พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. มัณฑเปยยกถา ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40961
อ่าน  418

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 434

มหาวรรค

๑๐. มัณฑเปยยกถา

ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง หน้า 434

อรรถกถามัณฑเปยยกถา หน้า 443


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 434

มหาวรรค มัณฑเปยยกถา

ว่าด้วยความผ่องใส ๓ อย่าง

[๕๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดาซึ่งมีอยู่ เฉพาะหน้า เป็นพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่ม ความผ่องใสในพระศาสดาซึ่ง มีอยู่เฉพาะหน้ามี ๓ ประการ คือ ความผ่องใสแห่งเทศนา ๑ ความผ่องใส แห่งการรับ? ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์ ๑.

ความผ่องใสแห่งเทศนาเป็นไฉน การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจ ๔ การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่าย ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นความผ่องใสแห่งเทศนา.

ความผ่องใสแห่งการรับเป็นไฉน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ หรือท่านผู้รู้แจ้งพวกใดพวกหนึ่ง นี้เป็นความผ่องใสแห่ง การรับ.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 435

ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์.

[๕๓๑] สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความไม่มี ศรัทธาเป็นกาก บุคคลทิ้งความไม่มีศรัทธาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใส แห่งความน้อมใจเชื่อของสัทธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่ม ความผ่องใสแห่งความประคองไว้ของวิริยินทรีย์ เพราะเหตุนั้น วิริยินทรีย์ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความ ตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นของสตินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สตินทรีย์จึงเป็น พรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความ ผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสมาธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สมาธินทรีย์จึงเป็น พรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการ เห็นของปัญญินทรีย์ เพราะเหตุนั้น ปัญญินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความ ผ่องใสควรดื่ม.

สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มี ศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก บุคคลทิ้งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา อันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหว ในความไม่มี ศรัทธาของสัทธาพละ เพราะเหตุนั้น สัทธาพละ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 436

ผ่องใสควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความ เกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสีย แล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้านของวิริยพละ เพราะเหตุนั้น วิริยพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สติพละเป็น ความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาท ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่น ไหวในความประมาทของสติพละ เพราะเหตุนั้น สติพละจึงเป็นพรหมจรรย์ มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวใน อุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความ ผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะของสมาธิพละ เพราะเหตุนั้น สมาธิพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัญญาพละเป็นความผ่องใส แห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชา อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็น กากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชาของปัญญาพละ เพราะเหตุนั้น ปัญญาพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นของ สติสัมโพชฌงค์เพราะเหตุนั้น สติสัมโพชฌงค์ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใส ควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น อวิชชา เป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น ของธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์จึงเป็น พรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการ ประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกาก

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 437

เสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ของวิริยสัมโพชฌงค์ เพราะ เหตุนั้น วิริยสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก บุคคลทิ้ง ความเร่าร้อนอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่านไป ของ ปีติสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ปีติสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความ ผ่องใสควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่ว หยาบเป็นกาก บุคคลทิ้งความชั่วหยาบอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใส แห่งความสงบของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จึงเป็นพรหมจรรย์ มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใส แห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสมาธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก บุคคลทิ้งการไม่พิจารณาหาทางอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการ พิจารณาหาทางของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฏฐิเป็นกาก บุคคล ทิ้งมิจฉาทิฏฐิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเห็นของสัมมาทิฏฐิ เพราะเหตุนั้น สัมมาทิฏฐิจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ มิจฉาสังกัปปะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสังกัปปะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความดำริของสัมมาสังกัปปะ เพราะเหตุนั้น สัมมาสังกัปปะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมา-

