สำคัญที่การตั้งต้น_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  27 พ.ย. 2564
หมายเลข  41096
อ่าน  1,219

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



"สำคัญที่การตั้งต้น"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔




~ ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จะไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท
(ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น) หรืออะไรเลยทั้งสิ้น จะเป็นการพูดเรื่องที่อยากจะจำไว้ แต่ไม่ใช่รู้จักสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยนัยต่างๆ

~ จะไปเรียนจำ เรียนชื่อ เรียนเรื่องปฏิจจสมุปบาท แต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ จะไม่พบปฏิจจสมุปบาทเลย

~ รู้จักเห็นไหม? ไม่รู้, นั่นแหละ ปฏิจจสมุปบาท ใช่ไหม ที่ไม่รู้ (อวิชชา)

~ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยแก่สังขาร เมื่อไม่รู้ ก็คิดตามเรื่องตามราว ทำดี ทำชั่ว แต่ชาติก่อนจบแล้ว แต่กรรมหนึ่งที่ได้ทำ กรรมดี ก็ได้ กรรมชั่ว ก็ได้ เป็นปัจจัยให้เมื่อจุติจิตของชาติก่อนดับ ก็มีปัจจัยที่ทำให้กรรมนั้นทำให้เกิดปฏิสนธิสืบต่อทันทีจากชาติก่อนเป็นชาตินี้ ปฏิจจสมุปบาท หรือเปล่า? ทุกชาติเหมือนอย่างนี้ เป็นปัจจัยอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น เมื่อชาตินี้จบสิ้น ความคิดหรือการกระทำในชาติก่อนๆ กรรมหนึ่ง ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะฉะนั้น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารชาติก่อน สังขารที่ได้กระทำแล้วชาติไหนก็ตาม เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีอวิชชาชาติก่อน ไม่มีสังขารชาติก่อน จะมีปฏิสนธิวิญญาณชาตินี้ไหม ที่เกิดขึ้น?

~ เมื่อมีความคิด มีความต้องการ มีการกระทำตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วแต่ว่ากรรมใดจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นอีกชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงชาตินี้ มาจากชาติก่อน แล้วการกระทำในชาตินี้ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติหน้าต่อไป

~ ต้องไม่ลืม เพราะมีความไม่รู้ จึงคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตลอดชีวิต แล้วทำกรรมด้วย เพราะฉะนั้น กรรมหนึ่งในชาติก่อนที่กระทำมาแล้วไม่ว่าชาติไหนก็ตาม สามารถจะเป็นปัจจัยให้มีวิญญาณคือปฏิสนธิได้ เพราะฉะนั้น ชาตินี้ ก็เหมือนอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ทันทีที่ตาย เขาก็ต้องมีชาติหน้าต่อไป

~ ปฏิจจสมุปบาท ให้เข้าใจชาตินี้ โดยที่ให้เข้าใจรู้ว่าชาตินี้มาจากชาติก่อน แล้วให้รู้ว่าเพราะชาตินี้มี ชาติต่อไปจึงมี

~ คุณอาคิลกับคุณอาช่า เลือกชาตินี้ไม่ให้เจ็บไข้อย่างที่กำลังเป็น ได้ไหม? ไม่ได้, มีกรรมในชาติก่อนๆ ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยในชาตินี้ แต่ความเจ็บป่วยในชาตินี้ ไม่ได้กั้นหรือขวางความสนใจและความเข้าใจและหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่คุณอาคิลและคุณอาช่าจะทำต่อไป

~ การกระทำ ดี ชั่ว ในชาตินี้ จะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติต่อไป แล้วแต่ว่า ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็เกิดดี ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดี ก็เกิดไม่ดี

~ ต้องไม่ลืมว่า เราพูดถึงชาตินี้ เพื่อที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท เหตุที่เป็นที่อาศัยของชาตินี้ที่ทำให้เกิดเป็นอย่างนี้มาจากชาติก่อน และการกระทำต่างๆ ที่เป็นกุศล อกุศลในชาตินี้ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติต่อไป

~ ความเข้าใจธรรมที่ได้ฟังเดี๋ยวนี้ จะทำให้ทุกครั้งที่เห็น รู้ได้เลย ไม่มีใครไปทำ แต่เป็นผลของกรรม จึงทำให้เกิดเห็น

~ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ เป็นผลของอะไร? ได้ยินเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว กำลังได้กลิ่น เป็นผลของอะไร กำลังลิ้มรส เป็นผลของอะไร กำลังกระทบสิ่งที่น่าพอใจไม่น่าพอใจเจ็บป่วยทางกาย เป็นผลของอะไร? เป็นผลของกรรม นี่เป็นเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามทุกคนที่ไปเฝ้าแต่ละอย่างๆ เพื่อให้ไม่ลืมที่จะเข้าใจว่าขณะนี้ทุกขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เป็นผลของกรรม

