ไม่โกรธ
ถูกต้องครับตามข้อความกกจูปมสูตรว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 265
[๒๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ฉะนั้น ผู้ที่ไม่โกรธอดกลั้นไว้ได้ ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
บางครั้งเมื่อมีใครทำไม่ดีกับเรา ตามปกติเราก็จะไม่อดทนต่อสิ่งที่ผู้อื่นกระทำ แต่เราควรพิจารณาว่า คนที่ทำอกุศลเพราะเขาไม่รู้จึงทำ เขายังมีกิเลสเหมือนเรา ควรเห็นใจเขา และที่สำคัญควรสงสารเขามากกว่าที่จะไปโกรธเพราะ เขาจะต้องได้รับผลของอกุศลที่เขาทำ รวมทั้งถ้าไม่มีใครทำความเสียหายให้เรา ความอดทนของเราจะเพิ่มขึ้นไม่ได้เลย ดังนั้น ขันติจึงเป็นบารมีหนึ่งที่สามารถอบรมได้ในชีวิตประจำวัน และทำให้กุศลขั้นต่างๆ เจริญด้วย รวมทั้งช่วยให้อยู่ร่วมในสังคมได้เป็นอย่างดี พร้อมๆ กับความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานที่อบรมในชีวิตประจำวันครับ ขอยกข้อความในพระไตรปิฎกที่เป็นประโยชน์ในเรื่องขันติ ลองอ่านดูนะ แต่ประโยชน์มากมายครับ เตือนตัวเองด้วย (ยังนิสัยไม่ดี) และคิดว่าเป็นประโยชน์กับสหายธรรมทุกท่านครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 292
ข้อความบางตอนจาก มหสราชจริยา
เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายด้วยความบริสุทธิ์ ยังประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ที่น่าละอายเสียอีก อย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่นแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเล่า บุคคลผู้มีปัญญาอดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา ฉะนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 605
อนึ่งผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้มีความอดกลั้นต่อความเสียหายของผู้อื่นเป็นต้น. ผู้มีปัญญาทรามไม่เป็นผู้อดกลั้น. ความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้แก่ผู้ปราศจากปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ของความอดทน. แต่ความเสียหายเหล่านั้นของผู้มีปัญญาย่อมเป็นไป เพื่อความมั่นคงแห่งขันตินั้นด้วยเพิ่มพูน ความสมบูรณ์แห่งขันติ.
เราควรที่ทำจะความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่โกรธ ไม่พยาบาทในกรณีนี้ สำหรับท่านผู้ที่มีปัญญาขั้นสูงมากๆ ท่านเข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ท่านรู้ชัด ประจักษ์จริงในลักษณของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงปัญญาอย่างเราๆ ที่จะสามารถไม่โกรธ ไม่พยาบาท เหมือนท่านได้ เพราะปัญญาของเราๆ ท่านๆ เป็นแค่เพียงปัญญาขั้นการฟังเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้น แต่วันหนึ่ง หากเรามีการสะสมความเข้าใจถูกไปเรื่อยๆ เราก็สามารถที่จะไปถึง ณ จุดนั้นได้ แต่คงอีกนานแสนนาน นับเวลาไม่ได้ และไม่ควรนับ ไม่ควรคาดหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยเท่านั้น ศึกษาหาความรู้ ฟังพระธรรม ร่วมสนทนาไปเรื่อยๆ มีปัญหาข้องใจ ก็สอบถามผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเราก็จะไม่เขวไปไหน สำคัญที่สุดคือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในอรรถ และไตร่ตรองในพระธรรมที่ท่านแสดง ไม่เผิน เพราะพระธรรมนั้น ละเอียด ลึกซึ้ง เข้าใจยาก และรู้ตามได้ยาก พูดตามกล่าวตามท่านได้ง่าย แต่รู้ตามได้ยากมากๆ อนุโมทนาค่ะ
แต่เริ่มได้ด้วยการอบรมบารมีในชีวิตประจำวัน กุศลต่างๆ ก็จะมีกำลังขึ้น แม้เมตตา หรือ ขันติ ถ้าขาดบารมี ๑๐ ก็ไม่ถึงฝั่ง ค่อยๆ อบรม
ขออนุโมทนา
" เพราะพระธรรมนั้น ละเอียด ลึกซึ้ง เข้าใจยาก และรู้ตามได้ยาก พูดตาม กล่าวตามท่านได้ง่าย แต่รู้ตามได้ยากมากๆ "
โดยสมาชิก namarupa เห็นด้วยกับประโยคดังกล่าว เพราะจะมีสักกี่คนที่รู้จริงในสิ่งที่พูด
อดทนต่อโทสะ
แล้วโลภะไม่ต้องอดทนหรือค่ะ
หรือว่ายิ่งมีมากยิ่งดี
ที่ทำงาน ปีก่อนขโมยงัดแงะ ๒ ครั้ง และปีนี้ก็ ๒ หน ห่างกันเพียงวันเดียว เมื่อก่อนโกรธมาก แต่พอมาวันนี้คิด ได้ถึงคำของ อ.สุจินต์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา เลยยิ้มได้ ขอบคุณค่ะ