พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. มหาปัญญากถา ว่าด้วยชนิดของปัญญา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40974
อ่าน  738

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 657

ปัญญาวรรค

๑. มหาปัญญากถา

ว่าด้วยชนิดของปัญญา หน้า 657

อรรถกถามหาปัญญากถา หน้า 676

อรรถกถาโสฬสปัญญานิเทศ หน้า 682

อรรถกถาปุคคลวิเสสนิเทศ หน้า 704


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 657

ปัญญาวรรค มหาปัญญากถา

ว่าด้วยชนิดของปัญญา

[๖๕๙] อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง ปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... อนัตตานุปัสสนา ... นิพพิทานุปัสสนา ... วิราคานุปัสสนา ... นิโรธานุปัสสนา ... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่ บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์?

อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา (ปัญญาเร็ว) ให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญา ทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์ อนัตตานุปัสสนา ... ย่อมยังมหาปัญญา (ปัญญามาก) ให้บริบูรณ์ นิพพิทานุปัสสนา ... ย่อมยังติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) ให้ บริบูรณ์ วิราคานุปัสสนา ... ย่อมยังวิบูลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์ นิโรธานุปัสสนา ... ย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้) ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้ มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ... ย่อม ยังปุถุปัญญา (ปัญญาแน่นหนา) ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ที่บุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) ให้บริบูรณ์ หาสปัญญา เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา อรรถปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติ อันบุคคล บรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดอรรถแห่ง หาสปัญญานั้น ธรรมปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 658

แล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดธรรมแห่งหาสปัญญานั้น นิรุตติ- ปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วย ปัญญา โดยการกำหนดนิรุตติแห่งหาสปัญญานั้น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็น คุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการ กำหนดปฏิภาณแห่งหาสปัญญานั้น ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอัน บุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

[๖๖๐] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็น ความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหน ให้บริบูรณ์?

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมยังชวนปัญหาให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้ บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง ปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ... ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 659

อย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์?

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความ สละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ... ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุ แล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

[๖๖๑] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความ ไม่เที่ยงในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ย่อมยังปัญญาอย่างไหน ให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูป ... การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูปทั้งที่ เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ... การ พิจารณาเห็นอนัตตาในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณา เห็นความเบื่อหน่ายในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณา เห็นความคลายกำหนัดในรูป ... การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูปทั้ง เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณาเห็นความดับในรูป ... การพิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การ พิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ... การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปทั้งเป็น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 660

ส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง ปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์?

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปทั้ง เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การ พิจารณาเห็นทุกข์ในรูป ... ย่อมยังนิพเพธิกปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณา เห็นทุกข์ในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้ บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ... ย่อมยังมหาปัญญาให้บริบูรณ์ การ พิจารณาเห็นอนัตตาในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยัง ชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูป ... ย่อมยังติกขปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความ คลายกำหนัดในรูป ... ย่อมยังวิบูลปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความ คลายกำหนัดในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญา ให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความดับในรูป ... ย่อมยังคัมภีรปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อม ยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ... ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ... ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ... ย่อมยังปุถุปัญญา ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง หาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ... ปฏิสัมภิทา ๔

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 661

ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วย ปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความ ไม่เที่ยงในชราและมรณะ ทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การ พิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและ มรณะทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์?

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ... ย่อมยังชวนปัญญา ให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วย ปัญญา เพราะหาสปัญญา.

[๖๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ สัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ ฟังสัทธรรมคำสั่งสอน ของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการะ ไตร่ตรองพิจารณาคำสั่งสอนของท่าน ๑ ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้ตรองเห็นแล้ว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 662

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้ มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ฯลฯ ย่อมเป็นไปเพื่อทำ ให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ฯลฯ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล ๔ ประการ เป็นไฉน? คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่ บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล.

[๖๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา เพื่อความเจริญแห่งปัญญา เพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ เพื่อความเป็นผู้มี ปัญญาหนา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน เพื่อความ เป็นผู้มีปัญญามาก เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป เพื่อความเป็น ผู้มีปัญญาคมกล้า เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทำลายกิเลส ๔ ประการเป็นไฉน? คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธรรมานุธรรมปฏิบัติติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา ฯลฯ เพื่อความเป็นผู้มี ปัญญาทำลายกิเลส.

[๖๖๔] การได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะ ซึ่งปัญญาเป็นไฉน?

การได้ การได้เฉพาะ การถึง การถึงพร้อม การถูกต้อง การทำ ให้แจ้ง การเข้าถึงพร้อม ซึ่งมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 663

อภิญญา ๖ ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗ นี้ เป็นการได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา.

ความเจริญแห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่ง ปัญญาเป็นไฉน?

ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวก และของกัลยาณปุถุชนย่อมเจริญ ปัญญาของพระอรหันต์ย่อมเจริญ นี้เป็นความเจริญ นี้เป็นความเจริญแห่ง ปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา.

ความไพบูลย์แห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่ง ปัญญาเป็นไฉน?

ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวกและของกัลยาณปุถุชน ย่อมถึงความ ไพบูลย์ ปัญญาของพระอรหันต์ เป็นปัญญาไพบูลย์ นี้เป็นความไพบูลย์แห่ง ปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา.

[๖๖๕] มหาปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ เป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถใหญ่ กำหนด ธรรมใหญ่ กำหนดนิรุตติใหญ่ กำหนดปฏิภาณใหญ่ กำหนดศีลขันธ์ใหญ่ กำหนดสมาธิขันธ์ใหญ่ กำหนดปัญญาขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุตติขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุตติญาณทัสนขันธ์ใหญ่ กำหนดฐานะและอฐานะใหญ่ กำหนดวิหารสมาบัติใหญ่ กำหนดอริยสัจใหญ่ กำหนดสติปัฏฐานใหญ่ กำหนดสัมมัปปธานใหญ่ กำหนดอิทธิบาทใหญ่ กำหนดอินทรีย์ใหญ่ กำหนดพละใหญ่ กำหนด โพชฌงค์ใหญ่ กำหนดอริยมรรคใหญ่ กำหนดสามัญผลใหญ่ กำหนดอภิญญา

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 664

ใหญ่ กำหนดนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง นี้เป็นมหาปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเป็นผู้มีปัญญาใหญ่.

[๖๖๖] ปุถุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา แน่นหนาเป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญาหนา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ต่างๆ มาก ในธาตุต่างๆ มาก ในอายตนะต่างๆ มาก ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ มาก ในความได้เนืองๆ ซึ่งความสูญต่างๆ มาก ในอรรถต่างๆ มาก ใน ธรรมต่างๆ มาก ในนิรุตติต่างๆ มาก ในปฏิภาณต่างๆ มาก ในศีลขันธ์ ต่างๆ มาก ในสมาธิขันธ์ต่างๆ มาก ในปัญญาขันธ์ต่างๆ มาก ในวิมุตติ- ขันธ์ต่างๆ มาก ในวิมุตติญาณทัสนขันธ์ต่างๆ มาก ในฐานะและอฐานะ ต่างๆ มาก ในวิหารสมาบัติต่างๆ มาก ในอริยสัจต่างๆ มาก ในสติ- ปัฏฐานต่างๆ มาก ในสัมมัปปธานต่างๆ มาก ในอิทธิบาทต่างๆ มาก ในอินทรีย์ต่างๆ มาก ในพละต่างๆ มาก ในโพชฌงค์ต่างๆ มาก ใน อริยมรรคต่างๆ มาก ในสามัญผลต่างๆ มาก ในอภิญญาต่างๆ มาก ใน นิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ล่วงธรรมที่ทั่วไปแก่ปุถุชน นี้เป็นปุถุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนา.

[๖๖๗] วิบูลปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา กว้างขวาง เป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญากว้างขวาง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถ กว้างขวาง กำหนดธรรมกว้างขวาง ... กำหนดอภิญญากว้างขวาง กำหนด นิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกว้างขวาง นี้เป็นวิบูลปัญญา ในคำว่า เป็น ไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 665

[๖๖๘] คัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา ลึกซึ้ง เป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญาลึกซึ้ง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ ลึกซึ่ง ในธาตุลึกซึ้ง ... ในอภิญญาลึกซึ้ง ในนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่าง ลึกซึ้ง นี้เป็นคัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง.

[๖๖๙] อัสสามันตปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มี ปัญญาไม่ใกล้ เป็นไฉน? อรรถปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดอรรถ ธรรมปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติ อันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการ กำหนดธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลใดบรรลุแล้ว ทำให้ แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดนิรุตติ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องด้วยปัญญา โดย การกำหนดปฏิภาณ ใครอื่นย่อมไม่สามารถจะครอบงำอรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณของบุคคลผู้นั้นได้ และบุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้หนึ่งที่ใครๆ ครอบงำ ไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของกัลยาณปุถุชนห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ไม่ชิดกับปัญญาของบุคคลที่ ๘ (พระอรหันต์) เมื่อเทียบกับกัลยาณปุถุชน บุคคลที่ ๘ มีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของบุคคลที่ ๘ ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระโสดาบัน เมื่อเทียบกับ บุคคลที่ ๘ พระโสดาบันมีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของพระโสดาบันห่างไกล แสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระสกทาคามี เมื่อเทียบกับพระโสดาบัน

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 666

พระสกทาคามี มีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของพระสกทาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระอนาคามี เมื่อเทียบกับพระสกทาคามี พระอนาคามีมีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของพระอนาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระอรหันต์ เมื่อเทียบกับพระอนาคามี พระอรหันต์มี ปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับ ปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อเทียบกับพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า มีปัญญาไม่ใกล้ เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้าและโลกพร้อมทั้งเทวโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้เลิศ ทรงมีปัญญาไม่ใกล้ ทรงฉลาดในประเภทแห่งปัญญา ทรงมีญาณแตกฉาน ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงถึงเวสารัชชญาณ ๔ ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ทรงเป็นบุรุษนาค ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ทรงเป็นบุรุษนำธุระไป ทรงมี พระญาณหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระเดชหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระยศหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง ทรงมีทรัพย์มาก ทรงมีอริยทรัพย์ ทรงเป็นผู้นำ ทรงเป็น ผู้นำไ่ปให้วิเศษ ทรงนำไปเนืองๆ ทรงบัญญัติ ทรงพินิจ ทรงเพ่ง ทรง ให้หมู่สัตว์เลื่อมใส แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงยังมรรคที่ยัง ไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม ตรัสบอกมรรค ที่ยังไม่มีใครบอก ทรงรู้จักมรรค ทรงทราบมรรค ทรงฉลาดในมรรค ก็แหละพระสาวกทั้งหลายในบัดนี้ และที่จะมีมาในภายหลัง ย่อมเป็นผู้ดำเนิน ไปตามมรรค แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงทราบก็ย่อม ทรงทราบ เมื่อทรงเห็นก็ย่อมทรงเห็น ทรงมีจักษุ ทรงมีญาณ ทรงมีธรรม ทรงมีพรหม ตรัสบอก ตรัสบอกทั่ว ทรงนำอรรถออก ทรงประทานอมตธรรม ทรงเป็นธรรมสามี เสด็จไปอย่างนั้น บทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 667

ไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ไม่ทรงทราบ ไม่ทรงทำให้แจ้ง ไม่ทรงถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญามิได้มี ธรรมทั้งปวงรวมทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ย่อมมาสู่คลองในมุข คือ พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วโดย อาการทั้งปวง ชื่อว่าบทที่ควรแนะนำซึ่งเป็นอรรถเป็นธรรมที่ควรรู้ อย่างใด อย่างหนึ่งและประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ ภพนี้ ประโยชน์ภพหน้า ประโยชน์ตื้น ประโยชน์ลึก ประโยชน์ลับ ประโยชน์ ปกปิด ประโยชน์ที่ควรนำไป ประโยชน์ที่นำไปแล้ว ประโยชน์ไม่มีโทษ ประโยชน์ไม่มีกิเลส ประโยชน์ขาวผ่อง หรือปรมัตถประโยชน์ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปภายในพระพุทธญาณ พระญาณของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นรูปตลอด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทั่วหมด พระญาณของพระพุทธเจ้ามิได้ขัดข้อง ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน เนยยบถมีเท่าใด พระญาณก็มีเท่านั้น พระญาณมี เท่าใด เนยยบถก็มีเท่านั้น พระญาณมีเนยยบถเป็นที่สุดรอบ เนยยบถมีพระญาณ เป็นที่สุดรอบ พระญาณไม่เป็นไปเกินเนยยบถ เนยยบถก็ไม่เกินพระญาณ ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน เปรียบเหมือนผอบสองชั้น สนิทกันดี ผอบชั้นล่างไม่เกินผอบชั้นบน ผอบชั้นบนก็ไม่เกินผอบชั้นล่าง ผอบทั้งสองชั้นนั้นต่างก็ตั้งอยู่ในที่สุดของกันและกัน ฉะนั้น พระพุทธญาณ ย่อมเป็นไปในธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวงเนื่องด้วยความทรงคำนึง เนื่องด้วย ทรงพระประสงค์ เนื่องด้วยทรงพระมนสิการ เนื่องด้วยพระจิตตุบาทของ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว พระพุทธญาณเป็นไปในสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย อนุสัย ความประพฤติ อธิมุตติ ของสรรพสัตว์ ย่อมทรงทราบหมู่สัตว์มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ ผู้มีกิเลสธุลีมากในปัญญา จักษุ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม พระองค์

