกนั้นนั่งเฉย ผู้เป็นเจ้าของเรือนเท่านั้น สั่งว่า พวกเจ้าจงให้ขาทนียะโภชนียะแก่สหายเหล่านี้ พวกเจ้าจงให้ของหอม ดอกไม้และเครื่องประดับเป็นต้นแก่สหายเหล่านี้ แล้วเดินตรวจตราไปในเรือน ครั้นไปถึงเรือนคนที่ ๒ ๓ ๔ อีก ๔ คนนอกนั้นนั่งเฉย ผู้เป็นเจ้าของเรือนเท่านั้น สั่งว่า พวกเจ้าจงให้ขาทนียะโภชนียะแก่สหายเหล่านี้ พวกเจ้าจงให้ของหอม ดอกไม้และเครื่องประดับเป็นต้นแก่สหาย แล้วเดินตรวจตราไปใน

 
  ข้อความที่ 72  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 301

เรือน ครั้นไปถึงพระราชมณเฑียรของพระราชาภายหลังทั้งหมด พระราชา แม้จะเป็นใหญ่ในที่ทั้งปวงก็จริง ถึงดังนั้นในกาลนี้ก็ยังรับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้ ขาทนียะ โภชนียะแก่สหายเหล่านี้ จงให้ของหอม ดอกไม้ และเครื่องประดับ แก่สหายเหล่านั้น แล้วทรงดำเนินตรวจตราพระราชมณเฑียรของพระองค์ ฉันใด เมื่ออินทรีย์มีหมวด ๕ มีศรัทธาเป็นต้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้เกิดในอารมณ์เดียวกัน ก็เป็นดุจเมื่อสหายเหล่านั้นเดินไปตามถนนร่วมกัน ครั้นถึงเรือนคนที่ ๑ อีก ๔ คนนั่งนิ่ง เจ้าของเรือนเท่านั้นเดินตรวจตรา ฉันใด สัทธินทรีย์มีลักษณะน้อมใจเชื่อ เพราะบรรลุโสดาปัตติยังคะ ย่อมเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ฉันนั้น อินทรีย์ที่เหลือย่อมคล้อยตามสัทธินทรีย์ไป.

ครั้นถึงเรือนคนที่ ๒ อีก ๔ คนนอกนั้นนั่งนิ่ง เจ้าของเรือนเท่านั้นเดินตรวจตรา ฉันใด วิริยินทรีย์เท่านั้นมีลักษณะประคองไว้ เพราะบรรลุสัมมัปปธาน ย่อมเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ฉันนั้น อินทรีย์ที่เหลือย่อมคล้อยตามวิริยินทรีย์ไป.

ครั้นถึงเรือนคนที่ ๓ อีก ๔ คนนอกนั้นนั่งนิ่ง เจ้าของเรือนเท่านั้นเดินตรวจตรา ฉันใด สตินทรีย์เท่านั้นมีลักษณะตั้งมั่น (ปรากฏ * ปรากฏตามความเป็นจริง) เพราะบรรลุสติปัฏฐาน ย่อมเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ฉันนั้น อินทรีย์ที่เหลือย่อมคล้อยตามสตินทรีย์ไป.

ครั้นถึงเรือนคนที่ ๔ อีก ๔ คนนอกนี้นั่งเฉย เจ้าของเรือนเท่านั้นเดินตรวจตรา ฉันใด สมาธินทรีย์เท่านั้นมีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน เพราะบรรลุฌาน ย่อมเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ฉันนั้น อินทรีย์ที่เหลือย่อมคล้อยตามสมาธินทรีย์ไป.

แต่ครั้นไปถึงพระราชมณเฑียรของพระราชาภายหลังทั้งหมด อีก ๔ คนนั่งเฉย พระราชาเท่านั้นทรงดำเนินตรวจตรา ฉันใด ปัญญินทรีย์เท่านั้นมีลักษณะรู้ทั่ว เพราะบรรลุอริยสัจ ย่อมเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ฉันนั้น อินทรีย์ที่เหลือย่อมคล้อยตามปัญญินทรีย์ไป ด้วยประการฉะนี้.

 
  ข้อความที่ 73  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 302

อรรถกถาปเภทคณนนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในปเภทคณนนิเทศ อันเป็นเบื้องต้นแห่งคำถามถึงจำนวนประเภทแห่งพระสูตร ดังต่อไปนี้.

บทว่า สปฺปุริสสํเสเว (คือการคบสัตบุรุษ) ได้แก่ ในการคบคนดีโดยชอบ.

บทว่า อธิโมกฺขาธิปเตยฺยฏฺเน (ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ในการน้อมใจเชื่อ) คือด้วยอรรถว่า ศรัทธาเป็นใหญ่ในอินทรีย์ที่เหลือ กล่าวคือ น้อมใจเชื่อ อธิบายว่า ด้วยอรรถว่า เป็นหัวหน้าอินทรีย์ที่เหลือ.

บทว่า สทฺธมฺมสฺสวเน (คือการฟังสัทธรรมของท่าน) ได้แก่ ธรรมของสัตบุรุษหรือธรรมอันงาม หรือชื่อว่า สทฺธมฺม เพราะเป็นธรรมงาม ในการฟังสัทธรรมของท่านนั้น.

บทว่า โยนิโสมนสิกาเร คือการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย) ได้แก่ การทำไว้ในใจโดยอุบาย.

ในบทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา (คือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) นี้ พึงทราบความดังนี้ ธรรมที่เข้าถึงโลกุตรธรรม ๙ ชื่อว่า ธมฺมานุธมฺม (ธัมมานุธัมมะ) การปฏิบัติ คือการถึง (การบำเพ็ญ) ซึ่งธัมมานุธัมมะ อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ชื่อว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ (การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) แม้ใน สัมมัปปธาน เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

จบอรรถกถาปเภทคณนนิเทศ

 
  ข้อความที่ 74  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 303

อรรถกถาจริยาวาร

แม้ในจริยาวาร ก็พึงทราบความโดยนัยนี้เหมือนกัน ท่านกล่าวปฐมวาร ด้วยสามารถแห่งเวลาเกิดขึ้นแห่งอินทรีย์ทั้งหลายอย่างเดียว ท่านกล่าวจริยาวาร ด้วยสามารถแห่งเวลาเสพและด้วยสามารถแห่งเวลาบริบูรณ์ ซึ่งอินทรีย์ทั้งหลายที่เกิดแล้ว จริงอยู่ คำว่า จริยา ปกติ อุสฺสนฺนตา (จริยา ปกติ ความมากขึ้น) โดยความก็เป็นอันเดียวกัน.

