จตุราสีติสหัสสพราหมณกัญญาเถรีอปทานที่ ๒ (๓๒) ว่าด้วยบุพจริยาของพระพราหมณกัญญาเถรี ๑๘,๐๐๐ รูป
[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 667
เถรีอปทาน
ขัตติยกัญญาวรรคที่ ๔
จตุราสีติสหัสสพราหมณกัญญาเถรีอปทานที่ ๒ (๓๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระพราหมณกัญญาเถรี ๑๘,๐๐๐ รูป
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 667
จตุราสีติสหัสสพราหมณกัญญาเถรีอปทานที่ ๒ (๓๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระพราหมณกัญญาเถรี ๑๘,๐๐๐ รูป
[๑๗๒] ข้าแต่พระมุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีสมภพในสกุลพราหมณ์จำนวน ๘๔,๐๐๐ มีมือและเท้าละเอียดอ่อน เกิดในบุรีของ พระองค์
ข้าแต่พระมหามุนี หญิงที่เกิดในสกุล พ่อค้า และสกุลศูทร เป็นเทวดา นาค กินนร และที่อยู่ในทวีปทั้งสี่มีมาก เกิดในบุรีของ พระองค์
หญิงบางพวกบวชแล้ว มีความเห็นธรรม ทั้งปวงก็มีมาก พวกเทวดา กินนร นาค จัก ตรัสรู้ในอนาคต
ชนทั้งหลายได้เสวยเกียรติยศทั้งปวง มั่ง คั่งด้วยสรรพสมบัติได้ความเลื่อมใสในพระองค์ จักตรัสรู้ในอนาคต
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ ส่วน หม่อมฉันทั้งหลายเกิดในสกุลพราหมณ์ เป็นธิดา ของพราหมณ์ เป็นผู้มีโชคดี ขอถวายบังคม พระยุคลบาท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 668
หม่อมฉันทั้งหลายกำจักภพทั้งหมดแล้ว ถอนตัณหาอันเป็นรากเหง้าขึ้นแล้ว ตัดอนุสัยขาด แล้ว ทำลายสังขารคือบุญหมดแล้ว
หม่อมฉันทั้งปวงมีสมาธิเป็นโคจรชำนาญ ในสมาบัติ จักอยู่ฌานและความยินดีในธรรม ทุกเมื่อ
ข้าแต่พระองค์ผู้นายก หม่อมฉันทั้ง หลาย ยังตัณหาที่นำไปสู่ภพ อวิชชา และแม้ สังขารให้สิ้นไปแล้ว บรรลุถึงบทที่แสนยากจะ ได้เห็นแล้ว ทราบอยู่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ท่านทั้งปวงมีอุปการะแก่เราผู้เดินทางไกล ตลอดกาลนานมา จงตัดความสงสัยของบริษัทสี่ แล้วจึงนิพพานเถิด.
พระเถรีเหล่านั้นถวายบังคมพระยุคลบาท ของพระมุนีแล้ว แสดงฤทธิ์ต่างๆ บางพวกแสดง แสงสว่าง บวงพวกแสดงความมืด
บางพวกแสดงเป็นดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ บางพวกแสดงทะเล พร้อมด้วยปลา บางพวก แสดงเขาสิเนรุ บางพวกแสดงเขาสัตตบริภัณฑ์ บางพวกแสดงต้นปาริฉัตตกะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 669
บางพวกแสดงภพดาวดึงส์ บางพวก แสดงภพยามาด้วยฤทธิ์ บางพวกแสดงเป็นเทวดา ชั้นดุสิต บางพวกแสดงเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดี บางพวกแสดงเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดีมี อิสระมาก
บางพวกแสดงเป็นพรหม บางพวกแสดง ที่จงกรมอันควรแก่ค่ามาก บางพวกนิรมิตเพศเป็น พรหมแสดงสุญญตธรรม.
พระเถรีทั้งปวงครั้นแสดงฤทธิ์มีชนิด ต่างๆ แล้วกันแสดงกำลังถวายพระศาสดา ครั้น แล้ว ก็ถวายบังคมพระยุคลบาท
กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉัน ทั้งหลายเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความ ชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริญาณ
รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษุอันหมด จดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพ ใหม่มิได้มีอีก
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลาย มีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 670
ความสมาคมกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ เป็นนายกของโลก พระองค์ทรงแสดงแล้ว ข้า แต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมีอธิการเป็น อันมาก เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์จง ทรงระลึกถึงกุศลกรรมก่อนของหม่อมฉันทั้งหลาย หม่อมฉันทั้งหลายก่อสร้างบุญ เพื่อประโยชน์ แก่พระองค์.
ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระ นครหังสวดีเป็นที่อยู่อาศัยแห่งสกุลของพระสัมพุทธเจ้า
มีแม่น้ำคงคาไหลผ่านทางประตูพระนคร หังสวดี ในกาลทั้งปวง ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อน เพราะแม่น้ำ ไปไหนไม่ได้.