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 668

พึงทรงให้รู้ได้ง่าย พระองค์พึงให้รู้ได้ยาก เป็นภัพสัตว์ เป็นอภัพสัตว์ โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ย่อมเป็นไปภายในพระพุทธญาณเปรียบเหมือนปลาและเต่า ทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนปลาติมิและปลาติมิงคละ ย่อมว่ายวนอยู่ภายใน มหาสมุทร ฉะนั้น เปรียบเหมือนนกทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนนกครุฑ ตระกูลเวนเตยยะ ย่อมบินร่อนไปในประเทศอากาศ ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร แม้บรรดาสัตว์ผู้มีปัญญา ก็ย่อมเป็นไปในประเทศพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน พุทธญาณแผ่ไป ขจัดปัญหาของเทวดาและมนุษย์แล้วตั้งอยู่ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิ ด้วยปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้วพากันเข้ามาหาพระตถาคต ถาม ปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและทรง แก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมรุ่งเรืองยิ่งด้วยปัญญา เพราะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นผู้เลิศ มีพระปัญญาไม่ใกล้ นี้เป็น อัสสามันตปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้.

[๖๗๐] ภูริปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดัง แผ่นดิน เป็นไฉน?

ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่ง ราคะ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งโทสะ ครอบงำอยู่ ครอบแล้วซึ่งโมหะ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งโกธะ ฯลฯ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 669

กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้ว ซึ่งกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ ว่า เป็นปัญญาย่ำยีราคะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโทสะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโมหะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโกธะอันเป็นข้าศึก ฯลฯ อุปนาหะ ฯลฯ อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง อันเป็นข้าศึก แผ่นดินท่านกล่าวว่า ภูริ บุคคลประกอบด้วยปัญญาอันกว้างขวาง ไพบูลย์ เสมอด้วยแผ่นดินนั้น เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นภูริปัญญา อีกประการหนึ่ง คำว่า ภูริ นี้เป็นชื่อของปัญญา ปัญญาเป็นปริณายก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าภูริปัญญา นี้เป็นภูริปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อ ความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน.[๖๗๑] ปัญญาพาหุลละ ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา มาก เป็นไฉน?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญาหนัก เป็นผู้มีปัญญาเป็นจริต มีปัญญาเป็นที่อาศัย น้อมใจเชื่อด้วยปัญญา มีปัญญาเป็นธงชัย มีปัญญา เป็นยอด มีปัญญาเป็นใหญ่ มีการเลือกเฟ้นมาก มีการค้นคว้ามาก มีการ พิจารณามาก มีการเพ่งพินิจมาก มีการเพ่งพิจารณาเป็นธรรมดา มีธรรมเป็น เครื่องอยู่แจ่มแจ้ง มีปัญญาเป็นจริง มีปัญญาหนัก มีปัญญามาก โน้มไปใน ปัญญา น้อมไปในปัญญา เงื้อมไปในปัญญา น้อมจิตไปในปัญญา มีปัญญา เป็นอธิบดี เปรียบเหมือนภิกษุผู้หนักไปในคณะ ท่านกล่าวว่า มีคณะมาก ผู้หนักในจีวร ท่านกล่าวว่า มีจีวรมาก ผู้หนักในบาตร ท่านกล่าวว่า มีบาตรมาก ผู้หนักในเสนาสนะ ท่านกล่าวว่า มีเสนาสนะมาก ฉะนั้น นี้เป็นปัญญาพาหุลละ ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 670

[๖๗๒] สีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว เป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญศีล ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญอินทรียสังวรให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็น เครื่องบำเพ็ญโภชเน มัตตัญญุตา ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญ ชาคริยานุโยคให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญศีลขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญสมาธิขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญปัญญาขันธ์ ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิมุตติขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็น เครื่องบำเพ็ญวิมุตติญาณทัสนขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอด ฐานะและอฐานะได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิหารสมาบัติให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอริยสัจได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญสติปัฏฐานได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญสัมมัปปธานได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอิทธิบาทได้เร็วๆ เป็น เครื่องเจริญอินทรีย์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญพละได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญ โพชฌงค์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอริยมรรคได้เร็วๆ เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่ง สามัญผลได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอภิญญาได้เร็วๆ เป็นเครื่องทำให้แจ้ง ซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้เร็วๆ นี้เป็นสีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็วๆ.

[๖๗๓] ลหุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา พลันเป็นไฉน?

ชื่อว่าปัญญาพลัน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญ ศีลให้บริบูรณ์ได้พลันๆ ... เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 671

อย่างยิ่งได้พลันๆ นี้เป็นลหุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มี ปัญญาพลัน.

[๖๗๔] หาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา ร่าเริงเป็นไฉน?

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความร่าเริงมาก มีความพอใจมาก มีความยินดีมาก มีความปราโมทย์มาก บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ บำเพ็ญอินทริยสังวรให้บริบูรณ์ ... ซึ่งทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้บริบูรณ์ ด้วยปัญญานั้นๆ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่าปัญญาร่าเริง นี้เป็น หาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง.

[๖๗๕] ชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา แล่นไป เป็นไฉน?

ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาแล่นไปสู่รูปทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกลหรือมีอยู่ในที่ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว แล่นไปสู่เวทนา ฯลฯ สัญญา สังขาร วิญญาณทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกล หรือมีอยู่ในที่ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว แล่นไปสู่จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็น อดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความ เป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้ง รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคต

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 672

และปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่ น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็น ที่ดับรูปไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้เห็นแจ่มแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชรา และมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับชราและมรณะไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะ อรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า รูปทั้งที่เป็น อดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา แล้วแล่นไปในนิพพาน เป็นที่ดับรูปไว ชื่อว่าชวนปัญญาเพราะอรรถว่าปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัย กันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา แล้วแล่น ไปในนิพพานอันเป็นที่ดับชราและมรณะไว นี้เป็นชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป.

[๖๗๖] ติกขปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา คมกล้า เป็นไฉน?

ชื่อว่าติกขปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ทำลายกิเลสได้ไว ไม่ รับรองไว้ ย่อมละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งกามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งอกุศลธรรมอันลามก

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 673

ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ย่อมละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งโทสะ ฯลฯ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขาร ทั้งปวง ฯลฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเป็นเครื่องให้บุคคลได้บรรลุ ทำให้แจ้ง ถูกต้องอริยมรรค ๔ สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ ณ อาสนะเดียว นี้เป็นติกขปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า.

[๖๗๗] นิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มี ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มากไปด้วยความสะดุ้ง ความหวาดเสียว ความเบื่อหน่าย ความระอา ความไม่พอใจ เบือนหน้าออก ไม่ยินดีในสังขาร ทั้งปวง ย่อมเบื่อหน่าย ทำลายกองโลภะ กองโทสะ กองโมหะ ที่ไม่เคย เบื่อหน่าย ที่ไม่เคยทำลาย ย่อมเบื่อหน่าย ทำลายโกธะ ฯลฯ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ กรรมอัน เป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ที่ไม่เคยเบื่อหน่าย ไม่เคยทำลายด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่า นิพเพธิกปัญญา นี้เป็นนิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญา ๑๖ ประการนี้.

[๖๗๘] บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา ๑๖ ประการนี้ เป็นผู้บรรลุ ปฏิสัมภิทา บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ คือ ผู้หนึ่งถึงพร้อมด้วยความเพียร

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 674

มาก่อน ผู้หนึ่งไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียงมาก่อน ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร มาก่อน เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย ความเพียรมาก่อนก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งเป็นพหูสูต ผู้หนึ่งไม่เป็นพหูสูต ผู้เป็น พหูสูตเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่เป็นพหูสูต และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วย ความเพียรมาก่อนมี ๒ แม้ผู้เป็นพหูสูตก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมากด้วยเทศนา ผู้หนึ่งไม่มากด้วยเทศนา ผู้มากด้วยเทศนา เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ ไม่มากด้วยเทศนา และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ และผู้มากด้วยเทศนาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งอาศัยครู ผู้หนึ่งไม่อาศัยครู ผู้อาศัย ครูเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่อาศัยครู และมีญาณแตกฉาน บุคคล ผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความ เพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ และผู้อาศัยครูก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีวิหารธรรมมาก ผู้หนึ่งไม่มีวิหารธรรมมาก ผู้มีวิหารธรรมมาก เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มีวิหารธรรมมาก และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วย ความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครู มี ๒ และผู้มีวิหารธรรมก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีความพิจารณามาก ผู้หนึ่งไม่มี ความพิจารณามาก ผู้มีความพิจารณามากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ ไม่มีความพิจารณามาก และมีญาณแตกฉาน บุคคลบรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมีก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูต

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 675

มี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ และผู้มี ความพิจารณามากก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งเป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้หนึ่ง เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็น พระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้เป็นพระเสขะบรรลุ ปฏิสัมภิทา และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคล ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความ พิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่ง บรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งไม่บรรลุถึงสาวกบารมี ผู้บรรลุถึงสาวกบารมีเป็นผู้ ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่บรรลุถึงสาวกบารมี และมีญาณแตกฉาน บุคคล ผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความ เพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะ บรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ บรรลุถึงสาวกบารมี และมีญาณแตกฉาน เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และโลก พร้อมทั้งเทวโลก ดังนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง เป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา มี พระญาณแตกฉาน ทรงได้ปฏิสัมภิทา ทรงบรรลุถึงเวสารัชชญาณ ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ฯลฯ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญา เปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิด้วย

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 676

ปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้ว พากันเข้ามาหาพระตถาคต ถาม ปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและทรง แก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระปัญญา เพราะทรงแก้ปัญหา เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ฉะนี้แล.

จบมหาปัญญากถา

อรรถกถามหาปัญญากถา ในปัญญาวรรค

บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่พรรณนาแห่งปัญญากถา อัน พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับแห่งสุญญกถาอันเป็นปทัฏฐานแห่งปัญญา โดยพิเศษ.

ตอนต้นในปัญญากถานั้น ปัญญา ๗ ประการ มีอนุปัสสนาหนึ่งๆ เป็นมูลในอนุปัสสนา ๗ พระสารีบุตรเถระชี้แจง ทำคำถามให้เป็นเบื้องต้นก่อน. ปัญญา ๓ มีอนุปัสสนา ๒ เป็นมูล และมีอนุปัสสนาอันยิ่งอย่างหนึ่งๆ เป็นมูล พระสารีบุตรเถระชี้แจงไม่ทำคำถาม. ท่านชี้แจงความบริบูรณ์ของปัญญา ๑๐ แต่ต้นด้วยประการฉะนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในอนุปัสสนาเหล่านั้น ดังต่อไปนี้. เพราะอนิจจานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นเป็นของไม่เที่ยง) แล่นไปในสังขารที่เห็นแล้ว

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 677

โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ และโดยความเป็นอนัตตาว่า สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ฉะนั้น อนิจจานุปัสสนานั้น ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา (ปัญญาแล่นไป) ให้บริบูรณ์ จริงอยู่ ปัญญานั้นชื่อว่า ชวนา เพราะแล่น ไปในวิสัยของตน ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะปัญญานั้นแล่นไป.

ทุกขานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นเป็นทุกข์) มีกำลังเพราะอาศัย สมาธินทรีย์ ย่อมชำแรก ย่อมทำลายปณิธิ เพราะฉะนั้น ทุกขานุปัสสนา ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญาทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์. จริงอยู่ ปัญญา นั้นชื่อว่า นิพฺเพธิกา เพราะทำลายกิเลส ชื่อว่า นิพฺเพธิกปฺา เพราะ ปัญญานั้นทำลายกิเลส.

อนัตตานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา) ย่อมยังมหาปัญญา ให้บริบูรณ์ เพราะการถึงความเจริญด้วยเห็นความเป็นของสูญเป็นการถึงความ ยิ่งใหญ่. จริงอยู่ ปัญญานั้นชื่อว่า มหาปญฺา ปัญญาใหญ่เพราะถึงความ ความเจริญ.

เพราะนิพพิทานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย) เป็น ปัญญาคมกล้าสามารถเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพราะความที่อนุปัสสนา ๓ นั่นแหละเป็นที่ตั้งของการมีกำลังด้วยอาเสวนะ แม้แต่ก่อน ฉะนั้น นิพพิทานุปัสสนาย่อมยังติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) ให้บริบูรณ์.

เพราะแม้วิราคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด) ก็ กว้างขวางสามารถคลายกำหนัดจากสังขารทั้งปวง เพราะอนุปัสสนา ๓ นั่นแหละ เป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลัง ด้วยอาเสวนะแม้แต่ก่อน ฉะนั้น วิราคานุ- ปัสสนาย่อมยังวิบูลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 678

เพราะแม้นิโรธานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความดับ) ก็ลึกซึ้ง สามารถเห็นความดับทั้งปวง ด้วยลักษณะของความเสื่อม เพราะอนุปัสสนา ๓ นั่นแหละ เป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลังด้วยอเสวนะแม้แต่ก่อน ฉะนั้น นิโรธานุปัสสนาย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์. จริงอยู่ นิโรธชื่อว่า คมฺภีโร เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยปัญญาอันตื้นๆ แม้ปัญญาถึง ความหยั่งลงในความลึกซึ้งนั้น ก็ชื่อว่า คมฺภีรา.

แม้เพราะปฏินิสสัคคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นการสละคืน) เป็น ปัญญาไม่ใกล้สามารถสละคืนสังขารทั้งปวงด้วยลักษณะแห่งความเสื่อม เพราะ อนุปัสสนา ๓ นั่นแหละเป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลัง ด้วยอเสวนะแม้แต่ต้น เพราะพุทธิย่อมอยู่ไกลกว่าปัญญา ๖ เพราะยังไม่ถึงชั้นยอด ฉะนั้น ปฏินิสสัคคานุปัสสนาย่อมยังอสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้) ให้บริบูรณ์ เพราะ ไม่ใกล้เอง. จริงอยู่ อสามันตปัญญานั้น ชื่อว่า อสามนฺตา เพราะไกลจาก ปัญญาเบื้องต่ำ ชื่อว่า อสามนฺตปญฺา เพราะปัญญาไม่ใกล้.

บทว่า ปณฺฑิจฺจํ ปูเรนฺติ คือ ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์. เพราะปัญญา ๗ ตามที่กล่าวแล้ว เจริญให้บริบูรณ์แล้ว ถึงลักษณะของบัณฑิต เป็นบัณฑิตด้วยสังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ และโคตรภูญาณกล่าว คือ วุฏฐานคามินีวิปัสสนาอันถึงยอด เป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปณฺทิจฺจํ ปูเรนฺติ ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์.

บทว่า อฏฺปญฺา คือ ปัญญา ๘ ประการทั้งปวงพร้อมด้วยปัญญา คือความเป็นบัณฑิต. บทว่า ปุถุปญฺํ ปริปูเรนฺติ ย่อมยังปุถุปัญญา (ปัญญาแน่นหนา) ให้บริบูรณ์ คือ เพราะบัณฑิตนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยความ เป็นบัณฑิตนั้นกระทำนิพพาน ในลำดับโคตรภูญาณให้เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุ

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 679

ปัญญาคือมรรคผล ที่กล่าวว่า ปุถุปญฺา เพราะปัญญาบรรลุความเป็น โลกุตระแน่นหนากว่าโลกิยะ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญา ๘ ประการ ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อิมา นว ปญฺา ปัญญา ๙ ประการ นี้ ดังต่อไปนี้. การพิจารณามรรคของพระอริยบุคคลนั้นผู้บรรลุมรรคและผล ตามลำดับ ผู้มีจิตสันดานเป็นไปด้วยอาการร่าเริง เพราะมีจิตสันดานประณีต ด้วยการประกอบโลกุตรธรรมอันประณีต ผู้ออกจากภวังค์หยั่งลงในลำดับแห่ง ผลการพิจารณาผลของพระอริยบุคคล ผู้หยั่งลงสู่ภวังค์แล้วออกจากภวังค์นั้น การพิจารณากิเลสที่ละได้แล้วโดยนัยนี้แหละ การพิจารณากิเลสที่เหลือ การ พิจารณานิพพาน การพิจารณา ๕ ประการ ย่อมเป็นไปด้วยประการดังนี้แล. ในการพิจารณาเหล่านั้น การพิจารณามรรค และการพิจารณาผล เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาอย่างไร. ท่านติดตามบาลีในอภิธรรม แล้วกล่าวไว้ในอรรถกถา นั้นว่า ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ คือ ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ นิพพาน ๑ อรรถแห่งภาษิต ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ เป็นอรรถ. มรรคญาณ และผลญาณอันมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ เพราะพระนิพพานเป็นอรรถ จึงเป็น อรรถปฏิสัมภิทา เพราะคำว่า ญาณในอรรถทั้งหลาย เป็นอรรถปฏิสัมภิทา. ปัจจเวกขณญาณแห่งมรรคญาณและผลญาณ อันเป็นอรรถปฏิสัมภิทานั้น เป็น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะคำว่า ญาณในญาณทั้งหลาย เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัจจเวกขณญาณนั้น ชื่อว่าหาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) แห่งจิตสันดานอัน เป็นไปด้วยอาการร่าเริง เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญา ๙ ย่อมยัง หาสปัญญาให้บริบูรณ์ และหาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแม้มี

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 680

ประการทั้งปวง ชื่อว่า ปญฺา เพราะอรรถว่า ให้รู้กล่าวคือทำเนื้อความนั้นๆ ให้ปรากฏ ชื่อว่า ปญฺา เพราะรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้นๆ.

บทว่า ตสฺส คืออันพระอริยบุคคลมีประการดังกล่าวแล้วนั้น. บท นั้นเป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ. บทว่า อตฺถววตฺถานโต โดยกำหนดอรรถ คือโดยกำหนดอรรถ ๕ อย่างตามที่กล่าวแล้ว. อนึ่ง แม้บัดนี้ ท่านก็กล่าวไว้ในสมณกรณียกถา (กถาอันสมณะพึงกระทำ) ว่าญาณอันมีประเภท เป็นส่วนที่ ๑ ใน ๕ ประเภท ในอรรถคือ เหตุผล ๑ นิพพาน ๑ อรรถแห่งคำ ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑. บทว่า อธิคตา โหติ อันบุคคลบรรลุแล้ว คือ ได้แล้ว ปฏิสัมภิทานั้นแหละ อันบุคคลทำให้แจ้งแล้วด้วยการทำให้แจ้งการได้ เฉพาะ ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ด้วยผัสสะที่ได้เฉพาะนั่นแหละ. บทว่า ธมฺมววตฺถานโต โดยกำหนดธรรม คือโดยกำหนดธรรม ๕ อย่างที่ท่าน กล่าวโดยทำนองแห่งบาลีในอภิธรรมว่า ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ คือ เหตุอันยังผล ให้เกิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ อริยมรรค ๑ ภาษิต ๑ กุศล ๑ อกุศล ๑ ชื่อว่า ธรรม. แม้บทนี้ท่านก็กล่าวไว้ในสมณกรณียกถาว่า ญาณอันมีประเภทเป็น ส่วนที่ ๒ ใน ๕ ประเภทในธรรม คือ เหตุ ๑ อริยมรรค ๑ คำพูด ๑ กุศล ๑ อกุศล ๑.

บทว่า นิรุตฺติววตฺถานโต โดยการกำหนดนิรุตติ คือโดยการกำหนด นิรุตติอันสมควรแก่อรรถนั้นๆ. บทว่า ปฏิภาณววตฺถานโต โดยการกำหนด ปฏิภาณ คือโดยการกำหนดปฏิสัมภิทาญาณ ๓ อันได้แก่ ปฏิภาณ. บทว่า ตสฺสิมา ตัดบทเป็น ตสฺส อิมา นี้เป็นคำสรุป.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงคุณวิเศษของอนุปัสสนาทั้งหลายด้วยการ สงเคราะห์เข้าด้วยกันทั้งหมดอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยประเภทแห่ง

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 681

วัตถุ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูเป อนิจฺจานุปสฺสนา การพิจารณาเห็นความ ไม่เที่ยงในรูป. บทนั้นมีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงชวนปัญญาด้วยสามารถแห่งอดีต อนาคตและปัจจุบันในรูปเป็นต้น จึงตั้งคำถามด้วยอำนาจรูปเป็นต้น อย่างเดียว และด้วยอำนาจรูปในอดีต อนาคต และปัจจุบันแล้วได้แก้ไปตามลำดับของ คำถาม. ในชวนปัญญานั้น ปัญญาที่ท่านชี้แจงไว้ก่อนในการแก้รูปล้วนๆ เป็นต้น เป็นชวนปัญญาด้วยสามารถแห่งการแล่นไปในอดีตเป็นต้นในการแก้ทั้งหมด อันมีรูปในอดีตอนาคตและปัจจุบันเป็นมูล. พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงประเภทแห่งปัญญาอันมีพระสูตรไม่ น้อยเป็นเบื้องต้นอีก จึงแสดงพระสูตรทั้งหลายก่อน.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สปฺปุริสสํเสโว การคบสัตบุรุษ คือการคบ สัตบุรุษทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วในหนหลัง. บทว่า สทฺธมฺมสฺสวนํ การฟังพระสัทธรรม คือฟังคำสอนแสดงข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้นในสำนักของ สัตบุรุษทั้งหลายเหล่านั้น. บทว่า โยนิโสมนสิกาโร การทำไว้ในใจโดย แยบคาย คือ ทำไว้ในใจโดยอุบายด้วยการพิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ฟังแล้ว. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือปฏิบัติธรรม อันเป็นข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้น อันเนื่องในโลกุตรธรรม.

คำ ๔ เหล่านั้นคือ ปญฺาปฏิลาภาย (เพื่อได้ปัญญา) ๑ ปญฺาวุทฺธิยา (เพื่อความเจริญแห่งปัญญา) ๑ ปญฺาเวปุลฺลาย (เพื่อความไพบูลย์แห่ง ปัญญา) ๑ ปญฺาพาหุลฺลาย (เพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก) ๑ เป็นคำแสดง ภาวะด้วยอำนาจแห่งปัญญา. คำ ๑๒ คำที่เหลือ เป็นคำแสดงภาวะด้วยอำนาจ แห่งบุคคล.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 682

อรรถกถาโสฬสปัญญานิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศดังต่อไปนี้. บทว่า ฉนฺนํ อภิญฺานํ อภิญญา ๖ คือ อิทธิวิธ (แสดงฤทธิได้) ๑ ทิพยโสต (หูทิพย์) ๑ เจโตปริยญาณ (รู้จักกำหนดใจผู้อื่น) ๑ ปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ๑ ทิพยจักขุ (ตาทิพย์) ๑ อาสวักขยญาณ (รู้จักทำอาสวะให้สิ้น) ๑. บทว่า เตสตฺตตีนํ าณานํ ญาณ ๗๓ คือญาณทั่วไปแก่สาวกที่ท่านชี้แจงไว้แล้วในญาณกถา.

ในบทว่า สุตฺตสตฺตตีนํ าณานํ ญาณ ๗๗ มีพระบาลีว่า ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง แก่เธอทั้งหลาย จงฟัง จงใส่ใจไว้ให้ดี เราจักกล่าว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ญาณวัตถุ ๗๗ เป็น ไฉน? ญาณว่าเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะก็ไม่มี. ญาณว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยแม้ในอดีตกาล ก็มีชราและ มรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะก็ไม่มี ญาณว่า เพราะชาติเป็น ปัจจัยแม้ในกาลอนาคตก็มีชราและมรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะ ก็ไม่มี. ญาณว่า ธัมมัฏฐิติญาณมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อม ไปเป็นธรรมดา มีความสำรอกกิเลสเป็นธรรมดา มีความดับเป็นธรรมดา. ญาณว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ. ฯลฯ ญาณว่า เพราะอุปาทานเป็น ปัจจัยจึงมีภพ. ญาณว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน. ญาณว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา. ญาณว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมี เวทนา. ญาณว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ. ญาณว่า เพราะ นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ. ญาณว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนาม รูป. ญาณว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ. ญาณว่า เพราะอวิชชา

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 683

เป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชาสังขารก็ไม่มี. ญาณว่า เพราะ อวิชชาเป็นปัจจัยแม้ในกาลเป็นอดีตก็มีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชา สังขาร ก็ไม่มี. ญาณว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย แม้ในกาลอนาคตก็มีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชา สังขารก็ไม่มี. ญาณว่า ธัมมัฏฐิติญาณมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความสำรอกกิเลสเป็นธรรมดา มีความดับไป เป็นธรรมดา.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวญาณวัตถุ ๗๗ อย่างเหล่านี้. ญาณ ๗๗ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในนิทานวรรคด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง ญาณวัตถุ ๔ อย่าง ท่านกล่าวอย่างละ ๔ ในองค์ ๑๑ โดยนัยนี้ว่า ญาณใน ชราและมรณะ ญาณในเหตุเกิดชราและมรณะ ญาณในความดับชราและมรณะ ญาณในปฏิปทาให้ความดับชราและมรณะ ท่านมิได้ถือเอาในที่นี้. อนึ่ง ญาณ ในทั้งสองแห่งนั้นเป็นวัตถุแห่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข จึงชื่อว่า ญาณวัตถุ.