~ ทุกครั้งที่เห็น ทุกครั้งที่ได้ยิน ทุกครั้งที่กำลังได้กลิ่น ทุกครั้งที่กำลังลิ้มรส ทุกครั้งที่กำลังกระทบสัมผัสกาย ไม่ควรจะลืมว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว

~ ต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่ง ละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟัง ก็จะไม่เข้าใจเลย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงทุกอย่าง ทำไมพระองค์ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่ง นาน? ทำไมทรงแสดงมากอย่างนั้น? เพราะรู้ว่าทุกขณะเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ยากที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ทรงแสดงโดยละเอียด เขาไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้

~ ต้องฟังพระธรรมด้วยความเคารพจริงๆ ว่า ที่ได้ฟังแล้วยังรู้เพียงนิดหน่อย ไม่พอที่จะรู้แจ้งความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง

~ ทุกอย่างต้องมีการตั้งต้นและต้องเป็นความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ถ้าไม่เข้าใจถูก ผิดตั้งแต่ต้น จะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย

~ ไม่ใช่รีบๆ ฟัง จะได้รีบๆ เข้าใจ แต่ต้องรู้ว่าธรรมขณะนี้ เป็นอย่างที่ได้ฟัง แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆ เพราะยังไม่ประจักษ์แจ้ง

~ ความละเอียดความลึกซึ้งของธรรมมีมาก และจะรู้จริงๆ ต่อเมื่อได้เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้น ไม่รีบร้อน แต่ฟังแล้ว เพียงเท่าที่ได้ยิน เข้าใจเพิ่มขึ้นหรือยัง?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้ จึงทรงแสดงตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด

~ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร ต้องมีการเข้าใจตั้งแต่ต้น เป็นเบื้องต้น พูดถึงอริยสัจจะ (ความจริงของพระอริยะ,ความจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยะ) ต้องรู้ว่าเป็นอะไร ตั้งแต่ต้น พูดถึงปฏิจจสมุปบาท ต้องรู้ว่าเป็นอะไรตั้งแต่ต้น พูดถึงอายตนะ (สภาพธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ) ก็ต้องรู้ว่าเป็นอะไรตั้งแต่ต้น ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ถูกต้อง แล้วจึงจะเข้าใจต่อๆ ไปได้

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แสดงความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ที่จะเข้าใจได้

~ วิญญาณ (สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) มีมากไหม? มีมาก นับได้ไหม? นับไม่ได้ เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาเกิดอีกเลย จึงนับไม่ได้ว่ามากเท่าไหร่

~ ปฏิสนธิจิต ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ เทวดา มนุษย์ สวรรค์ ยุโรป เอเชีย ปฏิสนธิจิตเป็นปฏิสนธิจิตเท่านั้น

~ ขณะที่พูดถึงอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณในขณะนั้น ก็คือ ขณะปฏิสนธิเท่านั้น

~ เราศึกษาตั้งแต่ต้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ยิ่งขึ้น ว่า ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม

~ ไม่ใช่เรียนให้จำได้เยอะๆ แต่เรียนให้เข้าใจสิ่งที่มี ทีละเล็กทีละน้อยจนมั่นคง

~ จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เจตสิกเกิดไม่ได้โดยไม่มีจิต ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน

~ ถ้าเราเข้าใจผิด ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมเลย เพราะผิดตั้งแต่ต้น

~ ถ้าไม่รู้ว่าทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติทุกขณะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัยเป็นไปตามปัจจัย เราก็จะไม่รู้ว่าไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้เลย ต่อเมื่อใดรู้ เมื่อนั้นก็รู้ว่าไม่เว้นเลยสักขณะเดียว สภาพธรรมใดๆ ก็เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีปัจจัย แต่เราต้องพูดถึงธรรมทีละหนึ่ง เช่น โดยนัยของปฏิจจสมุปบาท พูดถึงวิญญาณที่เกิดเพราะอวิชชาและสังขาร ต้องหมายความถึงอดีตกรรมและความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิตในขณะที่เป็นจิตปฏิสนธิเกิดขึ้นในชาตินี้ แล้วก็ค่อยๆ ต่อไป

~ เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เกิดเพราะต้องมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่จะเป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้ค่อยๆ คลายความเป็นเราจนสามารถที่จะรู้ความจริงยิ่งขึ้น นี่เป็นประโยชน์ของการฟังธรรมและเข้าใจธรรม เพื่อรู้จริงๆ ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น การฟังธรรม การศึกษาธรรมเรื่องอะไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจความจริงของธรรมนั้นๆ



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 27 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 27 พ.ย. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 27 พ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 27 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sea
วันที่ 28 พ.ย. 2564

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 28 พ.ย. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 29 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