จบอรรถกถาจริยาวาร

อรรถกถาจารวิหารนิเทศ

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงแบบอย่าง (การกำหนด) ของอินทรีย์โดยปริยายอื่นอีก ด้วยสามารถแห่งการชี้แจงความประพฤติและวิหารธรรมอันสัมพันธ์กับจริยานั่นเอง จึงยกหัวข้อว่า จาโร จ วิหาโร จ (ความประพฤติและวิหารธรรม) เป็นอาทิ แล้วกล่าวชี้แจงหัวข้อนั้น ในหัวข้อนั้นพึงทราบความสัมพันธ์ของหัวข้อว่า เหมือนอย่างว่า สพรหมจารีผู้รู้แจ้ง พึงกำหนดไว้ในฐานะที่ลึกตามที่ประพฤติ ตามที่อยู่ (คือเชื่อมั่นบุคคลผู้ประพฤติอยู่ ผู้เป็นอยู่ในฐานะที่ลึกซึ้งกว่า) ว่า ท่านผู้นี้บรรลุแล้ว หรือว่า จักบรรลุเป็นแน่ ฉันใด ความประพฤติและวิหารธรรมของผู้ถึงพร้อมด้วยอินทรีย์ก็ฉันนั้น อันสพรหมจารีผู้รู้แจ้ง ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว.

พึงทราบวินิจฉัยในอุเทศและนิเทศดังต่อไปนี้ ความประพฤติ ( จาโร ) นั่นแหละ คือจริยา เพราะคำว่า จาโร จริยา โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น

 
  ข้อความที่ 75  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 304

ในนิเทศแห่งบทว่า จาโร ท่านจึงกล่าวว่า จริยา.

บทว่า อิริยาปถจริยา คือความประพฤติของอิริยาบถ ได้แก่ความเป็นไป อธิบายว่า ความเป็นไปแห่งอิริยาบถทั้งหลาย แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ส่วนความต่างมีดังนี้ อายตนจริยา ก็คือความประพฤติในอายตนะ กล่าวคือความประพฤติแห่งสติสัมปชัญญะในอายตนะทั้งหลาย.

บทว่า ปตฺติ (ปัตติ) คือผล ท่านกล่าวว่า ปตฺติ เพราะถึงผลเหล่านั้น จริงอยู่ ผลเหล่านั้นอันบุคคลย่อมบรรลุ จึงเรียกว่า ปัตติ เป็นประโยชน์ในปัจจุบันและภพหน้าของสัตวโลก นี้เป็นความพิเศษของบทว่า โลกตฺถ (โลกัตถะ) เป็นประโยชน์แก่โลก.

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงภูมิของจริยาเหล่านั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า จตูสุ อิริยาปเถสุ ในอิริยาบถ ๔ ทั้งหลาย.

บทว่า สติปฏฺาเนสุ (ในสติปัฏฐาน) คืออารมณ์อันเป็นสติปัฏฐาน แม้เมื่อกล่าวถึงสติปัฏฐาน ท่านก็กล่าวคำไม่เป็นอย่างอื่นจากสติ ให้ดุจเป็นอย่างอื่นด้วยสามารถแห่งโวหาร.

บทว่า อริยสจฺเจสุ ในอริยสัจทั้งหลาย ท่านกล่าวด้วยสามารถการกำหนดถือเอาสัจจะแยกออกมาด้วยโลกิยสัจจญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น.

บทว่า อริยมคฺเคสุ สามญฺผเลสุ จ (ในอริยมรรคและสามัญผล) ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งโวหารเท่านั้น.

บทว่า ปเทเส (บางส่วน) คือเป็นเอกเทศในการประพฤติกิจซึ่งเป็นประโยชน์แก่โลก จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงกระทำโลกัตถจริยาโดยไม่มีบางส่วน ท่านพระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงจริยาเหล่านั้นอีกด้วยสามารถแห่งการกบุคคล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปณิธิสมฺปนฺนานํ (ของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยการตั้งใจไว้) ในบทนั้น ท่านผู้มีอิริยาบถไม่กำเริบ ถึงพร้อมด้วยการคุ้มครองอิริยาบถ เพราะอิริยาบถสงบ คือถึงพร้อมด้วยอิริยาบถอันสงบสมควรแก่ความเป็นภิกษุ ชื่อว่า ปณิธิสมฺปนฺนา ผู้ถึงพร้อมด้วยการตั้งใจไว้.

บทว่า อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ (ของท่านผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย) ชื่อว่า คุตฺตทฺวารานํ (ผู้คุ้มครองทวาร) เพราะมีทวารคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้นอันเป็นไปแล้วในวิสัยของตนๆ บุคคลคุ้มครองทวารด้วยสามารถ

 
  ข้อความที่ 76  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 305

แห่งทวารหนึ่งๆ ของท่านผู้มีทวารคุ้มครองแล้วเหล่านั้น.

อนึ่ง ในบทว่า ทฺวารํ (ทวาร) นี้ คือจักขุทวาร (จักษุ) เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งทวารที่เกิดขึ้น.

บทว่า อปฺปมาทวิหารีนํ (ของท่านผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท) คือผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทในศีลเป็นต้น.

บทว่า อธิจิตฺตมนุยุตฺตานํ (ของท่านผู้ขวนขวายในอธิจิต) คือผู้ขวนขวายสมาธิอันได้แก่ อธิจิต โดยความเป็นบาทแห่งวิปัสสนา.

บทว่า พุทฺธิสมฺปนฺนานํ (ของท่านผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยปัญญา) คือผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยญาณอันเป็นไปแล้วตั้งแต่กำหนดนามรูป (* นามรูปปริจเฉทญาณ) จนถึงโคตรภู (* โคตรภูญาณ).

บทว่า สมฺมาปฏิปนฺนานํ (ของท่านผู้ปฏิบัติชอบ) คือในขณะแห่งมรรค ๔.

บทว่า อธิคตผลานํ (ของท่านผู้บรรลุผลแล้ว) คือในขณะแห่งผล ๔.

บทว่า อธิมุจฺจนฺโต (ผู้น้อมใจเชื่อ) คือผู้ทำการน้อมใจเชื่อ.

บทว่า สทฺธาย จรติ (ย่อมประพฤติด้วยศรัทธา) คือเป็นไปด้วยสามารถแห่งศรัทธา.

บทว่า ปคฺคณฺหนฺโต (ผู้ประคองไว้) คือตั้งไว้ด้วยความเพียร ได้แก่ สัมมัปปธาน ๔.

บทว่า อุปฏฺาเปนฺโต (ผู้เข้าไปตั้งไว้มั่น ผู้ทำให้ปรากฏ) คือเข้าไปตั้งอารมณ์ไว้ด้วยสติ.

บทว่า อวิกฺเขปํ กโรนฺโต (ผู้ทำจิตไม่ไห้ฟุ้งซ่าน) คือไม่ทำความฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งสมาธิ.