การได้ในบทมีอาทิว่า ลาโภ ท่านกล่าวว่า ปฏิลาโภ การได้เฉพาะ เพราะเพิ่มอุปสรรคทำให้วิเศษ. เพื่อขยายความแห่งบทนั้นอีก ท่านจึงกล่าวว่า ปตฺติ สมฺปตฺติ การถึง การถึงพร้อม. บทว่า ผสฺสนา การถูกต้อง คือ การ ถูกต้องด้วยการบรรลุ. บทว่า สจฺฉิกิริยา การทำให้แจ้ง คือ การทำให้แจ้งด้วย การได้เฉพาะ. บทว่า อุปสมฺปทา การเข้าถึงพร้อม คือการให้สำเร็จ. บทว่า สตฺตนฺนญฺจ เสกฺขานํ พระเสกขะ ๗ จำพวก คือของพระเสกขะ ๗ จำพวกมีท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ซึ่งรู้กันว่า เป็นพระเสกขะเพราะยัง ต้องศึกษาสิกขา ๓. บทว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณกสฺส ของกัลยาณปุถุชน คือ ของปุถุชนที่รู้กันว่า เป็นคนดีโดยอรรถว่า เป็นผู้ดีเพราะประกอบปฏิปทาอัน ยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน. บทว่า วฑฺฒิตวฑฺฒนา คือเป็นเหตุเจริญด้วยปัญญา

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 684

ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งปัญญา ๘ ตามที่กล่าวแล้ว และด้วยอำนาจแห่งปัญญาของพระอรหันต์ ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่ง ปัญญาก็เหมือนกัน.

ในบทมีอาทิว่า มหนฺเต อตฺเถ ปริคฺคณฺหาติ ย่อมกำหนดอรรถ ใหญ่มีความดังต่อไปนี้. พระอริยสาวกผู้บรรลุปฏิสัมภิทาย่อมกำหนดอรรถ เป็นต้นด้วยทำให้เป็นอารมณ์. มหาปัญญาแม้ทั้งหมดก็เป็นของพระอริยสาวก ทั้งหลายนั่นแหละ. อนึ่ง มหาปัญญาเป็นวิสัยแห่งปัญญานั้น มีความดังได้กล่าว แล้วในหนหลังนั่นแหละ.

นานาศัพท์ในบทมีอาทิว่า ปุถุนานาขนฺเธสุ ในขันธ์ต่างๆ มาก เป็นคำกล่าวถึงอรรถแห่งปุถุศัพท์. บทว่า าณํ ปวตฺตีติ ปุถุปญฺา ชื่อว่า ปุถุปัญญา เพราะญาณเป็นไป ความว่า ญาณนั้นชื่อว่า ปุถุปัญญา เพราะญาณเป็นไปในขันธ์เป็นต้นตามที่กล่าวแล้วนั่น. บทว่า นานาปฏิจฺจ- สมุปฺปาเทสุ ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ ท่านกล่าวเพราะเป็นปัจจัยมากด้วย อำนาจแห่งธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น. บทว่า นานาสุญฺตมนุลพฺเภสุ ในความ ได้เนืองๆ ซึ่งความสูญต่างๆ คือ การเข้าไปได้ชื่อว่า อุปลัพภะ อธิบายว่า การถือเอา การไม่เข้าไปได้ชื่อว่า อนุปลัพภะ เพราะการไม่เข้าไปได้ คำมาก ชื่อว่า อนุปลัพภา เป็นพหุวจนะ. อีกอย่างหนึ่ง การไม่เข้าไปได้ซึ่งตน และสิ่งที่เนื่องด้วยตนในความสูญต่างๆ ด้วยสุญญตา ๒๕ ชื่อว่า นานาสุญญตานุปลัพภา. ในนานาสุญญตานุปลัพภานั้น. เมื่อควรจะกล่าวว่า นานาสุญฺตมนุปลพฺเภสุ ท่านกล่าว อักษรด้วยบทสนธิดุจในบทว่า อทุกฺขมสุขา ไม่ทุกข์ไม่สุข. ปัญญา ๕ อย่างเหล่านี้ทั่วไป ด้วยกัลยาณปุถุชน

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 685

ปัญญาในบทมีอาทิว่า นานาอตฺถา มีอรรถต่างๆ ของพระอริยเจ้าเท่านั้น. บทว่า ปุถุชฺชนสาธารเณ ธมฺเม ในธรรมทั่วไปแก่ปุถุชน คือโลกิยธรรม. ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ปุถุชนปัญญา เพราะปัญญาหนา ปัญญาแผนกหนึ่ง เพราะมีนิพพานอันเป็นของใหญ่เป็นอารมณ์จากโลกิยะโดยปริยายในที่สุดนี้. บทว่า วิปุลปญฺา พึงทราบความนัยแห่งมหาปัญญา. เมื่อกำหนดธรรม ตามที่กล่าวแล้ว พึงทราบความไพบูลย์ของปัญญากำหนดธรรมเหล่านั้นเพราะ มีคุณใหญ่และปัญญากำหนดธรรมเหล่านั้นเพราะความใหญ่ และกำหนดธรรม เพราะความใหญ่ เพราะความยิ่งใหญ่ด้วยตนเองเท่านั้น. คัมภีร์ปัญญาพึงทราบ โดยนัยแห่งปุถุปัญญา. ธรรมเหล่านั้น อันไม่พึงได้ และปัญญานั้น ชื่อว่า คัมภีรา เพราะปกติชนไม่พึงได้.

บทว่า ยสฺส ปุคฺคลสฺส คือ แห่งพระอริยบุคคลนั่นแหละ. บทว่า อญฺโ โกจิ ใครอื่น คือ ปุถุชน. บทว่า อภิสมฺภวิตุํ เพื่อครอบงำได้ คือ เพื่อถึงพร้อมได้. บทว่า อนภิสมฺภวนีโย อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ คือ อันใครๆ ไม่สามารถบรรลุได้. บทว่า อญฺเหิ คือ ปุถุชนนั่นแหละ. บทว่า อฏฺมกสฺส ของบุคคลที่ ๘ คือของท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาบัติมรรค เป็นบุคคลที่ ๘ นับตั้งแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล. บทว่า ทูเร คือในที่ไกล. บทว่า วิทูเร คือไกลเป็นพิเศษ. บทว่า สุวิทูเร คือไกลแสนไกล. บทว่า น สนฺติเก คือไม่ใกล้. บทว่า น สามนฺตา คือในส่วนไม่ใกล้. คำประกอบ คำปฏิเสธทั้งสองนี้ กำหนดถึงความไกลนั่นเอง. บทว่า อุปาทาย คืออาศัย บทว่า โสตาปนฺนสฺส คือท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวว่า มรรคปัญญานั้นๆ ห่างไกลจากผลปัญญานั้นๆ. บทว่า ปจฺเจกฺสมฺพุทฺโธ แปลกกันด้วยอุปสรรค. ทั้งสองบทนี้ บริสุทธิ์เหมือนกัน.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 686

พระสารีบุตรเถระครั้นกล่าวคำมีอาทิว่า ปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า และชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกห่างไกลจากปัญญาของพระตถาคต แล้วประสงค์จะ แสดงปัญญาอันตั้งอยู่ไกลนั้นโดยประการไม่น้อย จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ปญฺาปเภทกุสโล พระตถาคตทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญาดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺาปเภทกุสโล คือทรงฉลาดในประเภท แห่งปัญญาอันมีกำหนดมากมายของพระองค์. บทว่า ปภินฺนาโณ ทรงมี ญาณแตกฉาน คือ มีพระญาณถึงประเภทหาที่สุดมิได้. ด้วยบทนี้ แม้เมื่อมี ความฉลาดในประเภทแห่งปัญญา พระสารีบุตรเถระก็แสดงความที่ปัญญา เหล่านั้นมีประเภทหาที่สุดมิได้. บทว่า อธิคตปฏิสมฺภิโท ทรงบรรลุ ปฏิสัมภิทา คือ ทรงได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อันเลิศ. บทว่า จตุเวสารชฺชปฺ- ปตฺโต. ทรงถึงเวสารัชชญาณ ๔ คือทรงถึงญาณ กล่าวคือความกล้าหาญ ๔. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่พิจารณานิมิตนั้นว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ธรรมเหล่านั้น สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลกนี้จักท้วงเราในข้อนั้นพร้อมกับธรรมว่า ธรรมเหล่านี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิได้ตรัสรู้แล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรามิได้พิจารณาถึง นิมิตนั้นเป็นผู้ถึงความเกษม ถึงความไม่มีภัย ถึงความกล้าหาญอยู่ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เรายังไม่พิจารณาเห็นนิมิตนั้นว่า เมื่อพระขีณาสพรู้ธรรมเหล่านั้น สมณะ พราหมณ์ ฯลฯ หรือใครๆ ในโลก จักท้วงเราในข้อนั้นพร้อมกับ ธรรมว่า อาสวะเหล่านี้ยังไม่สิ้นไป เมื่อพระขีณาสพเสพอันตรายิกธรรม ที่กล่าวก็ไม่ควรเพื่อเป็นอันตรายได้ อนึ่ง ธรรมที่ท่านแสดงแล้วเพื่อประโยชน์

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 687

แก่บุคคลใด ธรรมนั้นย่อมไม่นำออก เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่บุคคลผู้ กระทำนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่เห็นนิมิตนั้น ฯลฯ อยู่.

บทว่า ทสพลธารี ทรงพละ ๑๐ ชื่อว่า ทสพลา เพราะมีพละ ๑๐. พละของท่านผู้มีพละ ๑๐ ชื่อว่า ทสพลพลานิ ชื่อว่า ทสพลพลธารี เพราะทรงพละของผู้มีพละ ๑๐ อธิบายว่าทรงกำลังทศพลญาณ. ด้วยคำทั้ง ๓ เหล่านี้ ท่านแสดงเพียงหัวข้อประเภทของเวไนยสัตว์อันมีประเภทมากมาย. พระตถาคตทรงเป็นบุรุษองอาจด้วยได้สมมติ เป็นมงคลยิ่ง โดยประกอบด้วย ปัญญา ทรงเป็นบุรุษสีหะด้วยอรรถว่าความไม่หวาดสะดุ้ง ทรงเป็นบุรุษนาค ด้วยอรรถว่าเป็นใหญ่ ทรงเป็นบุรุษอาชาไนยด้วยอรรถว่าเป็นผู้รู้ทั่ว ทรงเป็น บุรุษนำธุระไปด้วยอรรถว่านำกิจธุระของโลกไป.

ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงคุณวิเศษที่ได้จากอนันตญาณมีเดชเป็นต้น เพื่อจะแสดงความที่เดชเป็นต้นเหล่านั้นเป็นรากของอนันตญาณจึงกล่าว อนนฺตาโณ ทรงมีพระญาณหาที่สุดมิได้ แล้วกล่าวบทมีอาทิว่า อนนฺตเตโช ทรงมีเดชหาที่สุดมิได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อนนฺตาโน คือทรงมีญาณปราศจากที่สุด ด้วยการคำนวณและด้วยความเป็นผู้มีอำนาจ. บทว่า อนนฺตเตโช คือทรงมีเดช ถือพระญาณหาที่สุดมิได้ ด้วยการกำจัด มืด คือ โมหะในสันดานของเวไนยสัตว์. บทว่า อนนฺตยโส ทรงมีพระยศหาที่สุดมิได้ คือ ทรงมีการประกาศเกียรติคุณ หาที่สุดมิได้ แผ่ไป ๓ โลกด้วยพระปัญญาคุณ. บทว่า อฑฺโฆ ทรงเป็น ผู้มั่งคั่ง คือ ทรงเพียบพร้อมด้วยทรัพย์ คือ ปัญญา. บทว่า มหทฺธโน ทรงมีทรัพย์มาก ชื่อว่า มหทฺธโน เพราะมีทรัพย์ คือ ปัญญามากโดยความ เป็นผู้มากด้วยอำนาจ แม้ในเพราะความเป็นผู้เจริญด้วยทรัพย์ คือ ปัญญา.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 688

บทว่า ธนวา ทรงมีอริยทรัพย์ ชื่อว่า ธนวา เพราะมีทรัพย์ คือ ปัญญา อันควรสรรเสริญ เพราะมีทรัพย์ คือ ปัญญาอันประกอบอยู่เป็นนิจ เพราะมี ทรัพย์ คือ ปัญญาอันเป็นความยอดเยี่ยม. ในอรรถทั้ง ๓ เหล่านี้ ผู้รู้ศัพท์ ทั้งหลายย่อมปรารถนาคำนี้.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงความสำเร็จในอัตสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระปัญญาคุณอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงความสำเร็จสมบัติอันเป็น ประโยชน์แก่โลกด้วยพระปัญญาคุณอีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เนตา ทรงเป็น ผู้นำ.

พึงทราบควานในบทเหล่านั้นดังต่อไปนี้. ทรงเป็นผู้นำเวไนยสัตว์ ทั้งหลายไปสู่ฐานะอันเกษม คือ นิพพานจากฐานะอันน่ากลัว คือ สงสาร ทรงเป็นผู้นำไปให้วิเศษซึ่งเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วยสังวรวินัย และปหานวินัย ในเวลาทรงแนะนำ ทรงนำไปเนืองๆ ด้วยการตัดความสงสัยในขณะทรงแสดง ธรรม ทรงตัดความสงสัยแล้วทรงบัญญัติอรรถที่ควรให้รู้ ทรงพินิจด้วย ทำการตัดสินข้อที่บัญญัติไว้อย่างนั้น ทรงเพ่งอรรถที่ทรงพินิจแล้วอย่างนั้น ด้วยการประกอบในการปฏิบัติ ทรงให้หมู่สัตว์ผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนั้นเลื่อมใส ด้วยผลของการปฏิบัติ. หิ อักษรในบทนี้ว่า โส หิ ภควา เป็นนิบาตลงใน การแสดงอ้างถึงเหตุแห่งอรรถที่กล่าวไว้แล้วในลำดับ. บทว่า อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น คือ ยังอริยมรรค อันเป็นเหตุแห่งอสาธารณญาณ ๖ ซึ่งยังไม่เคยเกิดในสันดานของตน ให้เกิดขึ้น ในสันดานของตน เพื่อประโยชน์แก่โลก ณ โคนต้นโพธิ์. บทว่า อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชาเนตา ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม คือ ยัง อริยมรรคอันเป็นเหตุแห่งสาวกปารมิญาณที่ยังไม่เคยเกิดพร้อมในสันดานของ

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 689

เวไนยสัตว์ให้เกิดพร้อมในสันดานของเวไนยสัตว์ ตั้งแต่ทรงประกาศพระธรรม จักรจนตราบเท่าถึงทุกวันนี้. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า สัญชาเนตา เพราะทรงยังอริยมรรคให้เกิดพร้อมในสันดานของเวไนยผู้เป็นสาวกด้วยพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นั่นแหละ. บทว่า อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก คือ ทรงให้คำพยากรณ์เพื่อความ เป็นพระพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้สะสมบุญกุศลไว้เพื่อความเป็น พระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยธรรม ๘ ประการแล้วทรงบอกมรรค คือ ความเป็น บารมีที่ยังไม่เคยบอก หรืออริยมรรคที่ควรให้เกิดขึ้น ณ โคนต้นโพธิโดยเพียง พยากรณ์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า. นัยนี้ย่อมได้แม้ในการพยากรณ์พระปัจเจกโพธิสัตว์เหมือนกัน.

บทว่า มคฺคญฺญู ทรงรู้จักมรรค คือ ทรงรู้อริยมรรคอันตนให้ เกิดขึ้นด้วยการพิจารณา. บทว่า มคฺควิทู ทรงทราบมรรค คือ ทรงฉลาด อริยมรรคอันพึงให้เกิดขึ้นในสันดานของเวไนยสัตว์. บทว่า มคฺคโกวิโท ทรงฉลาดในมรรค คือ ทรงเห็นแจ้งมรรคที่ควรบอกแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.

อีกอย่างหนึ่ง ทรงรู้มรรคอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่ออภิสัมโพธิ ทรงทราบมรรคอัน เป็นข้อปฏิบัติเพื่อปัจเจกโพธิ ทรงฉลาดในมรรคอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อสาวกโพธิ. อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ทั้งหลายย่อมทำการประกอบอรรถตามลำดับ ด้วยอำนาจแห่งมรรคของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกในอดีต อนาคตและปัจจุบันด้วยอำนาจแห่งอัปปณิหิตมรรคอันมีสุญญตะเป็นนิมิต และ ด้วยอำนาจแห่งมรรคของอุคฆฏิตัญญูบุคคล วิปจิตัญญูบุคคล และไนยบุคคล ตามควร เพราะบาลีว่า ด้วยมรรคนี้ สาวกทั้งหลาย ข้ามแล้วในก่อน จักข้าม ย่อมข้ามซึ่งโอฆะดังนี้.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 690

บทว่า มคฺคานุคามี จ ปน ก็และพระสาวกเป็นผู้ดำเนินไปตาม มรรค คือ เป็นผู้ดำเนินไปตามมรรคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินไปแล้ว. จ ศัพท์ในบทนี้เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งเหตุ. ด้วยบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงเหตุแห่งการบรรลุคุณมียังมรรคให้เกิดเป็นต้น. ปน ศัพท์เป็นนิบาต ลงในอรรถว่าทำแล้ว. ด้วยบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งมรรคที่ ทำแล้ว. บทว่า ปจฺฉา สมนฺนาคตา พระสาวกที่จะมาภายหลัง คือ เมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วก่อน พระสาวกประกอบด้วยคุณมีศีลอันมาภายหลังเป็นต้น. ด้วยเหตุดังนี้ เพราะคุณมีศีลเป็นต้น แม้ทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคเจ้าอาศัยอรหัตตมรรคนั่นแหละมาแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ด้วยยังมรรคที่ยัง ไม่เกิดให้เกิดขึ้นดังนี้ ฉะนั้น พระเถระกล่าวถึงคุณเพราะอาศัยอรหัตตมรรค นั่นแหละ. บทว่า ชานํ ชานาติ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงทราบ ก็ย่อม ทรงทราบ คือ ย่อมทรงทราบสิ่งที่ควรทรงทราบ อธิบายว่า ธรรมดาสิ่งที่ ควรทราบด้วยปัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพระสัพพัญญุตญาณยังมีอยู่ ย่อม ทรงทราบสิ่งที่ควรทราบทั้งหมดนั้นอันเป็นทางแห่งข้อควรแนะนำ ๕ ประการ ด้วยปัญญา. บทว่า ปสฺสํ ปสฺสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเห็นก็ย่อม ทรงเห็น คือ ทรงเห็นสิ่งที่ควรเห็น อธิบายว่า ทรงกระทำทางอันควรแนะนำ นั้นแหละ ดุจเห็นด้วยจักษุเพราะเห็นทั้งหมด ชื่อว่า ย่อมเห็นด้วยปัญญาจักษุ หรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้เป็นเหมือนคนบางพวกแม้ถือเอาสิ่งวิปริต รู้อยู่ ก็ย่อมไม่รู้ แม้เห็นก็ย่อมไม่เห็น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือตามสภาพที่ เป็นจริง ทรงทราบก็ย่อมทรงทราบ ทรงเห็นก็ย่อมทรงเห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นชื่อว่าทรงมีจักษุ เพราะอรรถว่าทรงเป็นผู้นําในการเห็น ชื่อว่าทรงมีญาณเพราะอรรถว่ามีความเป็นผู้ทรงรู้แจ้งเป็นต้น ชื่อว่าทรงมีธรรม

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 691

เพราะอรรถว่ามีสภาพไม่วิปริต หรือสำเร็จด้วยธรรมที่พระองค์ทรงคิดด้วย พระทัย แล้วทรงเปล่งด้วยพระวาจา เพราะทรงชำนาญทางปริยัติธรรม ชื่อว่า ทรงมีพรหม เพราะอรรถว่าทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุด. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทรงมีจักษุเพราะทรงเป็นดุจจักษุ ชื่อว่าทรงมีญาณ เพราะทรงเป็นดุจญาณ ชื่อว่า ทรงมีธรรม เพราะทรงเป็นดุจธรรม ชื่อว่า ทรงมีพรหม เพราะ ทรงเป็นดุจพรหม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสบอก เพราะตรัสบอกพระธรรม หรือเพราะยังพระธรรมให้เป็นไป ตรัสบอกทั่ว เพราะตรัสบอกโดยประการ ต่างๆ หรือให้เป็นไปโดยประการต่างๆ ทรงนำอรรถออก เพราะทรงนำ อรรถออกแล้วจึงทรงแนะนำ ทรงประทานอมตธรรม เพราะทรงแสดงข้อ ปฏิบัติเพื่อบรรลุอมตธรรม หรือเพราะทรงให้บรรลุอมตธรรมด้วยการแสดง ธรรมประกาศอมตธรรม ทรงเป็นธรรมสามี เพราะทรงให้เกิดโลกุตรธรรม ด้วยการประทานโลกุตรธรรมตามความสุขโดยสมควรแก่เวไนยสัตว์ และทรง เป็นอิสระในธรรมทั้งหลาย. บทว่า ตถาคต มีอรรถดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง.

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงคุณดังที่กล่าวแล้วด้วยบทมี อาทิว่า ชานํ ชานาติ เมื่อทรงทราบก็ย่อมทรงถวายให้วิเศษยิ่งขึ้นเพราะ พระสัพพัญญุตญาณ เมื่อจะยังพระสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จจึงกล่าวบทมี อาทิว่า นตฺถิ มิได้มีดังนี้ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาญเจ้าพระองค์นั้นผู้ทรง เป็นอย่างนั้น มิได้ทำให้แจ้งมิได้มี เพราะกำจัดความหลงพร้อมด้วยวาสนาใน ธรรมทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรคญาณอันสำเร็จด้วยอำนาจกำลังบุญที่ทรงบําพ็ญมา แล้ว ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทราบมิได้มี เพราะทรงทราบ ธรรมที่ปวงโดยความไม่หลง ซึ่งว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรง

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 692

เห็นมิได้มี เพราะธรรมทั้งปวงพระองค์ทรงเห็นด้วยญาณจักษุ ดุจด้วยจักษุ อนึ่ง ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทราบมิได้มี เพราะพระองค์ทรงบรรลุ แล้วด้วยญาณ ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำให้แจ้งมิได้มี เพราะ พระองค์ทรงทำให้แจ้ง ด้วยการทำให้แจ้ง ด้วยการไม่หลง ชื่อว่าบทธรรมที่ พระองค์ไม่ทรงถูกต้องด้วยปัญญามิได้มี เพราะพระองค์ทรงถูกต้องด้วยปัญญา อันไม่หลง. บทว่า ปจฺจุปฺปนฺนํ ได้แก่กาลหรือธรรมเป็นปัจจุบัน. บทว่า อุปาทายคือถือเองแล้ว ความว่าทำไว้ในภายใน แม้นิพพานพ้นกาลไปแล้ว ท่านก็ถือ เอาด้วยคำว่า อุปาทาย นั่นแหละ อนึ่ง คำมี อตีต ล่วงไปแล้วเป็นต้นย่อม สืบเนื่องกับคำมีอาทิ นตฺถิ หรือกับคำมีอาทิว่า สพฺเพ. บทว่า สพฺเพ ธมฺมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงรวมสังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งหมด. บทว่า สพฺพากาเรน โดยอาการทั้งปวงคือรวมอาการทั้งปวงมีอาการไม่เที่ยงเป็นต้นแห่ง ธรรมอย่างหนึ่งๆ ในบรรดาธรรมทั้งหมด. บทว่า าณมุเข ในมุขคือพระญาณ ได้แก่ในเฉพาะหน้าคือพระญาณ. บทว่า อาปาถํ อาคจฺฉติ ย่อมมาสู่คลองคือ ย่อมถึงการรวมกัน. บทว่า ชานิตพฺพํ ควรรู้ท่านกล่าวเพื่อขยายความแห่งบท ว่า เนยฺยํ ควรแนะนำ วา ศัพท์ในบทมีอาทิว่า อตฺตตฺโถ วา และประโยชน์ ตนเป็นสมุจจยรรถ (ความรวมกัน). บทว่า อตฺตตฺโถ คือประโยชน์ของตน. บทว่า ปรตฺโถ ประโยชน์ของผู้อื่นคือประโยชน์ของโลก ๓ อื่น. บทว่า อุภยตฺโถ ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย ได้แก่ประโยชน์ของทั้ง ๒ ฝ่ายคราวเดียวกัน คือของตนและของคนอื่น. บทว่า ทิฏฺธมฺมิโก ประโยชน์ภพนี้ คือประโยชน์ ประกอบในภพนี้ หรือประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ประกอบแล้วในภพหน้า หรือประโยชน์ในสัมปรายภพชื่อว่า สมฺปรายิโก.