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 438

วาจาเป็นความผ่องใสแห่งการกำหนดมิจฉาวาจาเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาวาจา อันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการกำหนดของสัมมาวาจา เพราะเหตุ นั้น สัมมาวาจาจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็น ความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน มิจฉากัมมันตะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉากัมมันตะอัน เป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งสมุฏฐานของสัมมากัมมันตะ เพราะเหตุ นั้น สัมมากัมมันตะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาอาชีวะเป็น ความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว มิจฉาอาชีวะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาอาชีวะอัน เป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้วของสัมมาอาชีวะ เพราะเหตุ นั้น สัมมาอาชีวะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาวายามะเป็น ความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาวายามะ อันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้ของสัมมาวายามะ เพราะ เหตุนั้น สัมมาวายามะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสติเป็น ความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น มิจฉาสติเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสติอันเป็นกากเสีย แล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการตั้งมั่นของสัมมาสติ เพราะเหตุนั้น สัมมาสติจึงเป็น พรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสมาธิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่ม ความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสัมมาสมาธิ เพราะเหตุนั้น สัมมาสมาธิ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

[๕๓๒] ความผ่องใสมีอยู่ ธรรมที่ควรดื่มมีอยู่ กากมีอยู่ สัทธินทรีย์ เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัทธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็น ความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 439

วิมุตติรส ในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใส แห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ใน สตินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสมาธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในปัญญินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มี ศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัทธา พละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวใน ความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ หวั่นไหวในความประมาท ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสติพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่ง ความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสมาธิพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความ ไม่หวั่นไหวในอวิชชา อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในปัญญาพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็น กาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในธรรมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ความเกียจคร้านเป็นกาก

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 440

อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปีติ- สัมโพชฌงค์เป็น ความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในปีติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่วหยาบเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม.

[๕๓๓] สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฏฐิเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาทิฏฐินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ มิจฉาสังกัปปะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาสังกัปปะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวาจาเป็น ความผ่องใสแห่งความกำหนด มิจฉาวาจาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาวาจานั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่ง สมุฏฐาน อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมากัมมันตะนั้น เป็นธรรมที่ ควรดื่ม สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว มิจฉาอาชีวะเป็น กาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาอาชีวะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาวายามะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น มิจฉาสตินั้นเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาสตินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 441

ความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ในสัมมาสมาธินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาทิฏฐิเป็นความผ่องใส แห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ สัมมาวาจาเป็น ความผ่องใสแห่งการกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นความผ่องใส แห่งความประคองไว้ สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น สัมมาสมาธิ เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่ง ความตั้งมั่น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็น ความผ่องใสแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน สติพละ เป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในความประมาท สมาธิพละเป็นความ ผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่ง ความไม่หวั่นไหวในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความน้อมใจ เชื่อ วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ สตินทรีย์เป็นความ ผ่องใสแห่งการตั้งมั่น สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อินทรีย์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถ ว่าเป็นใหญ่ พละเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็น ความผ่องใสเพราะอรรถว่านำออก มรรคเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็น เหตุ สติปัฏฐานเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าตั้งมั่น สัมมัปปธานเป็นความ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 442

ผ่องใสเพราะอรรถว่าเริ่มตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าให้ สำเร็จ สมถะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นความ ผ่องใสเพราะอรรถว่าพิจารณาเห็น สมถะและวิปัสสนาเป็นความผ่องใสเพราะ อรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าสำรวม จิตตวิสุทธิ เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะ อรรถว่าเห็น วิโมกข์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าหลุดพ้น วิชชาเป็นความ ผ่องใสเพราะอรรถว่าแทงตลอด วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าปล่อยวาง ขยญาณเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าตัดขาด ญาณในความไม่เกิดขึ้นเป็น ความผ่องใสเพราะอรรถว่าสงบระงับ ฉันทะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่า เป็นมูล มนสิการเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ผัสสะเป็นความ ผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุม เวทนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็น ที่รวม สมาธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นประธาน สติเป็นความผ่องใส เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นธรรมยิ่งกว่า ธรรมนั้น วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลง สู่อมตะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นที่สุด ฉะนี้แล.