บทว่า ปชานนฺโต (ผู้รู้ชัด) คือรู้ชัด (รู้ทั่ว) ด้วยปัญญาเป็นเครื่องรู้ชัดอริยสัจ ๔.

บทว่า วิชานนฺโต (ผู้รู้แจ้ง) คือรู้แจ้งอารมณ์ด้วยวิญญาณ คือการพิจารณาอันเป็นหัวหน้าแห่งชวนจิตสัมปยุตด้วยอินทรีย์ (ผู้รู้แจ้งอารมณ์ด้วยอาวัชชนจิต คือจิตน้อมนึก อันเป็นหัวหน้าแห่งชวนจิตที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์).

บทว่า วิญฺาณจริยาย (ด้วยวิญญาณจริยา) คือด้วยสามารถแห่งความประพฤติด้วยวิญญาณ คือการพิจารณา (อาวัชชนจิต).

บทว่า เอวํ ปฏิปนฺนสฺส (ของท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้) คือปฏิบัติด้วยความประพฤติแห่งอินทรีย์ (อินทรียจริยา) พร้อมกับชวนจิต.

บทว่า กุสลา ธมฺมา อายาเปนฺติ (กุศลธรรมทั้งหลายย่อมยังอิฐผลให้ยืดยาวไป) (* อิฐผล คือผลเป็นที่พอใจ) คือกุศลธรรมทั้งหลายเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนา ย่อม (ยังผลอันน่าปรารถนายิ่ง) ความรุ่งเรืองให้เป็นไป ความว่า ย่อมเป็นไป.

 
  ข้อความที่ 77  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 306

บทว่า อายตนจริยาย (ด้วยอายตนจริยา) คือประพฤติด้วยความพยายามยอดยิ่งแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ท่านอธิบายว่า ประพฤติด้วยความบากบั่น (ด้วยความสืบต่อ) ด้วยความให้เป็นไป.

บทว่า วิเสสมธิคจฺฉติ (ย่อมบรรลุธรรมวิเศษ) คือบรรลุธรรมวิเศษด้วยอำนาจแห่งวิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน และปฏิปัสสัทธิปหาน.

บทว่า ทสฺสนจริยา (ทัสสนจริยา) เป็นต้น มีความดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.

ในบทมีอาทิว่า สทฺธาย วิหรติ (ย่อมอยู่ด้วยศรัทธา) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พึงเห็นการอยู่ด้วยอิริยาบถของผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธาเป็นต้น.

บทว่า อนุพุทฺโธ (รู้ตาม ผู้ตรัสรู้ตาม) คือด้วยปัญญาพิสูจน์ความจริงแล้ว (* ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง).

บทว่า ปฏิวิทฺโธ (แทงตลอดแล้ว) คือด้วยปัญญารู้ประจักษ์ชัด เพราะเมื่อผู้ตั้งอยู่ในอธิโมกข์ (* ความน้อมใจเชื่อ ศรัทธาแก่กล้า ความปลงใจ) เป็นต้นรู้ตามแล้ว แทงตลอดแล้ว ความประพฤติและวิหารธรรมเป็นอันตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงแสดงถึงผู้ตั้งอยู่ในอธิโมกข์เป็นต้น แม้ในการรู้ตามและแทงตลอด.

บทว่า เอวํ (อย่างนี้) ในบทมีอาทิว่า เอวํ สทฺธาย จรนฺตํ (ประพฤติด้วยศรัทธาอย่างนี้) ท่านพระสารีบุตรเถระเมื่อชี้แจงถึงประการดังกล่าว ย่อมชี้แจงถึงอรรถแห่ง ยถา ศัพท์.

แม้ในบทมีอาทิว่า วิญฺญู (ผู้รู้แจ้ง) พึงทราบความดังนี้ ชื่อว่า วิญฺญู เพราะรู้ตามสภาพเป็นจริง.

ชื่อว่า วิภาวี (ผู้มีปัญญาแจ่มแจ้ง) เพราะยังสภาพที่รู้แล้วให้แจ่มแจ้ง คือทำให้ปรากฏ.

ชื่อว่า เมธา เพราะทำลายกิเลส (เบียดเบียนกิเลส) ดุจสายฟ้าทำลายหินที่ก่อไว้ (ภูเขาหิน) หรือชื่อว่า เมธา เพราะอรรถว่า เรียนทรงจำได้เร็ว.

ชื่อว่า เมธาวี (ผู้มีปัญญาทำลายกิเลส) เพราะเป็นผู้มีปัญญาทำลายกิเลส.

ชื่อว่า ปณฺฑิตา (ผู้เป็นบัณฑิต) เพราะถึง คือ (ดำเนิน) เป็นไปด้วยญาณคติ.

ชื่อว่า พุทฺธิสมฺปนฺนา (ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้) เพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยพุทธิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา).

ชื่อว่า สพฺรหฺมจาริโน (สพรหมจารี) เพราะประพฤติปฏิปทาอันสูงสุดอันเป็นพรหมจริยา (เพราะประพฤติพรหมจรรย์ คือปฏิปทาอันสูงสุดร่วมกัน).

ชื่อว่า เอกํ กมฺมํ (การงานอย่างเดียวกัน) มีกรรมอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งการกระทำกรรม ๔ อย่างมี อปโลกนกรรม (ความยินยอม) เป็นต้นร่วมกัน.

 
  ข้อความที่ 78  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 307

ชื่อว่า เอกุทฺเทโส (มีอุเทศอย่างเดียวกัน) คือมีการสวดปาฏิโมกข์ ๕ อย่างเหมือนกัน.

ชื่อว่า สมสิกฺขา เพราะมีการศึกษาเสมอกัน ความเป็นผู้มีการศึกษาเสมอกัน ชื่อว่า สมสิกฺขตา อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สมสิกฺขาตา บ้าง แปลว่า มีการศึกษาเสมอกัน.

ท่านอธิบายว่า ผู้มีกรรมอย่างเดียวกัน มีอุเทศอย่างเดียวกัน มีการศึกษาเสมอกัน ชื่อว่า สพฺรหฺมจารี.

เมื่อควรกล่าวว่า ฌานานิ ท่านทำลิงค์คลาดเคลื่อนเป็น ฌานา (ฌาน).

บทว่า วิโมกฺขา (วิโมกข์) ได้แก่ วิโมกข์ ๓ หรือ ๘.

บทว่า สมาธิ ได้แก่ สมาธิ ๓ มีวิตกมีวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร.

บทว่า สมาปตฺติโย (สมาบัติ) ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ และอัปปณิหิตสมาบัติ.

บทว่า อภิญฺาโย (อภิญญา) คืออภิญญา ๖.