พึงทราบความในบทมีอาทิว่า อุตฺตาโน ดังต่อไปนี้ ประโยชน์ที่พูด ใช้โวหารชื่อว่า อุตฺตาโน ประโยชน์ตื้น เพราะเข้าใจง่าย ประโยชน์ที่พูดเกิน

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 693

โวหารปฏิสังยุตด้วยสุญญตาชื่อว่า คมฺภีโร ประโยชน์ลึก เพราะเข้าใจยาก ประโยชน์อันเป็นโลกุตระชื่อว่า คุฬฺโห ประโยชน์ลับเพราะพูดภายนอก เกินไป ประโยชน์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า ปฏิจฺฉนฺโน ประโยชน์ปกปิด เพราะปกปิดด้วยฆนะ. (ก้อน) เป็นต้น ประโยชน์ที่พูดโดยไม่ใช้โวหารมาก ชื่อว่า เนยฺโย ประโยชน์ที่ควรนำไป เพราะไม่ถือเอาตามความพอใจ ควรนำ ไปตามความประสงค์ ประโยชน์ที่พูดด้วยใช้โวหารชื่อว่า นีโต ประโยชน์ที่ นำไปแล้ว เพราะนำความประสงค์ไปโดยเพียงคำพูดประโยชน์คือศีล สมาธิและ วิปัสสนาอันบริสุทธิ์ด้วยดีชื่อว่า อนวชฺโช ประโยชน์ไม่มีโทษ เพราะปราศ- จากโทษด้วยตทังคะและวิกขัมภนะ ประโยชน์คืออริยมรรคชื่อว่า นิกฺกิเลโส ประโยชน์ไม่มีกิเลส เพราะตัดกิเลสขาด ประโยชน์คืออริยผลชื่อว่า โวทาโน ประโยชน์ผ่องแผ้ว เพราะกิเลสสงบ นิพพานชื่อว่า ปรมตฺโถ ประโยชน์ อย่างยิ่ง เพราะนิพพานเป็นธรรมเลิศในสังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งหลาย.

บทว่า ปริวตฺตติ ย่อมเป็นไป คือแทรกซึมคลุกเคล้าโดยรอบย่อม เป็นไปโดยวิเศษในภายในพุทธญาณ เพราะไม่เป็นภายนอกจากความเป็นวิสัย แห่งพุทธญาณ พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง สำเร็จพระญาณด้วยบทมีอาทิ สพฺพํ กายกมฺมํ ตลอดกายกรรมทั้งปวง. บทว่า าณานุปริวตฺตติ พระญาณย่อมเป็นไปตลอด ความว่าไม่ปราศจากพระญาณ. บทว่า อปฺปฏิหิตํ มิได้ขัดข้อง ท่านแสดงถึงความที่ไม่มีอะไรกั้นไว้ พระ สารีบุตรเถระประสงค์จะยังพระสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จด้วยอุปมาจึงกล่าวบทมี อาทิว่า ยาวตกํ เนยยบทมีเท่าใด. ในบทเหล่านั้น ชื่อว่า เนยฺยํ เพราะ ควรรู้ ชื่อว่า เนยฺยปริยนฺติกํ เพราะพระญาณมีเนยยบทเป็นที่สุด อนึ่งผู้ ไม่เป็นสัพพัญญูไม่มีเนยยบทเป็นที่สุด แม้ในเนยยบทมีพระญาณเป็นที่สุดก็มี

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 694

ดังนี้เหมือนกัน พระสารีบุตรเถระแสดงความที่ได้กล่าวไว้แล้วในคู่ต้นให้พิเศษ ไปด้วยคู่นี้ แสดงกำหนดด้วยการปฏิเสธด้วยคู่ที่ ๓ อนึ่ง เนยยะในบทนี้ชื่อว่า เนยยปถ เพราะเป็นคลองแห่งญาณ. บทว่า อญฺมญฺํ ปริยนฺตฏฺายิโน ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน คือมีปกติยังเนยยะและญาณ ให้สิ้นไปแล้วตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกันจากฐานะ. บทว่า อาวชฺชนปฏิพทฺธา เนื่องด้วยความทรงคํานึง คือเนื่องด้วยมโนทวาราวัชชนะความว่า ย่อมรู้ลำดับแห่งความคำนึงนั่นเอง. บทว่า อากงฺขปฏิพทฺธา เนื่องด้วยทรง พระประสงค์ คือเนื่องด้วยความพอใจ ความว่าย่อมรู้ลำดับแห่งอาวัชชนจิตด้วย ชวนญาณ ท่านกล่าวบททั้ง ๒ นอกนี้เพื่อประกาศความตามลำดับบททั้ง ๒ นี้.

บทว่า พุทฺโธ อาสยํ ชานาติ พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย เป็นต้น ท่านพรรณนาไว้ในญาณกถาแล้ว แต่มาในมหานิเทศว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบอัธยาศัย. ในบทนั้นมาในอาคตสถานว่า พุทฺธสฺส ภควโต ในที่นี้ในที่บางแห่งว่า พุทฺธสฺส. บทว่า อนฺตมโส คือโดยที่สุด.

ในบทว่า ติมิติมิงฺคลํ นี้ พึงทราบดังต่อไปนี้ ปลาชนิดหนึ่งชื่อว่า ติมิ ปลาชนิดหนึ่งชื่อว่าติมิงคิละเพราะตัวใหญ่กว่าปลาติมินั้น สามารถกลืนกิน ปลาติมิได้ ปลาชนิดหนึ่งชื่อติมิติมิคละมีลำตัวประมาณ ๕๐๐ โยชน์ สามารถ กลืนกินปลาติมิคละได้. ในบทนี้พึงทราบว่าเป็นเอกวจนะด้วยถือเอากำเนิด.

ในบทว่า ครุฬํ เวนเตยิยํ ครุฑตระกูลเวนเทยยะนี้พึงทราบว่าชื่อว่า ครุฬ เป็นซึ่งโดยกำเนิด ชื่อว่า เวนเตยฺย เป็นชื่อโดยโคตร. บทว่า ปเทเส คือในเอกเทศ. บทว่า สารีปุตฺตสมา มีปัญญาเสมอด้วยพระสารีบุตรพึง ทราบว่าท่านกล่าวหมายถึงพระเถระผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีของพระพุทธเจ้าทั้ง ปวง เพราะพระสาวกที่เหลือไม่มีผู้เสมอด้วยพระธรรมเสนาบดีเถระทางปัญญา

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 695

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นผู้เลิศ กว่าภิกษุทั้งหลายสาวกของเราผู้มีปัญญามาก อนึ่ง ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า

สัตว์ทั้งหลายอื่นใดมีอยู่เว้นพระโลกนาถ สัตว์ เหล่านั้นย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งปัญญา ของพระสารีบุตร.

บทว่า ผริตฺวา แผ่ไป คือพุทธญาณบรรลุถึงปัญญาแม้ของเทวดา และมนุษย์ทั้งปวงแล้วแผ่ไปแทรกซึมเข้าไปสู่ปัญญาของเทวดา และมนุษย์เหล่า นั้นโดยฐานะแล้วตั้งอยู่. บทว่า อติฆํสิตฺวา ขจัดแล้วคือพุทธญาณก้าวล่วง ปัญญาแม้ของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวงแผ่ไปกำจัดทำลายเนยยะทั้งปวงแม้ไม่ใช่ วิสัยของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นแล้วตั้งอยู่ ปาฐะในมหานิเทศว่า อภิภวิตฺวา ครอบงำแล้วคือย่ำยีแล้ว ด้วยบทว่า เยปิเต เป็นต้น. พระสารีบุตรเถระแผ่ ไปขจัดด้วยประการนี้แล้ว แสดงเหตุให้ประจักษ์แห่งฐานะ. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิตา คือประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต. บทว่า นิปุณา ละเอียด คือมีปัญญาละเอียดสุขุมสามารถแทงตลอดปัญญาสุขุมในระหว่างอรรถได้. บทว่า กตปรปฺปวาทา แต่งวาทะโต้ตอบ คือรู้วาทะโต้ตอบและแต่งวาทะต่อสู้กับชน เหล่าอื่น. บทว่า วาลเวธิรูปา คือ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถ ยิงขนทราย. บทว่า เต ภินฺทนฺตา ปญฺา จรนฺติ ปญฺาคเตน ทิฏฺิคตานิ เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิด้วยปัญญา ความว่าเที่ยวไปดุจทำลายทิฏฐิ ของคนอื่นแม้สุขุมด้วยปัญญาของตนดุจนายขมังธนูยิงขนทรายฉะนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ปัญญานั่นแหละคือ ปัญญาคตะ ทิฏฐินั้นแหละคือทิฏฐิ คตะ ดุจในคำว่า คูถคตํ มุตฺตคตํ คูถ มูตร เป็นต้น. บทว่า ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺ- วา แต่งปัญหา คือแต่งคำถาม ๒ บทบ้าง ๓ บทบ้าง ๔ บทบ้าง ท่านกล่าว ๒ ครั้ง

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 696

เพื่อสงเคราะห์เข้าด้วยกันเพราะทำปัญญาเท่านั้นให้มากยิ่งขึ้น. บทว่าคุฬฺหานิ จ ปฏิจฺฉนฺนานิ จ ปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย มีปาฐะที่เหลือว่า อตฺถชาตานิ เกิดประโยชน์ บัณฑิตทั้งหลายถามปัญหาเพราะบัณฑิตเหล่านั้นเห็นข้อแนะนำ อย่างนั้นแล้วอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์อย่างนี้ว่า ขอจงถามปัญหา ที่ตนแต่งมา อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงประทานโอกาสเพื่อให้ผู้อื่นถาม ทรงแสดงธรรมแก่ผู้เข้าไปเฝ้าเท่านั้น สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

บัณฑิตเหล่านั้นพากันแต่งปัญหา ด้วยหมายใจว่า จักเข้าไปหาพระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหานี้ หากว่าพระสมณโคดมนั้นถูกพวกเราถามแล้ว อย่างนี้ จักพยากรณ์อย่างนี้ พวกเราจักยกวาทะนี้แก่พระองค์ แม้หากว่า พระสมณโคดมนั้นถูกพวกเราถามแล้วอย่างนี้ จักพยากรณ์อย่างนี้ พวกเรา จักยกวาทะนั้นแม้อย่างนี้แก่พระองค์ ดังนี้. บัณฑิตเหล่านั้นพากันเข้าไปเฝ้า พระสมณโคดมถึงที่ประทับ. พระสมณโคดมก็ทรงชี้แจง ให้สมาทาน ให้อาจ- หาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา. บัณฑิตเหล่านั้นถูกพระสมณโคดมทรงชี้แจง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ก็ไม่ถามปัญหากะพระสมณ โคดมเลย บัณฑิตเหล่านั้นจักยกวาทะแก่พระสมณโคดมที่ไหนได้ ย่อมกลาย เป็นสาวกของพระสมณโคดมไปโดยแท้.