จบมัณฑเปยยกถา

จบภาณวาร

จบมหาวรรคที่ ๑

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 443

อรรถกถามัณฑเปยยกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพิจารณาแห่งมัณฑเปยยกถา (ของใสที่ควรดื่มเทียบด้วยคุณธรรม) อันเป็นเบื้องต้นส่วนหนึ่งของ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่ มรรคนั้นเป็นธรรม ผ่องใสควรดื่ม ตรัสไว้แล้ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มณฺฑเปยฺยํ เป็นพรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่ม ชื่อว่า มณฺโฑ ด้วยอรรถว่าผ่องใสเหมือนอย่างเนยใสที่สมบูรณ์ สะอาด ใส ท่านเรียกว่า สัปปิมัณฑะ ความผ่องใสของเนยใส ฉะนั้น. ชื่อว่า เปยฺยํ ด้วยอรรถว่า ควรดื่ม. ชนทั้งหลายดื่มของควรดื่มใดแล้วลงไปในระหว่างถนน หมดความรู้ แม้ผ้านุ่งเป็นต้นของตนก็ไม่อยู่กับตัว ของควรดื่มนั้นแม้ใสก็ ไม่ควรดื่ม. ส่วนศาสนพรหมจรรย์ คือ ไตรสิกขานี้ของเรา ชื่อว่าใส เพราะ สมบูรณ์ เพราะไม่มีมลทิน เพราะผ่องใส และชื่อว่าควรดื่ม เพราะนำ ประโยชน์สุขมาให้ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงว่าเป็น พรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่ม. ชื่อว่า มณฺฑเปยฺยํ เพราะมีความผ่องใสควรดื่ม. นั้นคืออะไร. คือศาสนพรหมจรรย์. เพราะเหตุไรไตรสิกขาจึงชื่อว่าพรหมจรรย์. นิพพานชื่อว่า พรหม เพราะอรรถว่าสูงสุด ไตรสิกขาเป็นความประพฤติ เพื่อประโยชน์แก่ความสูงสุดเพราะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่นิพพาน เพราะเหตุ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นพรหมจรรย์ ศาสนพรหมจรรย์ก็คือ ไตรสิกขานั้นนั่นเอง.

บทว่า สตฺถา สมฺมุขีภูโต พระศาสดามีอยู่เฉพาะหน้านี้ เป็นคำ แสดงถึงเหตุในบทนี้. ก็เพราะพระศาสดามีอยู่เฉพาะหน้า ฉะนั้นท่านทั้งหลาย

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 444

จงประกอบความเพียร ดื่มพรหมจรรย์อันผ่องใสนี้เถิด เพราะเมื่อดื่มยาใส ข้างนอกไม่ได้อยู่ต่อหน้าหมอ ย่อมมีความสงสัยว่า เราไม่รู้ขนาดหรือการ เอาขึ้นเอาลง แต่อยู่ต่อหน้าหมอก็หมดสงสัยด้วยคิดว่า หมอจักรู้จักดื่ม พระศาสดาผู้เป็นพระธรรมสามีของพวกเรามีอยู่เฉพาะหน้าอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นจึงชักชวนในการดื่มพรหมจรรย์อันผ่องใสว่า พวกท่านจงทำ ความเพียรแล้วดื่มเถิด. ชื่อว่า สตฺถา เพราะตามสั่งสอนตามสมควร ซึ่งทิฏฐิ ธรรมิกประโยชน์ สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถในบทนี้ แม้โดยนัยแห่งนิเทศมีอาทิว่า สตฺถา ภควา สตฺถวาโห พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงนำหมู่ ชื่อว่า สัตถวาหะ ชื่อว่า สมฺมุขีภูโต เพราะมีหน้าปรากฏอยู่.