ชื่อว่า เอกํโส เพราะเป็นส่วนเดียว มิได้เป็น ๒ ส่วน.

ชื่อว่า เอกํสวจนํ เพราะกล่าวถึงประโยชน์ส่วนเดียว แม้ในบทที่เหลือก็พึงทำการประกอบอย่างนี้.

แต่โดยพิเศษ ชื่อว่า สํสโย (สงสัย) เพราะนอนเนื่อง (เพราะไป) คือเป็นไปเสมอหรือโดยรอบ ชื่อว่า นิสฺสํสโย (ไม่สงสัย) เพราะไม่มีความสงสัย.

ชื่อว่า กงฺขา (ความเคลือบแคลง) เพราะความเป็นผู้ตัดสินไม่ได้ในเรื่องเดียวเท่านั้น แม้อย่างอื่นก็ยังเคลือบแคลง ชื่อว่า นิกฺกงฺโข (สิ้นความเคลือบแคลง) เพราะไม่มีความเคลือบแคลง.

ความเป็นส่วนสอง ชื่อว่า เทฺววชฺฌํ (ความเป็นสอง) ชื่อว่า อเทฺววชฺโฌ (ไม่เป็นสอง) เพราะความไม่มีสอง.

ชื่อว่า เทฺวฬฺหกํ (เป็นสองทาง) เพราะเคลื่อนไหว หวั่นไหวโดย สองส่วน ชื่อว่า อเทฺวฬฺหโก (ไม่เป็นสองทาง) เพราะไม่มีความหวั่นไหวเป็นสองส่วน (พูดไม่เป็นสอง).

การกล่าวโดยธรรมเครื่องนำออก ชื่อว่า นิยฺยานิกวจนํ (การกล่าวโดยชี้ลง กำหนดลง) อาจารย์บางพวกกล่าวว่า นิยฺโยควจนํ บ้าง แปลว่า กล่าวนำออก.

คำว่า อวตฺถาปนวจนํ (คำกล่าวโดยหลักฐาน) ได้แก่ คำชี้ขาด คำทั้งหมดนั้น เป็นไวพจน์ของความเป็นวิจิกิจฉา (ภาวะความสงสัย).

ชื่อว่า ปิยวจนํ (คำกล่าวด้วยความรัก) เพราะเป็นคำกล่าวน่ารัก โดยมีประโยชน์น่ารัก.

อนึ่ง ครุวจนํ (คำกล่าวด้วยความเคารพ) ก็เหมือนกัน คำกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ คือโดยความเคารพ ชื่อว่า สคารวํ (มีความเคารพ) เพราะมีความเคารพพร้อมด้วยคารวะ.

ชื่อว่า สปฺปติสฺสยํ (มีความยำเกรง) ความว่า

 
  ข้อความที่ 79  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 308

เป็นไปด้วยความยำเกรงหรือการเชื่อฟัง ไม่นอนไม่นั่งเพราะทำความเคารพผู้อื่น อีกอย่างหนึ่ง การรับคำ ชื่อว่า ปติสฺสโว ความว่า ฟังคำผู้อื่นเพราะประพฤติถ่อมตน แม้ในสองบทนี้ เป็นชื่อของความที่ผู้อื่นเป็นผู้ใหญ่ ชื่อ สคารวํ (มีความเคารพ) เพราะเป็นไปกับด้วยความเคารพ ชื่อว่า สปฺปติสฺสยํ เพราะเป็นไปกับด้วยความยำเกรงหรือการรับคำ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อควรจะกล่าวว่า สปฺปติสฺสวํ ท่านกล่าวว่า สปฺปติสฺสํ เพราะลบ อักษร หรือ อักษร คำที่สละสลวยอย่างยิ่ง ชื่อว่า อธิวจนํ.

ชื่อว่า สคารวสปฺปติสฺสํ (มีความเคารพยำเกรง) เพราะมีความเคารพและความยำเกรง คำกล่าวมีความเคารพยำเกรง ชื่อว่า สคารวสปฺปติสฺสาธิวจนํ แม้ในบททั้งสองนี้ท่านกล่าวว่า เอตํ บ่อยๆ ด้วยสามารถความต่างกันด้วยการกำหนดไวพจน์.

บทว่า ปตฺโต วา ปาปุณิสฺสติ วา (บรรลุแล้วหรือจักบรรลุ) ได้แก่ ฌานเป็นต้น นั่นเอง.

จบอรรถกถาจารวิหารนิเทศ

จบอรรถกถาตติยสุตตันตนิเทศ

 
  ข้อความที่ 80  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 309

๔. อรรถกถาจตุตถสุตตันตนิเทศ

พระสารีบุตรเถระตั้งพระสูตรที่ ๑ อีก แล้วชี้แจงอินทรีย์ทั้งหลายโดยอาการอย่างอื่นอีก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กตีหากาเรหิ เกนฏฺเน (๑) ทฏฺพฺพานิ (พึงเห็นด้วยอาการเท่าไร) อินทรีย์ ๕ เหล่านั้น พึงเห็นด้วยอาการเท่าไร ด้วยอรรถว่ากระไร คือพึงเห็นด้วยอาการเท่าไร.

บทว่า เกนฏฺเน ทฏฺพฺพานิ พึงเห็นด้วยอรรถว่ากระไร พระสารีบุตรเถระถามถึงอาการที่พึงเห็นและอรรถที่พึงเห็น.

บทว่า ฉหากาเรหิ เกนฏฺเน (๒) ทฏฺพฺพานิ (พึงเห็นด้วยอาการ ๖ พึงเห็นด้วยอรรถว่ากระไร) คือพึงเห็นด้วยอาการ ๖ พึงเห็นด้วยอรรถกล่าวคืออาการ ๖ นั้นนั่นเอง.

บทว่า อาธิปเตยฺยฏฺเน (ความเป็นใหญ่) คือด้วยอรรถว่า ความเป็นใหญ่ ได้แก่ ด้วยอรรถว่า ความเป็นอธิบดี.

บทว่า อาทิวิโสธนฏฺเน (เป็นเครื่องชำระในเบื้องต้น) คือด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องชำระศีลอันเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย.

บทว่า อธิมตฺตฏฺเน (มีประมาณยิ่ง) ท่านกล่าวว่า อธิมตฺตํ เพราะมีกำลังมีประมาณยิ่ง จริงอยู่ สิ่งที่มีกำลัง ท่านเรียกว่า มีประมาณยิ่ง เพราะมีประมาณมีขนาดยิ่ง.

บทว่า อธิฏฺานฺฏฺเฐน (ตั้งมั่น) ได้แก่ ด้วยอรรถว่า ประดิษฐานมั่นคง.

บทว่า ปริยาทานฏฺเน (ครอบงำ) ได้แก่ ด้วยอรรถว่า สิ้นไป.

