กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ ๒ (๒๒) ว่าด้วยบุพพจริยาของกิสาโคตมีเถรี
[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 604
เถรีอปทาน
กุณฑลเกสวรรคที่ ๓
กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ ๒ (๒๒)
ว่าด้วยบุพพจริยาของกิสาโคตมีเถรี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 604
กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ ๒ (๒๒)
[๑๖๒] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบ ธรรมทั้งปวง เป็นนายกของโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลหนึ่งในพระนคร หังสวดี เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่า นรชนพระองค์นั้นแล้ว ถึงพระองค์เป็นสรณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 605
ได้ฟังธรรมของพระองค์ซึ่งประกอบด้วย สัจจะ ๔ ไพเราะจับใจอย่างยิ่ง นำมาซึ่งสันติสุข แห่งจิต
ครั้งนั้น พระธีรเจ้าผู้อุดมกว่าบุรุษ เมื่อ ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ทรง สรรเสริญในตำแหน่งเอตทัคคะ ดิฉันได้ฟังคุณ ของภิกษุณีแล้ว เกิดปีติมาก ทำสักการะแด่ พระพุทธเจ้าตามความสามารถ ตามกำลังหมอบลง ใกล้พระธีรมุนีแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายของ โลก ทรงอนุโมทนาเพื่อการได้ตำแหน่งว่า
ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดา พระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ท่านผู้เจริญจักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต เป็นสาวิกาของพระศาสดา มีนามชื่อว่า กิสาโคตมี
ครั้งนั้นดิฉันได้ฟังพระพุทธพจน์นั้น แล้ว มีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุง พระพิชิตมารผู้นำชั้นพิเศษ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย จนตลอดชีวิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 606
ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วย การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพรหม มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว.
ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี เป็นใหญ่กว่านรชนในพระนครพาราณสีอันอุดม เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่ง ใหญ่
ดิฉันเป็นพระศาสดาองค์ที่ ของท้าวเธอ มีนามปรากฏว่าธรรมา ได้ฟังธรรมของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา แต่พระชนกนาถ มิได้ทรงอนุญาตให้พวกเรา เมื่อต้องอยู่ในอาคารสถาน
ครั้งนั้น พวกเราผู้เป็นราชกัญญาตั้งอยู่ ในความสุข มิได้เกียจคร้าน ประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี
พระราชธิดาทั้ง ๗ พระองค์ คือนาง สมณี ๑ นาสมณคุตตา ๑ นางภิกขุณี ๑ นาง ภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และนางสังฆทาสีเป็นที่ ๗ เป็นผู้ยินดีพอใจใน การบำรุงพระพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 607
ได้มาเป็นพระเขมาเถรี พระอุบลวรรณา เถรี พระปฏาจาราเถรี พระกุณฑลเกสีเถรี ดิฉัน พระธรรมทินนาเถรี และวิสาขาอุบาสิกาเป็นที่ ๗.
ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วย การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี ที่ตกยาก จนทรัพย์ เป็นวงศ์ต่ำ ไปสู่สกุลที่มี ทรัพย์ พวกเสสชนก็รับรองแสดงว่าดิฉันจนทรัพย์ เมื่อดิฉันคลอดบุตรแล้ว ก็เป็นที่เอ็นดูแห่งชน ทั้งปวง
กุมารซึ่งเป็นบุตรอ่อนนั้นดำรงอยู่ในความ สุข เป็นที่รักใคร่ของดิฉันดุจชีวิตของตน ได้ถึง อำนาจของยมราชเสียแล้ว
ดิฉันอัดอั้นด้วยความโศกเศร้า มีหน้า เศร้าตลอดวัน มีตาชุ่มด้วยน้ำตา เป็นคนมีหน้า ร้องไห้ อุ้มศพลูกที่ตายพูดเพ้อไป.
ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งเห็นเข้าแล้ว พาเข้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นหมอดีเลิศอุดม ดิฉัน ได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ได้ โปรดประทานยาที่แก้บุตรตายให้กลับเป็นเถิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 608
พระพิชิตมาร ผู้ฉลาดในอุบายแนะนำ รับสั่งว่า ในเรือนใดไม่มีคนตาย ท่านจงไปหา เมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนนั้นมา ครั้งนั้น ดิฉัน เที่ยวไปหาจนทั่วเมืองสาวัตถี ไม่ได้เมล็ดพันธุ์ ผักกาดในเรือนใดที่ไม่มีคนตายเพราะฉะนั้น ดิฉัน จึงกลับได้สติทิ้งศพเสีย แล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระบรมศาสดาผู้มี พระกระแสเสียงอันไพเราะ ทอดพระเนตรเห็น ดิฉันแต่ที่ไกล แล้วตรัสว่า
ก็ความเป็นอยู่เพียงวันเดียว ของบุคคล ผู้พิจารณาเห็นความเกิดและความเสื่อมไป ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของบุคคลผู้มิได้ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป.
อนิจจตาธรรมนี้ ไม่ใช่ธรรมเฉพาะบ้าน ไม่ใช่ธรรมเฉพาะนิคม ไม่ใช่ธรรมเฉพาะสกุล เดียว เป็นธรรมของโลกทั้งปวงพร้อมทั้งเทวโลก.
ดิฉันนั้น ได้สดับคาถาเหล่านี้แล้ว ยัง ธรรมจักษุให้หมดจดวิเศษ เมื่อรู้สัทธรรมแล้วได้ ออกบวช
แม้เมื่อบวชแล้วอย่างนั้น ประกอบความ เพียรในพุทธศาสนา ไม่นานช้าก็ได้บรรลุอรหัตตผล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 609
ดิฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ และ ทิพโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น เป็นผู้กระทำ ตามคำสอนของพระศาสดา
ดิฉันรู้ปุพเพนิวาสญาณ และทิพยจักษุ อันหมดจดวิเศษ ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ หมดมลทินด้วยดี
ดิฉันบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติตาม คำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอัน หนักลงแล้ว ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว
ดิฉันบรรลุประโยชน์ คือ ธรรมเป็นที่สิ้น สังโยชน์ทั้งปวง ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็น บรรพชิต ต้องการนั้นแล้ว
ญาณของดิฉันในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ ญาณของดิฉันไพบูลย์ หมดจด เพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.
ดิฉันนำผ้ามาจากกองหยากเยื่อ ป่าช้า และถนนเอามาทำเป็นผ้าสังฆาฏิ ทรงจีวรอัน เศร้าหมอง พระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัติ คือ การทรงจีวรอัน เศร้าหมองนั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ ในบริษัททั้งหลาย
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอน ของพระพุทธเจ้าดิฉันทำเสร็จแล้ว.