พึงทราบวินิจฉัย ในมัณฑเปยยนิเทศดังต่อไปนี้. บทว่าติธตฺตมณฺโฑ ความผ่องใสมีอยู่ ๓ ประการ ชื่อว่า ติธตฺตํ ความผ่องใสในพระศาสดาซึ่ง มีอยู่เฉพาะหน้ามี ๓ ประการ ชื่อว่า ติธตฺตมณฺโฑ ความว่า ความผ่องใสมี ๓ อย่าง. บทว่า สตฺถริ สมฺมุขีภูเต ในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้านี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงความผ่องใส ๓ ประการอันบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แม้ เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพาน ความผ่องใส ๓ ประการ ยังเป็นไปอยู่โดย เอกเทศ. อนึ่ง ในนิเทศแห่งบทนั้น พึงทราบว่าท่านมิได้กล่าวว่า สตฺถริ สมฺมุขีภูเต แล้วกล่าวว่า กตโม เทสนามณฺโฑ ความผ่องใสแห่งเทศนา เป็นไฉน. บทว่า เทสนามณฺโฑ ความผ่องใสแห่งเทศนา คือ ธรรมเทศนา นั่นแหละเป็นความผ่องใส. บทว่า ปฏิคฺคหมณฺโฑ ความผ่องใสแห่งการรับ คือผู้รับเทศนานั่นแหละเป็นผู้ผ่องใส. บทว่าพฺรหฺมจริยมณฺโฑ ความผ่องใส แห่งพรหมจรรย์ คือ มรรคพรหมจรรย์นั่นแหละเป็นความผ่องใส.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 445

บทว่า อาจิกฺขนา การบอก คือ การกล่าวโดยชื่อว่าชื่อทั้งหลายเหล่านี้ แห่งสัจจะเป็นต้นควรแสดง. บทว่า เทสนา การแสดงคือการชี้แจง. บทว่า ปญฺปนา การบัญญัติ คือ การให้รู้ หรือการตั้งไว้ในมุข คือ ญาณ จริงอยู่ เมื่อตั้งอาสนะไว้ท่านกล่าวว่าปูอาสนะ. บทว่า ปฏฺปนา การแต่งตั้ง คือ การบัญญัติ ความว่า ความเป็นไป หรือการตั้งไว้ในมุขคือญาณ. บทว่า วิวรณา การเปิดเผย คือ ทำการเปิดเผย ความว่า ชี้แจงเปิดเผย. บทว่า วิภชนา การจำแนก คือ ทำการจำแนก ความว่า ชี้แจงโดยการจำแนก. บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ การทำให้ง่าย คือ การทำความปรากฏ.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อาจิกฺขนา เป็นบทแสดงเหตุของบท ๖ บท มี เทศนาเป็นต้น. ท่านกล่าว ๖ บทมีเทศนาเป็นต้น เพื่อขยายความแห่งบทว่า อาจิกฺขนา. ใน ๖ บทนั้น บทว่า เทสนา คือการแสดงโดยยกหัวข้อขึ้นก่อน โดยสังเขป ด้วยสามารถแห่งอุคฆฏิตัญญูบุคคล เพราะอุคฆฏิตัญญูบุคคล ย่อมรู้แจ้งแทงตลอดบทที่ท่านกล่าวโดยสังเขป และกล่าวขึ้นก่อน. บทว่า ปญฺปนา คือ การบัญญัติด้วยการชี้แจงบทที่ท่านย่อไว้ก่อน โดยพิสดาร ด้วยความพอใจของความคิดและด้วยความเฉียบแหลมของปัญญา แห่งธรรม เหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งวิปัญจิตัญญูบุคคล. บทว่า ปฏฺปนา คือการ บัญญัติด้วยการทำให้พิสดารยิ่งขึ้น ด้วยการชี้แจงเฉพาะนิเทศที่ท่านชี้แจง ธรรมเหล่านั้นไว้แล้ว. บทว่า วิวรณา คือการเปิดเผยบทแม้ที่ท่านชี้แจง ไว้แล้วด้วยการพูดบ่อยๆ. บทว่า วิภชนา คือการจำแนกด้วยการทำการ จำแนกแม้บทที่ท่านกล่าวไว้แล้วบ่อยๆ. บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ คือทำให้ง่าย ด้วยกล่าวทำบทที่ท่านเปิดเผยแล้วโดยพิสดาร และด้วยกล่าวชี้แจงบทที่ท่าน จำแนกไว้แล้ว. เทศนานี้ย่อมมีเพื่อการแทงตลอดแม้ของไนยบุคคลทั้งหลาย.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 446