บทว่า ปติฏฺาปกฏฺเน (ให้ตั้งอยู่) ได้แก่ ด้วยอรรถว่า ให้ประดิษฐานอยู่.

จบอรรถกถาจตุตถสุตตันตนิเทศ


(๑) สฺยา. ไม่มีคำนี้. แปลว่า ด้วยอรรถว่ากระไร.

(๒) ม. เตนฏฺเฐน แปลว่า ด้วยอรรถนั้น.

 
  ข้อความที่ 81  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 310

อรรถกถาอธิปเตยยัตถนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในอาธิปเตยยัตถนิเทศดังต่อไปนี้.

บทมีอาทิว่า อสฺสทฺธิยํ ปชหโต (แห่งบุคคลผู้ละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) เป็นคำกล่าวถึงการละธรรมเป็นปฏิปักษ์แห่งอินทรีย์อย่างหนึ่งๆ ท่านกล่าวเพื่อความสำเร็จแห่งความเป็นใหญ่ (เป็นอธิบดี) ในการสำเร็จกิจของการละธรรมเป็นปฏิปักษ์ของตนๆ แม้ในขณะหนึ่ง.

ท่านกล่าวถึงอินทรีย์ ๔ ที่เหลือสัมปยุตด้วยสัทธินทรีย์นั้น (กระทำให้สัมปยุตด้วยอินทรีย์นั้นนั่นแหละ) อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบแม้ว่า ท่านกล่าวทำอินทรีย์หนึ่งๆ ให้เป็นหน้าที่ (เป็นธุระ) ในขณะต่างๆ กัน แล้วทำอินทรีย์นั้นๆ ให้เป็นใหญ่กว่าธรรมที่เป็นปฏิปักษ์นั้นๆ เเล้วนำอินทรีย์นั้นไป (แล้วทำอินทรีย์ที่เหลือให้คล้อยตามอินทรีย์นั้นไป).

ส่วนบทว่า กามจฺฉนฺทํ ปชหโต (แห่งบุคคลผู้ละกามฉันทะเป็นอาทิ) ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งขณะเดียวกัน (ขณะหนึ่ง) นั้นเอง.

จบอรรถกถาอธิปเตยยัตถนิเทศ

อรรถกถาอาทิวิโสธนัตถนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในอาทิวิโสธนัตถนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า อสฺสทฺธิยสํวรฏฺเน สีลวิสุทฺธิ (เป็นศีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ระวังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) ชื่อว่า ศีลวิสุทธิเพราะอรรถว่า ห้ามความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาโดยการชำระมลทินของศีลโดยอรรถว่า เว้น (ห้าม).

บทว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส อาทิวิโสธนา (เป็นเครื่องชำระธรรมอันเป็นเบื้องต้นแห่งสัทธินทรีย์) คือ ชำระศีลอันเป็นเบื้องต้นด้วยสามารถ (ด้วยอำนาจ) เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่สัทธินทรีย์.

โดยนัยนี้แล พึงทราบอินทรีย์แม้ที่เหลือและอินทรีย์อันเป็นเหตุแห่งการสำรวม (การระวัง) กามฉันทะเป็นต้น.

จบอรรถกถาอาทิวิโสธนัตถนิเทศ

 
  ข้อความที่ 82  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 311

อรรถกถาอธิมัตตัตถนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในอธิมัตตัตถนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส ภาวนาย ฉนฺโท อุปฺปชฺชติ (ฉันทะเกิดขึ้นเพื่อความเจริญแห่งสัทธินทรีย์) คือฉันทะในธรรม (กุศลธรรม) อันฉลาดย่อมเกิดขึ้นในสัทธินทรีย์ เพราะฟังธรรมปฏิสังยุตด้วยศรัทธาของบุคคลผู้มีศรัทธาหรือเพราะเห็นคุณของการเจริญสัทธินทรีย์.

บทว่า ปามุชฺชํ อุปฺปชฺชติ (ความปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น) คือความปราโมทย์ (ปีติอ่อนๆ) ย่อมเกิดเพราะฉันทะเกิด.

บทว่า ปีติ อุปฺปชฺชติ (ปีติย่อมเกิดขึ้น) คือปีติมีกำลังย่อมเกิดเพราะความปราโมทย์.

บทว่า ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติ (ปัสสัทธิย่อมเกิด) คือกายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิย่อมเกิดเพราะความเอิบอิ่มแห่งปีติ.

บทว่า สุขํ อุปฺปชฺชติ (ความสุขย่อมเกิดขึ้น) คือความสุขทางใจย่อมเกิดขึ้นเพราะกายและจิตสงบ.

บทว่า โอภาโส อุปฺปชฺชติ (โอภาสย่อมเกิดขึ้น) ได้แก่ แสงสว่าง (โอภาส) คือปัญญาย่อมเกิดขึ้นเพราะจมอยู่ด้วยความสุข.

บทว่า สํเวโค อุปฺปชฺชติ (ความสังเวชย่อมเกิดขึ้น) คือความสังเวชในเพราะความปรวนแปรของสังขารย่อมเกิดขึ้นเพราะรู้แจ้งโทษของสังขารด้วยแสงสว่าง คือญาณ (ปัญญา).

บทว่า สํเวเชตฺวา จิตฺตํ สมาทหติ (จิตสังเวชแล้วย่อมตั้งมั่น) คือจิตยังความสังเวชให้เกิดแล้ว ย่อมตั้งมั่น (ทำจิตให้เป็นสมาธิ) ด้วยความสังเวชนั่นนั้นเอง.

บทว่า สาธุกํ ปคฺคณฺหาติ (ย่อมประคองไว้ดี) คือปลดเปลื้องความหดหู่และความฟุ้งซ่านเสียได้แล้ว ย่อมประคองไว้ด้วยดี.

บทว่า สาธุกํ อชฺฌุเปกฺขติ (ย่อมวางเฉยด้วยดี) คือเพราะความเพียรเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ทำความขวนขวายในการประกอบความเพียรสม่ำเสมออีก ชื่อว่า ย่อมวางเฉยด้วยดี ด้วยสามารถแห่งความวางเฉย (ด้วยอำนาจตัตรมัชฌัตตุเบกขา) ด้วยวาง

 
  ข้อความที่ 83  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 312

ตนเป็นกลางในความเพียรนั้น.

บทว่า อุเปกฺขาวเสน (ด้วยสามารถแห่งอุเบกขา) คือด้วยสามารถ (อำนาจ) แห่งความวางเฉยด้วยวางตนเป็นกลางในความเพียรนั้น (ตัตรมัชฌัตตุเบกขา) อันมีลักษณะนำไปเสมอ.

บทว่า นานตฺตกิเลเสหิ (จากกิเลสต่างๆ) คือจากกิเลสอันมีสภาพต่างๆ อันเป็นปฏิปักษ์แก่วิปัสสนา.