หากถามว่า เพราะเหตุไร บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่ทูลถามปัญหา. ตอบว่า นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ทรงตรวจดู อัธยาศัยของบริษัท แต่นั้นทรงเห็นว่า บัณฑิตเหล่านี้พากันมาทำปัญหา ซ่อนเร้น ลี้ลับ ให้มีสาระเงื่อนงำ ครั้นบัณฑิตเหล่านั้นไม่ทูลถามพระองค์เลย พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า โทษประมาณเท่านี้ในการถามปัญหา ประมาณ เท่านี้ในการแก้ปัญหา ประมาณเท่านี้ในอรรถ ในบท ในอักขระ ดังนี้ เมื่อ

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 697

จะถามปัญหาเหล่านั้น พึงถามอย่างนี้ เมื่อจะแก้ปัญหาควรแก้อย่างนี้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงใส่ปัญหาที่บัณฑิตเหล่านั้นนำมาทำให้มีสาระซับซ้อน ไว้ใน ระหว่างธรรมกถาแล้วจึงทรงแสดง. บัณฑิตเหล่านั้นย่อมพอใจว่า เราไม่ถาม ปัญหาเหล่านั้น เป็นความประเสริฐของเรา หากว่าเราพึงถามพระสมณโคดม จะพึงทรงทำให้เราตั้งตัวไม่ติดได้เลย. อีกประการหนึ่ง ธรรมดาพระพุทธเจ้า ทั้งหลายเมื่อทรงแสดงธรรม ย่อมทรงแผ่เมตตาไปยังบริษัท ด้วยการแผ่เมตตา มหาชน ย่อมมีจิตเลื่อมใสในพระทศพล ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมี รูปโฉมงดงาม น่าทัศนา มีพระสุรเสียงไพเราะ มีพระชิวหาอ่อนนุ่ม มีช่อง พระทนต์สนิท ทรงกล่าวธรรมดุจรดหทัยด้วยน้ำอมฤต ในการทรงกล่าวธรรม นั้น ผู้มีจิตเลื่อมใสด้วยการทรงแผ่เมตตา ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่ สามารถจะจับสิ่งตรงกันข้ามกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงกล่าวกถาไม่มีสอง กถาไม่เป็นโมฆะ กถานำสัตว์ออกไป เห็นปานนี้ได้เลย บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ถามปัญหา เพราะความที่ตนเลื่อมใสนั่นแหละ.

บทว่า กถิตา วิสชฺชตา จ ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวและทรงแก้แล้ว ความว่า ปัญหาเหล่านั้นเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าว ด้วยการตรัสถึงปัญหาที่บัณฑิตทั้งหลายถามว่า พวกท่านจงถาม อย่างนี้ เป็นอันทรงแก้โดยประการที่ควรแก้นั่นเอง. บทว่า นิทฺทิฏฺิการณา มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ความว่า ปัญหาเหล่านั้นมีเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไขให้เห็นชัด ด้วยการแก้ทำให้มีเหตุอย่างนี้ว่า การแก้ย่อมมี ด้วยเหตุการณ์อย่างนี้. บทว่า อุปกฺขิตฺตา จ เต ภควโต สมฺปชฺชนฺติ บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปหมอบเฝ้า ย่อมปรากฏแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า บัณฑิตเหล่านั้นมีกษัตริย์บัณฑิตเป็นต้น เข้าเฝ้าแทบพระบาท ย่อมปรากฏแก่

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 698

พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการแก้ปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งสาวก ทั้ง อุบาสกย่อมปรากฏ อธิบายว่า บัณฑิตเหล่านั้นย่อมถึงสาวกสมบัติ หรือ อุบาสกสมบัติ. บทว่า อถ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าลำดับ อธิบายว่า ในลำดับ พร้อมด้วยสมบัติที่บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปเฝ้า. บทว่า ตตฺถ คือ ในที่นั้น หรือในอธิการนั้น. บทว่า อภิโรจติ ย่อมรุ่งเรือง คือโชติช่วง สว่างไสว อย่างยิ่ง. บทว่า ยทิทํ ปญฺาย คือ ด้วยปัญญา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงรุ่งเรือง ด้วยปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้า. อิติศัพท์ ลงในอรรถ แห่งเหตุ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เลิศ มีพระปัญญาไม่ใกล้ด้วยเหตุนี้.

บทว่า ราคํ อภิภุยฺยตีติ ภูริปญฺา ชื่อว่า ภูริปญฺา มีปัญญา ดังแผ่นดิน เพราะอรรถว่า ครอบงำราคะ ความว่า ชื่อว่า ภูริปญฺา เพราะ มรรคปัญญานั้นๆ ครอบงำ ย่ำยี ราคะอันเป็นโทษกับตน. บทว่า ภูริ มี อรรถว่า ฉลาด เฉียบแหลม ความฉลาดย่อมครอบงำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ ความไม่ฉลาดครอบงำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอรรถแห่งความครอบงำ ด้วยภูริปัญญา. บทว่า อภิภวิตา ครอบงำอยู่ คือ ผลปัญญานั้นๆ ครอบงำ ย่ำยีราคะนั้นๆ. ปาฐะว่า อภิภวตา บ้าง. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ในบทมีราคะเป็นต้นพึงทราบความ ดังต่อไปนี้. ราคะ มีลักษณะ กำหนัด. โทสะ มีลักษณะประทุษร้าย. โมหะ มีลักษณะหลง โกธะ มีลักษณะโกรธ. อุปนาหะ มีลักษณะผูกโกรธไว้. โกธะเกิดก่อน อุปนาหะ เกิดภายหลัง. มักขะ มีลักษณะลบหลู่คุณผู้อื่น. ปลาสะ มีลักษณะตีเสมอ. อิสสา มีลักษณะทำสมบัติผู้อื่นให้สิ้นไป. มัจฉริยะ มีลักษณะหลงสมบัติ ของตน. มายา มีลักษณะปกปิดความชั่วที่ตนทำ. สาเยยะ มีลักษณะ ประกาศคุณอันไม่มีอยู่ของตน. ถัมภะ มีลักษณะจิตกระด้าง สารัมภะ มี

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 699

ลักษณการทำเกินกว่าการทำ. มานะ มีลักษณะถือตัว. อติมานะ มีลักษณะ ถือตัวยิ่ง. มทะ มีลักษณะมัวเมา. ปมาทะ มีลักษณะปล่อยจิตในกามคุณ ๕.

ด้วยบทว่า ราโค อริ ตํ อรึ มทฺทนิปญฺา เป็นปัญญาย่ำยี ราคะอันเป็นข้าศึกเป็นต้น ท่านอธิบายไว้อย่างไร กิเลสมีราคะเป็นต้น ชื่อว่า ภูอริ เพราะอรรถว่าเป็นข้าศึกในจิตสันดาน. ท่านกล่าว่า ภูริ เพราะลบ อักษรด้วยบทสนธิ. พึงทราบว่าเมื่อควรจะกล่าวว่า ปัญญาย่ำยี ภูริ นั้นชื่อว่า ภูริมทฺทนิปญฺา ท่านกล่าวว่า ภูริปญฺา เพราะลบ มทฺทนิ ศัพท์เสีย. อนึ่ง บทว่า ตํ อรึ มทฺทนี ท่านกำหนดบทว่า เตสํ อรีนํ มทฺทนี การย่ำยีข้าศึกเหล่านั้น. บทว่า ปวีสมาย เสมอด้วยแผ่นดิน คือ ชื่อว่า เสมอด้วยแผ่นดิน เพราะอรรถว่ากว้างขวางไพบูลย์นั่นเอง. บทว่า วิตฺถตาย กว้างขวาง คือแผ่ไปในวิสัยที่ควรรู้ได้ ไม่เป็นไปในเอกเทศ. บทว่า วิปุลาย ไพบูลย์คือโอฬาร. แต่มาในมหานิเทศว่า วิปุลาย วิตฺถตาย ไพบูลย์ กว้างขวาง. บทว่า สมนฺนาคโต คือบุคคลผู้ประกอบแล้ว. อิติศัพท์ ลงในอรรถว่า เหตุ ความว่า ด้วยเหตุนี้ปัญญาของบุคคลนั้น ชื่อว่า ภูริปัญญา เพราะ บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยภูริปัญญา เพราะเหตุนั้น บุคคลย่อมยินดีในอรรถที่ เจริญแล้ว เมื่อควรจะกล่าวว่า ภูริปญฺสฺส ปญฺา ภูริปญฺปญฺา ปัญญาของบุคคลผู้ประกอบด้วยภูริปัญญา ชื่อว่า ภูริปัญญปัญญา ท่านกล่าว ภูริปญฺา เพราะลบ ปญฺญาศัพท์ เสียศัพท์หนึ่ง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภูริปญฺา เพราะมีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน. บทว่า อปิจ ท่านกล่าวเพื่อให้ เห็นปริยายอย่างอื่น. บทว่า ปญฺายเมตํ คำว่า ภูริ นี้ เป็นชื่อของ ปัญญา. บทว่า อธิวจนํ เป็นคำกล่าวยิ่งนัก. บทว่า ภูริ ชื่อว่า ภูริ เพราะ อรรถว่า ย่อมยินดีในอรรถที่เจริญแล้ว. บทว่า เมธา ปัญญาชื่อว่า เมธา

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 700

เพราะอรรถว่า กำจัดทำลายกิเลสทั้งหลาย ดุจสายฟ้าทำลายสิ่งที่ก่อด้วยหิน ฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เมธา เพราะอรรถว่า ถือเอาทรงไว้เร็วพลัน. บทว่า ปริณายกา ปัญญาเป็นปริณายก. ชื่อว่า ปริณายิกา เพราะอรรถว่า ปัญญาย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด ย่อมนำสัตว์นั้นไปในธรรมอันสัมปยุต ในการ ปฏิบัติประโยชน์และในปฏิเวธอันมีลักษณะแน่นอน ด้วยบทเหล่านั้นเป็นอัน ท่านกล่าวถึงคำอันเป็นปริยายแห่งปัญญาแม้อย่างอื่นด้วย.

บทว่า ปญฺาพาหุลฺลํ ความเป็นผู้มีปัญญามาก ชื่อว่า ปญฺาพหุโล เพราะมีปัญญามาก ความเป็นแห่งบุคคลผู้มีปัญญามากนั้น ชื่อว่า ปัญญาพาหุลละ ปัญญานั่นแหละเป็นไปมาก.

ในบทมีอาทิว่า อิเธกจฺโจ บุคคลบางคนในโลกนี้ ได้แก่กัลยาณปุถุชน หรืออริยบุคคล. ชื่อว่า ปญฺาครุโก เพราะเป็นผู้มีปัญญาหนัก. ชื่อว่า ปญฺาจริโต เพราะเป็นผู้มีปัญญาเป็นจริต. ชื่อว่า ปญฺาสโย เพราะมีปัญญาเป็นที่อาศัย. ชื่อว่า ปญฺญาธิมุตฺโต เพราะน้อมใจเชื่อด้วย ปัญญา. ชื่อว่า ปญฺาธโช เพราะมีปัญญาเป็นธงชัย. ชื่อว่า ปญฺาเกตุ เพราะมีปัญญาเป็นยอด. ชื่อว่า ปญฺาธิปติ เพราะมีปัญญาเป็นใหญ่. ชื่อว่า ปญฺาธิปเตยฺโย เพราะมาจากความเป็นผู้มีปัญญาเป็นใหญ่. ชื่อว่า วิจยพหุโล เพราะมีการเลือกเฟ้นสภาวธรรมมาก. ชื่อว่า ปวิจยพหุโล เพราะ มีการค้นคว้าสภาวธรรมโดยประการต่างๆ มาก. การหยั่งลงด้วยปัญญาแล้ว ปรากฏธรรมนั้นๆ คือให้แจ่มแจ้ง ชื่อว่า โอกขายนะ ชื่อว่า โอกฺขายนพหุโล เพราะมีการพิจารณามาก. การเพ่งพิจารณาธรรมนั้นๆ ด้วยปัญญา โดยชอบ ชื่อว่า สมฺเปกฺขา. การดำเนินไป การเป็นไปด้วยการเพ่งพิจารณา โดยชอบ ชื่อว่า สมฺเปกฺขายนํ. ชื่อว่า สมฺเปกฺขายนธมฺโม เพราะมีการ

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 701

เพ่งพิจารณาโดยชอบเป็นธรรม เป็นปกติ. ชื่อว่า วิภูตวิหารี เพราะทำ ธรรมนั้นให้แจ่มแจ้ง ให้ปรากฏอยู่. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิภูตวิหารี เพราะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง. ชื่อว่า ตจฺจริโต เพราะมีปัญญาเป็นจริต. ชื่อว่า ตคฺครุโกเพรามีปัญญาหนัก. ชื่อว่า ตพฺพหุโล เพราะมีปัญญามาก. โน้มไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตนฺนินโน. น้อมไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตปฺโปโณ. เงื้อมไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตปฺปพฺภาโร. น้อมจิตไปในปัญญา นั้น ชื่อว่า ตทธิมุตฺโต. ปัญญานั้นเป็นใหญ่ ชื่อว่า ตทธิปติ. ผู้มาจาก ปัญญาเป็นใหญ่นั้น ชื่อว่า ตทธิปเตยฺโย. บทมีอาทิว่า ปญฺาครุโก มี ปัญญาหนัก ท่านกล่าวจำเดิมแต่เกิดในชาติก่อน ดุจในประโยคมีอาทิว่า บุคคลนี้เป็นผู้หนักในกาม ย่อมรู้การเสพกาม. บทมีอาทิว่า ตจฺจริโต ท่าน กล่าวถึงในชาตินี้.