น้ำเต็มเปี่ยมวันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง สัปดาห์หนึ่งบ้าง เดือนหนึ่งบ้าง สี่เดือนบ้าง ภิกษุเหล่านั้นจึงไปไม่ได้
ครั้งนั้น รัฐบุรุษผุ้หนึ่งมีนามว่าชัชชิยะ (๑) มีทรัพย์เป็นแก่นสารสำหรับมนุษย์ เห็นภิกษุ ทั้งหลายประสงค์จะข้ามฝั่ง ได้ให้นายช่างจัดสร้าง สะพานที่ฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา
๑. ม.ย. ชฏิละ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 671
ครั้งนั้น ประชาชนให้นายช่างสร้าง สะพานที่แม่น้ำคงคาด้วยทรัพย์หลายแสน และ รัฐบุรุษนั้น ได้ให้นายช่างสร้างวิหารที่ฝั่งโน้น ถวายแก่สงฆ์
สตรี บุรุษ สกุลสูงและต่ำเหล่านั้น ได้สร้างสะพานและวิหารให้มีส่วนเท่ากันกับของ รัฐบุรุษนั้น
หม่อมฉันทั้งหลายและมนุษย์เหล่าอื่น ในพระนครและในชนบท จิตเลื่อมใส ย่อม เป็นธรรมทายาทแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สตรี บุรุษ กุมารและกุมารีมากด้วยกัน ต่างก็ขนเอาทรายมาเกลี่ยลงที่สะพานและวิหาร
กวาดถนนแล้วยกต้นกล้วย หม้อมีน้ำ เต็ม และธงขึ้น จัดธูป จุรณและดอกไม้เป็น สักการะแด่พระศาสดา
ครั้นสร้างสะพานและวิหารแล้ว นิมนต์ พระพุทธเจ้าถวายมหาทานแล้วปรารถนาความ ตรัสรู้
พระมหามุนีปทุมุตตระมหาวีรเจ้า ผู้เป็น ที่เคารพแห่งสรรพสัตว์ ทรงทำอนุโมทนาแล้ว ตรัสพยากรณ์ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 672
เมื่อแสนกัปล่วงไปแล้ว จักถึงภัทรกัป บุรุษนี้ได้ความสุขในภพน้อยภพใหญ่แล้ว จัก บรรลุโพธิญาณ
บุรุษและสตรีที่ทำหัตถกรรมทั้งหมด จัก เกิดร่วมกันในอนาคตกาล
ด้วยวิบางแห่งกรรมนั้นและด้วยการตั้ง เจตน์จำนงไว้ ประชาชนเหล่านั้นเกิดในเทวโลก แล้ว เป็นบริจาริกาแห่งพระองค์
เสวยทิพยสุขและมนุษยสุขมากมาย ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ตลอดกาลนาน ใน กัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ หม่อมฉันทั้งหลาย มีกุศลกรรมทำอันดีแล้ว เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อม เกิดในความเป็นมนุษย์สุขุมาลชาติ เมื่อเกิดเป็น เทาวดาย่อมเกิดในความเป็นเทวดาผู้ประเสริฐ
ย่อมได้รูปสมบัติ โภคสมบัติ ยศ ความ สรรเสริญและความสุข ความเป็นที่รัก ซึ่งเป็น ผลที่ปรารถนาทั้งปวงเนืองๆ อันถึงพร้อมเพราะ กรรมที่ตนกระทำมาดีแล้ว.
ในภพนี้ซึ่งเป็นภพหลัง หม่อมฉันทั้ง หลายเกิดในสกุลพราหมณ์ มีมือและเท้าละเอียด อ่อน และได้มาในพระนิเวศน์แห่งพระศากยบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 673
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลาย ย่อมไม่เห็นแผ่นดินที่เขาไม่ตกแต่ง แต่ไม่เห็น ภาคพื้นที่เป็นทางเดินลื่น แม้ตลอดกาลทั้งปวง
เมื่อหม่อมฉันทั้งหลายอยู่ในอาคารสถาน ประชุมชนก็นำสักการะทุกอย่างมาให้ตลอดกาลก่อน ทั้งปวง เพราะผลแห่งกุศลกรรมในกาลก่อน
หม่อมฉันทั้งหลายละอาคารสถานแล้ว บวชเป็นภิกษุณี ข้ามพ้นทางสงสารได้แล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก
พวกทายกทายิกาหลายพันแต่ที่นั้นๆ นำจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชปัจจัยมา ให้เสมอไป
หม่อมฉันทั้งหลายเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอนของพระพุทธเจ้าหม่อมฉันทั้งหลายได้ ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระภิกษุณีบุตรีพราหมณ์ ๘๔,๐๐๐ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล.
จบจตุราสีติสหัสสพราหมณกัญญาเถรีอปทาน