บทว่า วิโมกฺขวเสน (ด้วยสามารถแห่งวิโมกข์) คือด้วยอำนาจแห่งความหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ตั้งแต่ภังคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความดับแห่งสังขาร).

บทว่า วิมุตฺตตฺตา (เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว) เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้น คือหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ.

บทว่า เต ธมฺมา (ธรรมเหล่านั้น) ได้แก่ ธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นต้น.

บทว่า เอกรสา โหนฺติ (มีรสเป็นอันเดียวกัน) คือมีรสเป็นอันเดียวกันด้วยสามารถแห่งวิมุตติ (วิมุตติรส).

บทว่า ภาวนาวเสน (ด้วยอำนาจแห่งภาวนา) ด้วยอำนาจการอบรม คือด้วยอำนาจแห่งภาวนามีรสเป็นอันเดียวกัน.

บทว่า ตโต ปณีตตเร วิวฏฺฏนฺติ (ธรรมเหล่านั้นย่อมหลีกจากธรรมนั้นไปสู่ธรรมที่ประณีตกว่า) คือธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นต้น ย่อมหลีกจากอารมณ์ คือวิปัสสนา ด้วยเหตุนั้นไปสู่อารมณ์ คือนิพพาน อันประณีตกว่าด้วยโคตรภูญาณ กล่าวคือวิวัฏฏนานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความหลีกไป) ความว่า ธรรมทั้งหลายหลีกออกจากอารมณ์ที่เป็นสังขารแล้วเป็นไปในอารมณ์ คือนิพพาน.

บทว่า วิวฏฺฏนาวเสน (ด้วยอำนาจแห่งความหลีกไป) คือด้วยอำนาจแห่งความหลีกไปจากอารมณ์ที่เป็นสังขารในขณะโคตรภูญาณอย่างนี้.

บทว่า วิวฏฺฏิตตฺตา ตโต โวสฺสชฺชติ (จิตย่อมปล่อยจากธรรมนั้นเพราะเป็นธรรมที่หลีกไปแล้ว) คือบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค ย่อมปล่อยกิเลสและขันธ์ด้วยเหตุนั้นนั่นแล เพราะจิตหลีกไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการปรากฏธรรมทั้งสองในขณะมรรคเกิดนั่นเอง.

บทว่า โวสฺสชฺชิตตฺตา ตโต นิรุชฺฌนฺติ (ธรรมทั้งหลายย่อมดับไปจากนั้นเพราะจิตเป็น

 
  ข้อความที่ 84  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 313

ธรรมชาติปล่อยแล้ว) คือกิเลสและขันธ์ย่อมดับไปด้วยอำนาจแห่งการดับ คือความไม่เกิดขี้นด้วยเหตุนั้น เพราะจิตเป็นธรรมชาติปล่อยกิเลสและขันธ์ในขณะมรรคเกิดนั้นเอง.

อนึ่ง บทว่า โวสฺสชฺชิตตฺตา (เพราะจิตปล่อยแล้ว) ท่านทำให้เป็นคำกล่าวตามเหตุผลที่เป็นจริงในความปรารถนา เมื่อมีการดับกิเลส ท่านก็กล่าวถึงการดับขันธ์เพราะความปรากฏแห่งความดับขันธ์.

บทว่า นิโรธวเสน (ด้วยอำนาจความดับ) คือด้วยอำนาจความดับตามที่กล่าวแล้ว.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงถึงความปล่อย ๒ ประการ ในขณะที่มรรคนั้นเกิด จึงกล่าวบทมีอาทิว่า นิโรธวเสน เทฺว โวสฺสคฺคา (ความปล่อยด้วยอำนาจแห่งความดับมี ๒ ประการ) ความปล่อยแม้ ๒ ประการ ก็มีอรรถดังกล่าวแล้วในหนหลัง.

แม้ในบทมีอาทิว่า อสฺสทฺธิยสฺส ปหานาย ฉนฺโท อุปฺปชฺชติ (ฉันทะย่อมเกิดเพราะละความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา) พึงทราบความโดยพิสดารโดยนัยนี้แล.

แม้ในวาระอันมีวิริยินทรีย์เป็นต้นเป็นมูลเหตุ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

จบอรรถกถาอธิมัตตัตถนิเทศ

อรรถกถาอธิษฐานัตถนิเทศ

แม้อธิษฐานัตถนิเทศ พึงทราบโดยพิสดารโดยนัยนี้ มีความแตกต่างกันอยู่อย่างเดียวในบทนี้ว่า อธิฏฺาติ (ย่อมตั้งมั่น) ความว่า ย่อมดำรงอยู่.

จบอรรถกถาอธิษฐานัตถนิเทศ

 
  ข้อความที่ 85  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 314

อรรถกถาปริยาทานัตถปติฏฐาปกัตถนิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในปริยาทานัตถนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า ปริยาทียติ (ย่อมครอบงำ) คือย่อมให้สิ้นไป.

พึงทราบวินิจฉัยในปติฏฐาปกัตถนิเทศ ดังต่อไปนี้.

บทว่า สทฺโธ สทฺธินทฺริยํ อธิโมกฺเข ปติฏฺาเปติ (ผู้มีศรัทธาย่อมให้สัทธินทรีย์ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ) คือผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาน้อมใจเชื่อว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมให้สัทธินทรีย์ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ ด้วยบทนี้ท่านชี้แจงความพิเศษของการเจริญอินทรีย์ (อบรมอินทรีย์) ด้วยความพิเศษของบุคคล.

บทว่า สทฺธสฺส สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺเข ปติฏฺาเปติ (สัทธินทรีย์ของผู้มีศรัทธาย่อมให้ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ) คือสัทธินทรีย์ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ย่อมยังศรัทธานั้นให้ตั้งอยู่ อนึ่ง ย่อมยังบุคคลผู้น้อมใจเชื่อให้ตั้งอยู่ในความน้อมใจเชื่อ ด้วยบทนี้ ท่านชี้แจงความพิเศษของบุคคลด้วยความพิเศษของการเจริญอินทรีย์.

พึงทราบการประกอบแม้ในบทที่เหลืออย่างนี้ว่า เมื่อประคองจิตไว้ ย่อมให้วิริยินทรีย์ตั้งอยู่ในความประคอง เมื่อตั้งสติไว้ ย่อมให้สตินทรีย์ตั้งอยู่ในความปรากฏ เมื่อตั้งจิตไว้มั่น ย่อมให้สมาธินทรีย์ตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ย่อมให้ปัญญินทรีย์ตั้งอยู่ในทัสสนะ (ความเห็น) เพราะเหตุนั้น.