บทว่า เย วา ปนญฺเปิ เกจิ หรือท่านผู้รู้แจ้งพวกใดพวกหนึ่ง ท่านหมายถึงวินิปาติกะ (พวกตกอยู่ในอบาย) มีมารดาของท่านปิยังกระเป็นต้น. บทว่า วิญฺาตาโร ผู้รู้แจ้ง คือผู้รู้แจ้งโลกุตรธรรมด้วยการแทงตลอด. จริงอยู่ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านี้มีภิกษุเป็นต้น ชื่อว่า ปฏิคฺคหา ผู้รับเพราะรับ พระธรรมเทศนาด้วยสามารถการแทงตลอด. บทว่า อยเมว เป็นอาทิมีความ ดังที่ท่านกล่าวไว้แล้ว นิเทศแห่งปฐมฌาน. อริยมรรคท่านกล่าวว่าเป็นพรหมจรรย์ เพราะประพฤติเพื่อประโยชน์แก่ธรรมอันประเสริฐ เพราะไหลไปโดย นิพพาน.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงประกอบอินทรีย์ พละโพชฌงค์ และองค์แห่งมรรค อันมีอยู่ในขณะแห่งมรรค แห่งความผ่องใสในการน้อมใจ เชื่อนั้นด้วยบทมีอาทิว่า อธิโมกฺขมณฺโฑ ความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ในวิธีแห่งพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อธิโมกฺขมณฺโฑ คือความผ่องใสอันได้แก่ การน้อมใจเชื่อ. บทว่า กสโฏ เป็นกาก คือ ขุ่นปราศจากความเลื่อมใส. บทว่า ฉฑฺเฑตฺวา ทิ้งแล้ว คือ ละด้วยตัดขาด. บทว่า สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขมณฺฑํ ปิวตีติ มณฺฑเปยฺยํ ดื่มความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อ ของสัทธินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใส ควรดื่ม อธิบายว่า แม้เมื่อความที่ความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อ ไม่เป็น อื่นจากสัทธินทรีย์ ท่านก็กล่าวทำเป็นอย่างอื่นด้วยสามารถแห่งโวหาร. ลูกหินบด แม้เมื่อลูกหินบดไม่เป็นเป็นอย่างอื่นมีอยู่ท่านก็เรียกว่า สรีระแห่งลูกหินบด ฉันใด อนึ่ง ในบาลีท่านกล่าวภาวะแม้ไม่เป็นอย่างอื่นจากธรรมดาในบทมีอาทิ ว่า ผุสิตตฺตํ ความเป็นสิ่งสัมผัสได้ ดุจเป็นอย่างอื่นฉันใด อนึ่ง ในอรรถกถา ท่านกล่าวถึงลักษณะแม้ไม่เป็นอย่างอื่นจากธรรมดาในบทมีอาทิว่า ผุสนลกฺ-

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 447

ขโณ ผสฺโส ผัสสะมีลักษณะถูกต้อง ดุจเป็นอย่างอื่นฉันใด พึงทราบข้อ อุปมานี้ฉันนั้น.

อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในบทที่ยังไม่เคยกล่าวดังต่อไปนี้. บทว่า ปริฬาโห ความเร่าร้อน คือความเดือดร้อนเพราะกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ ปีติซึ่งมีลักษณะอิ่มเอิบ. บทว่า ทุฏฺฐุลฺลํ ความชั่วหยาบ คือ ความหยาบ ความไม่สงบด้วยอำนาจกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบ. บทว่า อปฺปฏิ- สงฺขา ความไม่พิจารณา คือ การนำความไม่สงบมาด้วยอำนาจกิเลสอันเป็น ปฏิปักษ์ต่อการพิจารณา. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะทรงชี้แจงถึงวิธีแห่งพรหมจรรย์ มีความผ่องใสควรดื่ม โดยปริยายอื่นจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อตฺถิ มณฺโฑ ความผ่องใสมีอยู่.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ คือในสัทธินทรีย์นั้น. พึงทราบวินิจฉัย ในบทมีอาทิว่า อตฺถรโส อรรถรส คือ ความน้อมไปแห่งสัทธินทรีย์เป็น อรรถ สัทธินทรีย์เป็นธรรม สัทธินทรีย์นั่นแหละชื่อว่า วิมุตติ เพราะพ้นจาก กิเลสต่างๆ ความถึงพร้อมแห่งอรรถนั้น ชื่อว่า อตฺถรโส อรรถรส. ความถึงพร้อมแห่งธรรมนั้น ชื่อว่า ธมฺมรโส ธรรมรส. ความถึงพร้อม แห่งวิมุตตินั้นชื่อว่า วิมุตติรส.

อีกอย่างหนึ่ง ความยินดีในการได้อรรถ ชื่อว่า อรรถรส. ความยินดี ในการได้ธรรม ชื่อว่าธรรมรส. ความยินดีในการได้วิมุตติ ชื่อว่า วิมุตติรส. บทว่า รติ ความยินดี คือ สัมปยุตด้วยรสนั้น หรือปีติมีรสนั้นเป็นอารมณ์ พึงทราบอรรถแม้ในบทที่เหลือโดยนัยนี้.

ในปริยายนี้ท่านกล่าวอรรถว่า พรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่ม ชื่อว่า มณฺฑเปยฺยํ.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 448

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงพรหมจรรย์ผ่องใสควรดื่มด้วยอำนาจ แห่งอินทรีย์ พละโพชฌงค์และองค์แห่งมรรคตามลำดับแห่งโพธิปักขิยธรรมมี อินทรีย์เป็นต้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์อันตั้ง อยู่ในที่สุดอีก จึงทรงการทำมรรคให้เป็นธรรมถึงก่อน เพราะมรรคเป็น ประธาน แล้วจึงทรงแสดงองค์แห่งมรรค โพชฌงค์ พละและอินทรีย์.

บทมีอาทิว่า อาธิปเตยฺยฏฺเน อินฺทฺริยา มณฺโฑ อินทรีย์เป็น ความผ่องใส เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ คือ อินทรีย์เป็นโลกิยะและโลกุตระ เป็นความผ่องใส ตามที่ประกอบไว้. พึงทราบบทนั้นโดยนัยดังกล่าวแล้วใน หนหลัง.

อนึ่ง ในบทนี้ว่า ตถฏฺเน สจฺจ มณฺโฑ สัจจะเป็นความ ผ่องใส เพราะอรรถว่าเป็นสัจจะแท้ พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า สัจจญาณเป็น สัจจะ เพราะไม่มีทุกขสมุทัย เป็นความผ่องใส ดุจในมหาหัตถิปทสูตร.

จบอรรถกถามัณฑเปยยกถา

และ

จบอรรถกถามหาวรรค

รวมกถาที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. ญาณกถา ๒. ทิฏฐิกถา ๓. อานาปานกถา ๔. อินทริยกถา ๕. วิโมกขกถา ๖. คติกถา ๗. กรรมกถา ๘. วิปัลลาสกถา ๙. มรรคกถา ๑๐. มัณฑเปยยกถา และอรรถกถา. นิกายอันประเสริฐนี้ เป็นวรมรรคอันประเสริฐที่หนึ่ง ไม่มีวรรคอื่น เสมอท่านตั้งไว้แล้ว ฉะนี้แล.