สีฆปัญญา (ปัญญาเร็ว) ลหุปัญญา (ปัญญาเบา) หาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) และชวนปัญญา (ปัญญาแล่น) เป็นปัญญาเจือด้วยโลกิยะและ โลกุตระ.

ชื่อว่า สีฆปญฺา ด้วยอรรถว่าเร็ว. ชื่อว่า ลหุปญฺา ด้วยอรรถ ว่าเบา. ชื่อว่า หาสปญฺา ด้วยอรรถว่าร่าเริง. ชื่อว่า ชวนปญฺา ด้วยอรรถว่าแล่นไปในสังขารเข้าถึงวิปัสสนาและในวิสังขาร. บทว่า สีฆํ สีฆํ พลันๆ ท่านกล่าว ๒ ครั้ง เพื่อสงเคราะห์ศีลเป็นต้นมาก. บทว่า สีลานิ คือ ปาติโมกขสังวรศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ ด้วยสามารถแห่ง จาริตศีลและวาริตศีล. บทว่า อินฺทฺริยสํวรํ อินทริยสังวร คือ การไม่ทำให้ ราคะปฏิฆะเข้าไปสู่อินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้นแล้ว ปิดกั้นด้วยหน้าต่างคือ สติ. บทว่า โภชเน มตฺตญฺญุตํ คือความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 702

ด้วยพิจารณาแล้วจึงบริโภค. บทว่า ชาคริยานุโยคํ ประกอบความเพียร ด้วยความเป็นผู้ตื่นอยู่ คือชื่อว่า ชาคโร เป็นผู้ตื่น เพราะใน ๓ ส่วนของวัน ย่อมตื่น คือไม่หลับในส่วนปฐมยามและมัชฌิมยามของราตรี บำเพ็ญสมณธรรม อย่างเดียว. ความเป็นผู้ตื่น กรรมคือความเป็นผู้ตื่น การประกอบเนืองๆ ของความเป็นผู้ตื่น ชื่อว่า ชาคริยานุโยค ยังชาคริยานุโยคนั้นให้บริบูรณ์. บทว่า สีลกฺขนฺธํ คือ ศีลขันธ์อันเป็นของพระเสขะหรือพระอเสขะ. ขันธ์ แม้นอกนี้ก็พึงทราบอย่างนี้. บทว่า ปญฺาขนฺธํ คือมรรคปัญญาและโลกิยปัญญาของพระเสขะและพระอเสขะ. บทว่า วิมุตฺติขนฺธํ คือ ผลวิมุตติ. บทว่า วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺธํ คือ ปัจจเวกขณญาณ. บทว่า หาสพหุโล เป็นผู้มีความร่าเริง เป็นมูลบท. บทว่า เวทพหุโล เป็นผู้มีความพอใจมาก เป็นบทชี้แจงด้วยการเสวยโสมนัสเวทนาอันสัมปยุตด้วยปีตินั่นแหละ. บทว่า ตุฏฺิพหุโล เป็นผู้มีความยินดีมาก เป็นบทชี้แจงด้วยอาการยินดีแห่งปีติมี กำลังไม่มากนัก. บทว่า ปามุชฺชพหุโล เป็นผู้มีความปราโมทย์มาก เป็น บทชี้แจงด้วยความปราโมทย์แห่งปีติมีกำลัง. บทว่า ยงฺกิญฺจิ รูปํ เป็นอาทิ มีความดังได้กล่าวแล้วในสัมมสนญาณนิเทศ. บทว่า ตุลยิตฺวา คือเทียบเคียง ด้วยกลาปสัมมสนะ (การพิจารณาเป็นกลุ่มเป็นกอง). บทว่า ตีรยิตฺวา คือ พินิจด้วยอุทยัพพยานุปัสสนา. บทว่า วิภาวยิตฺวา พิจารณา คือ ทำให้ ปรากฏด้วยภังคานุปัสสนาเป็นต้น. บทว่า วิภูตํ กตฺวา ทำให้แจ่มแจ้ง คือ ทำให้ฉลาดด้วยสังขารุเบกขาญาณ.

ติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) เป็นโลกุตระทีเดียว. บทว่า อุปฺปนฺนํ เกิดขึ้นแล้ว คือ วิตกแม้ละได้แล้วด้วยสมถวิปัสสนา ด้วยวิกขัมภนะและ ตทังคะ ท่านก็กล่าวว่า เกิดขึ้นยังถอนไม่ได้ เพราะไม่ล่วงเลยธรรมดาที่

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 703

เกิดขึ้น เพราะยังถอนไม่ได้ด้วยอริยมรรค. ในที่นี้ท่านประสงค์เอาวิตกที่เกิดขึ้น ยังถอนไม่ได้นั้น. บทว่า นาธิวาเสติ ไม่รับรองไว้ คือ ไม่ยกขึ้นสู่สันดาน แล้วให้อยู่. บทว่า ปชหติ ย่อมละ. คือ ละด้วยตัดขาด. บทว่า วิโนเทติ ย่อมบรรเทา คือ ย่อมซัดไป. บทว่า พฺยนฺตีกโรติ ย่อมทำให้สิ้นสุด คือ ทำให้ปราศจากที่สุด. บทว่า อนภาวํ คเมติ ให้ถึงความไม่มีต่อไป ความว่า ถึงอริยมรรความลำดับวิปัสสนาแล้วให้ถึงความไม่มีด้วยการตัดขาด.

วิตกประกอบด้วยกาม ชื่อว่า กามวิตก วิตกประกอบด้วยความตาย ของผู้อื่น ชื่อว่า พยาบาทวิตก. วิตกประกอบด้วยความเบียดเบียนผู้อื่น ชื่อว่า วิหิงสาวิตก. บทว่า ปาปเก คือ ลามก. บทว่า อกุสเล ธมฺเม คือธรรมอันไม่เป็นความฉลาด. บทว่า นิพฺเพธิกปญฺา ปัญญาเครื่องทำลาย กิเลส คือ มรรคปัญญาอันเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย. บทว่า อุพฺเพคพหุโล เป็นผู้มากด้วยความสะดุ้ง คือ เป็นผู้มากด้วยความหวาดกลัว ภัยในเพราะญาณ. บทว่า อุตฺตาสพหุโล เป็นผู้มากไปด้วยความหวาดเสียว คือมากไปด้วยความกลัวอย่างแรง. บทนี้ ขยายความบทก่อนนั่นเอง. บทว่า อุกฺกณฺพหุโล คือเป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย เพราะมุ่งเฉพาะวิสังขาร นอกเหนือไปจากสังขาร. บทว่า อนภิรติพหุโล เป็นผู้มากไปด้วยความไม่ พอใจ ท่านแสดงถึงความไม่มีความยินดียิ่งด้วยความเบื่อหน่าย. แม้บัดนี้ พระสารีบุตรเถระไขความนั้นด้วยคำทั้งสอง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า พหิมุโข เบือนหน้าออก คือมุ่งหน้าเฉพาะ นิพพานอันเป็นภายนอกจากสังขาร. บทว่า น รมติ ไม่ยินดี คือ ไม่ยินดียิ่ง. บทว่า อนิพฺพิทฺธปุพฺพํ ไม่เคยเบื่อหน่าย คือไม่เคยถึงที่สุดในสังสารอัน ไม่รู้เบื้องต้นและที่สุดแล้วเบื่อหน่าย. บทว่า อปฺปทาลิตปุพฺพํ ไม่เคยทำลาย

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 704

เป็นคำกล่าวถึงอรรถของบทนั้น ความว่า ไม่เคยทำลายด้วยการกระทำที่สุด นั่นเอง. บทว่า โลภกฺขนฺธํ กองโลภะ คือ กองโลภะ หรือมีส่วนแห่งโลภะ.

บทว่า อิมาหิ โสฬสหิ ปญฺาหิ สมนฺนาคโต บุคคลผู้ประกอบ ด้วยปัญญา ๑๖ ประการเหล่านี้ ท่านกล่าวถึงพระอรหันต์โดยกำหนดอย่าง อุกฤษฏ์ แม้พระโสดาบันพระสกทาคามีและพระอนาคามีก็ย่อมได้เหมือนกัน เพราะท่านกล่าวไว้ในตอนก่อนว่า เอโก เสขปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต ผู้หนึ่งเป็น พระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา.

อรรถกถาปุคคลวิเสสนิเทศ

พระสารีบุตรเถระแสดงถึงลำดับของบุคคลวิเศษผู้บรรลุปฏิสัมภิทาด้วย บทมีอาทิว่า เทฺว ปุคฺคลา บุคคล ๒ ประเภท. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺพโยโค ผู้มีความเพียรก่อน คือประกอบด้วยบุญอันเป็นเหตุบรรลุปฏิสัมภิทาในอดีต ชาติ. บทว่า เตน คือเหตุที่มีความเพียรมาก่อนนั้น. แม้ในบทที่เหลือ ก็อย่างนั้น. บทว่า อติเรโก โหติ เป็นผู้ประเสริฐ คือมากเกินหรือเพราะ มีความเพียรมากเกินท่านจึงกล่าวว่า อติเรโก. บทว่า อธิโก โหติ เป็นผู้ยิ่ง คือเป็นผู้เลิศ. บทว่า วิเสโส โหติ เป็นผู้วิเศษ คือวิเศษที่สุด หรือ เพราะมีความเพียรวิเศษท่านจึงกล่าวว่า วิเสโส. บทว่า าณํ ปภิชฺชติ ญาณแตกฉาน คือถึงความแตกฉานปฏิสัมภิทาญาณ. บทว่า พหุสฺสุโต เป็น พหูสูต คือ เป็นพหูสูตด้วยอำนาจแห่งพุทธพจน์. บทว่า เทสนาพหุโล เป็นผู้มากด้วยเทศนา คือ ด้วยอำนาจแห่งธรรมเทศนา. บทว่า ครูปนิสฺสิโต

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 705

เป็นผู้อาศัยครู คือ เข้าไปอาศัยครูผู้ยิ่งด้วยปัญญา. บทว่า วิหารพหุโล เป็นผู้มีวิหารธรรมมาก็ได้แก่เป็นผู้มีวิหารธรรม คือวิปัสสนามาก เป็นผู้มีวิหารธรรม คือ ผลสมาบัติมาก. บทว่า ปจฺจเวกขณาพหุโล เป็นผู้มีความ พิจารณามาก ได้แก่เมื่อมีวิหารธรรม คือวิปัสสนาย่อมเป็นผู้มีความพิจารณา วิปัสสนา เมื่อมีวิหารธรรมคือผลสมาบัติ ย่อมเป็นผู้มีความพิจารณาผลสมาบัติ มาก. บทว่า เสกฺขปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต คือเป็นพระเสกขะบรรลุปฏิสัมภิทา เป็นพระอเสกขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็อย่างนั้น.

ในบทว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต เป็นผู้บรรลุสาวกบารมีนี้วินิจฉัย ดังต่อไปนี้. การถึงฝั่งแห่งสาวกญาณ ๖๗ ของพระมหาสาวกผู้เลิศกว่าสาวกผู้มี ปัญญามากทั้งหลาย ชื่อว่า ปารมี. บารมีของพระสาวก ชื่อว่า สาวกบารมี. ผู้ถึงสาวกบารมีนั้น ชื่อว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต. ปาฐะว่า สาวกปารมิตาปฺปตฺโต บ้าง. มหาสาวกนั้นเป็นผู้รักษาและเป็นผู้บำเพ็ญสาวกญาณ ๖๗ ชื่อว่า ปรโม. ความเป็นหรือกรรมแห่งปรมะนั้นด้วยญาณกิริยา ๖๗ อย่างนี้ ของปรมะนั้น ชื่อว่า ปารมี. บารมีของพระสาวกนั้นชื่อว่า สาวกบารมี. ผู้ถึงสาวกบารมีนั้น ชื่อว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต. บทว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต ได้แก่ พระสาวกรูปใดรูปหนึ่งมีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้น.

พระสารีบุตรเถระกล่าวว่า เอโก ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ ผู้หนึ่งเป็น พระปัจเจกสัมพุทธะ เพราะไม่มีพระสาวกอื่นยิ่งกว่าพระสาวกผู้บรรลุสาวกบารมี. พระสารีบุตรเถระแสดงสรุปความที่กล่าวแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ปญฺาปเภทกุสโล ทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญาอีก. ท่านชี้แจงญาณ หลายอย่างแห่งญาณกาโดยมาก. ท่านกล่าวทำปัญญาแม้อย่างหนึ่งแห่งปัญญากถาโดยมากให้ต่างๆ กัน โดยอาการต่างๆ กัน นี้เป็นความพิเศษด้วยประการ ฉะนี้.

จบอรรถกถามหาปัญญากถา