คำว่า โยคาวจโร (พระโยคาวจร) เพราะท่องเที่ยวไปในสมถโยคะ (การประกอบสมถะ) หรือในวิปัสสนาโยคะ (การประกอบวิปัสสนา) บทว่า อวจรติ (ท่องเที่ยวไป) ได้แก่ เข้าไปท่องเที่ยว.

จบอรรถกถาปริยาทานัตถปติฏฐาปกัตถนิเทศ

จบอรรถกาจตุตถสุตตันตนิเทศ

 
  ข้อความที่ 86  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 315

อรรถกถาอินทริยสโมธาน

บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงถึงการรวมอินทรีย์ของผู้เจริญสมาธิและของผู้เจริญวิปัสสนา เพื่อชี้แจงประเภทแห่งความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ เป็นอันดับแรกก่อน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สมาธิํ ภาเวนฺโต (เจริญสมาธิ) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุถุชฺชโน สมาธิํ ภาเวนฺโต (ปุถุชนเจริญสมาธิ) คือปุถุชนเจริญสมาธิอันเป็นฝ่ายแห่งการแทงตลอด ส่วนโลกุตรสมาธิก็ย่อมได้แก่ พระเสกขะและแก่ผู้ปราศจากราคะ.

บทว่า อาวชฺชิตตฺตา (เพราะน้อมนึก) ผู้มีตนพิจารณาแล้ว คือมีตนพิจารณา (น้อมนึก) นิมิตมีกสิณเป็นต้นแล้ว ท่านอธิบายว่า เพราะกระทำบริกรรมมีกสิณเป็นต้นแล้วทำนิมิตให้เกิดในบริกรรมนั้น.

บทว่า อารมฺมณูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์) คือเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งนิมิตอันให้เกิดนั้นนั่นเอง.

บทว่า สมถนิมิตฺตูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งสมถนิมิต) คือเมื่อจิตฟุ้งซ่านด้วยความเป็นผู้เริ่มทำความเพียรเกินไปเป็นต้น เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์ (นิมิต) คือความสงบจิตด้วยอำนาจแห่งการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์.

บทว่า ปคฺคหนิมิตฺตูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งปัคคหนิมิต) คือเมื่อจิตหดหู่ด้วยความเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งนิมิต คือการประคองจิตด้วยอำนาจแห่งการเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์.

บทว่า อวิกฺเขปูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งความไม่ฟุ้งซ่าน) คือเป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งสมาธิอันสัมปยุตด้วยจิตไม่ฟุ้งซ่านและไม่หดหู่.

บทว่า โอภาสูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งโอภาส) คือเมื่อจิตไม่ยินดีเพราะความเป็นผู้ด้อยในการใช้ปัญญา เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาโณภาส (แสงสว่าง คือปัญญา)

 
  ข้อความที่ 87  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 316

เพราะยังจิตให้สังเวชด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ ๘ ชื่อว่า สังเวควัตถุ ๘ ได้แก่ สังเวควัตถุ ๔ อย่าง คือชาติ ชรา พยาธิ มรณะ และอบายทุกข์เป็นที่ ๕ วัฏฏมูลกทุกข์ในอดีต ๑ วัฏฏมูลกทุกข์ในอนาคต ๑ อาหารปริเยฏฐิมูลกทุกข์ในปัจจุบัน (ทุกข์จากการแสวงหาอาหารเป็นเหตุ) ๑.

บทว่า สมฺปหํสนูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความร่าเริง) คือเมื่อจิตไม่ยินดีเพราะยังไม่บรรลุสุข คือความสงบ ทำจิตให้เลื่อมใสด้วยการระลึกพุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณ เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความร่าเริง.

บทว่า อุเปกฺขูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา) คือเมื่อจิตปราศจากโทษมีความฟุ้งซ่านเป็นต้น เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอุเบกขา ด้วยการกระทำความไม่ขวนขวายในการข่มและการประคองเป็นต้น.

บทว่า เสกฺโข (พระเสขะ) ชื่อว่า เสกฺโข เพราะศึกษาไตรสิกขา.

บทว่า เอกตฺตูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความเป็นธรรมอย่างเดียว) คือเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความเป็นธรรมอย่างเดียวมีเนกขัมมะเป็นต้น (เมื่อจิตออกจากกามเป็นต้น) เพราะละสักกายทิฏฐิเป็นต้นได้แล้ว.

บทว่า วีตราโค (เป็นผู้มีราคะไปปราศแล้ว) คือปราศจากราคะสิ้นอาสวะแล้วเพราะละราคะได้แล้วโดยประการทั้งปวง.

บทว่า าณูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งญาณ) คือพระอรหันต์ ความเป็นผู้ฉลาดในอสัมโมหญาณในที่นั้นๆ (ความไม่หลงในธรรมนั้นๆ) เพราะในธรรมของพระอรหันต์เป็นธรรมปราศจากความหลงใหล.

บทว่า วิมุตฺตูปฏฺานกุสโล เป็นผู้ฉลาดในการตั้งไว้ซึ่งวิมุตติ คือเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอรหัตผลวิมุตติ (วิมุตติ คืออรหัตผล) จริงอยู่ บทว่า วิมุตฺติ ท่านประสงค์เอาอรหัตผลวิมุตตเพราะพ้นจากกิเลสทั้งปวง.

พึงทราบบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต (โดยความเป็นของไม่เที่ยง) และบทมีอาทิว่า นิจฺจโต (โดยความเป็นของเที่ยง) ในความตั้งไว้และความไม่ตั้งไว้ซึ่งวิปัสสนาภาวนา โดยนัยดังกล่าวแล้วในศีลกถานั่นแล แต่โดยปาฐะท่านตัดบทสมาสด้วยฉัฏฐีวิภัตติในบทเหล่านั้นคือ เป็นผู้

 
  ข้อความที่ 88  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 317

ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความประมวลมา เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความแปรปรวน เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพหานิมิตมิได้ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยเป็นสภาพมีนิมิต เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพไม่มีที่ตั้ง เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยเป็นสภาพมีที่ตั้ง เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่น ส่วนในบทที่เหลือ พึงกระทำบาลีด้วยคำปัญจมีวิภัตติ (นิสสักกวจนะ).

ในบทว่า สุญฺตูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของสูญ) นี้ ท่านตัดบทว่า สุญฺโต อุปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของสูญ) หรือ สุญฺตาย อุปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้เพราะความเป็นของสูญ).

อนึ่ง เพราะมหาวิปัสสนา ๘ เหล่านี้ คือนิพพิทานุปัสสนา ๑ วิราคานุปัสสนา ๑ นิโรธานุปัสสนา ๑ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ๑ อธิปัญญาธรรมวิปัสสนา ๑ ยถาภูตญาณทัสสนะ ๑ ปฏิสังขานุปัสสนา ๑ วิวัฏฏนานุปัสสนา ๑ เป็นมหาวิปัสสนาพิเศษโดยความพิเศษตามสภาวะของตน มิใช่พิเศษโดยความพิเศษแห่งอารมณ์ ฉะนั้นคำมีอาทิว่า เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของน่าเบื่อหน่าย จึงไม่ควรแก่มหาวิปัสสนา ๘ เหล่านั้น ดุจคำมีอาทิว่า เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นของไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ประกอบมหาวิปัสสนา ๘ เหล่านี้ไว้.

ส่วนอาทีนวานุปัสสนาเป็นอันท่านประกอบว่า เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความเป็นโทษ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่นด้วยความอาลัย โดยอรรถด้วยคำคู่นี้ว่า เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยเป็นสภาพสูญ เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น โดยสรุป ท่านจึงไม่ประกอบไว้.

ในมหาวิปัสสนา ๑๘ พึงทราบว่า ท่านไม่ประกอบมหาวิปัสสนา ๙ เหล่านี้ คือมหาวิปัสสนาข้างต้น ๘ และอาทีนวานุปัสสนา ๑ ไว้ แล้วประกอบมหาวิปัสสนาอีก ๙ นอกนี้ไว้.

 
  ข้อความที่ 89  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 318

บทว่า าณูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณ) คือพระเสกขะเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณด้วยการเจริญวิปัสสนาเพราะไม่มีวิปัสสนูปกิเลส แต่ท่านมิได้กล่าวว่า เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งญาณเพราะความปรากฏแห่งความใคร่ด้วยการเจริญสมาธิ.

บทว่า วิสญฺโคูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยไม่เกี่ยวข้อง) คือเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งความไม่เกี่ยวข้องดังที่ท่านกล่าวไว้ ๔ อย่าง คือกามโยควิสัญโญคะ (ความไม่เกี่ยวข้องด้วยกามโยคะ) ๑ ภวโยควิสัญโญคะ (ความไม่เกี่ยวข้องด้วยภวโยคะ) ๑ ทิฏฐิโยควิสัญโญคะ (ความไม่เกี่ยวข้องด้วยทิฏฐิโยคะ) ๑ อวิชชาโยควิสัญโญคะ (ความไม่เกี่ยวข้องด้วยอวิชชาโยคะ) ๑.

บทว่า สญฺโคานุปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้โดยความเกี่ยวข้อง) คือเป็นผู้ฉลาดในความไม่ตั้งไว้ซึ่งความเกี่ยวข้อง ที่ท่านกล่าวไว้ ๔ อย่าง คือกามโยคะ ๑ ภวโยคะ ๑ ทิฏฐิโยคะ ๑ อวิชชาโยคะ ๑.

บทว่า นิโรธูปฏฺานกุสโล (เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้โดยความดับ) คือท่านผู้ชื่อว่า เป็นขีณาสพ เพราะมีจิตน้อมไปสู่นิพพานด้วยอำนาจแห่งกำลังของท่านผู้สิ้นอาสวะแล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก จิตของภิกษุผู้เป็นขีณาสพน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ สูญสิ้นไปจากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งนิพพาน กล่าวคือ ความดับ.

บทว่า กุสลํ (ความเป็นผู้ฉลาด) ในบทมีอาทิว่า อารมฺมณูปฏฺานกุสลวเสน (ด้วยสามารถความเป็นผู้ฉลาดในความตั้งไว้ซึ่งอารมณ์) ได้แก่ ญาณ จริงอยู่ แม้ญาณก็ชื่อว่า กุสล เพราะประกอบในบุคคลผู้ฉลาด เหมือนบทว่า ปณฺฑิตา ธมฺมา (ธรรมทำให้เป็นบัณฑิต) บัณฑิตธรรมทั้งหลาย เพราะประกอบในบุคคลผู้เป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น จึงมีความหมายว่า ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้ฉลาด.

 
  ข้อความที่ 90  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 319

บัดนี้ แม้ท่านกล่าวไว้แล้วในญาณกถามีอาทิว่า จตุสฏฺิยา อากาเรหิ (ด้วยอาการ ๖๔) ท่านก็ยังนำมากล่าวไว้ในที่นี้ ด้วยเชื่อม (เพราะเกี่ยวเนื่อง) กับอินทริยกถา พึงทราบบทนั้นโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะกล่าวแบบแผนของ (การกำหนด) อินทรีย์ โดยเชื่อมด้วย (เกี่ยวเนื่องกับ) สมันตจักษุอีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า น ตสฺส อทฺทิฏฺมิธตฺถิ กิจิ (บทธรรมไรๆ ที่พระตถาคตนั้นไม่ทรงเห็นไม่มีในโลกนี้).

ในบทเหล่านั้น บทว่า สมนฺตจกฺขุ (สมันตจักษุ) ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณ.

ท่านแสดงความที่อินทรีย์ ๕ ไม่พรากกันด้วยบทมีอาทิว่า ปญฺินฺทฺริยสฺส วเสน (ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์).

ท่านแสดงความที่อินทรีย์ ๕ มีรสอย่างเดียวกันและเป็นปัจจัยของกันและกัน ในเวลาประกอบการน้อมไปหรือในขณะแห่งมรรค ด้วยจตุกกะ ๕ มีอินทรีย์หนึ่งๆ เป็นมูล มีอาทิว่า สทฺทหนฺโต ปคฺคณฺหาติ (เมื่อเชื่อย่อมประคับประคองไว้).

ท่านแสดงความที่อินทรีย์ ๕ มีรสอย่างเดียวกันและเป็นปัจจัยของกันและกัน ในเวลาประกอบการน้อมไปหรือในขณะแห่งมรรค (ในเวลาเกิดหรือในเวลาแห่งผล) ด้วยจตุกกะ ๕ อันมีอินทรีย์หนึ่งๆ เป็นมูล มีอาทิว่า สทฺทหิตตฺตา ปคฺคหิตํ (เพราะความเป็นผู้เชื่อจึงประคองไว้).

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะกล่าวแบบแผนของ (การกำหนด) อินทรีย์โดยเชื่อมด้วยพุทธจักษุอีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยํ พุทฺธจกฺขุ (พระพุทธญาณเป็นพุทธจักษุ) ในบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธจกฺขุ ได้แก่ อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย) และ อาสยานุสยญาณ (ปรีชากำหนดรู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย).

อนึ่ง บทว่า พุทฺธาณํ (เป็นพุทธญาณ) นี้ ก็ได้แก่ ญาณทั้งสองนั้นเหมือนกัน.

บทที่เหลือมีความดังได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาอินทริยสโมธาน

จบอรรถกถาอินทริยกถา