ผู้ที่เจริญสติจะรู้ภวังคจิตได้บ้างไหม

 
chatchai.k
วันที่  7 ธ.ค. 2564
หมายเลข  41676
อ่าน  478

ผู้ที่เจริญสติสามารถที่จะรู้ภวังคจิตได้บ้างไหม ในขณะไหน ท่านที่เจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ เวลาที่ตื่น รู้ไหมว่าไม่เหมือนกับที่หลับ ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติทันทีที่ตื่นขึ้น ก็ระลึกถึงขณะก่อนนั้นซึ่งเป็นขณะที่ต่างกันกับขณะที่ตื่นได้ไหม ที่ตื่นนี้อะไรตื่น นามหรือรูป ขณะที่หลับอะไรหลับ นามหรือรูป สติสามารถที่จะระลึกรู้ได้ แต่ว่าพอถึงชื่อว่า ภวังคจิต ทำให้ท่านคิดว่า ไม่สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของภวังคจิตได้


ขอกล่าวถึงภวังคจิต ซึ่งความจริงในตอนนี้เป็นเรื่องของวีตราคจิต จิตที่ไม่ประกอบด้วยความโลภ ส่วนเรื่องของวิบากจิตที่เป็นภวังคจิตก็ยังไม่ได้กล่าวถึง เพราะเหตุว่าวีตราคจิตนั้น ได้แก่ จิตที่เป็นกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต ซึ่งในขณะนี้กำลังบรรยายถึงกุศลจิตขั้นทาน ยังไม่ถึงขั้นศีล ขั้นภาวนา และก็ยังไม่ถึงวิบากจิต กิริยาจิตด้วย แต่เมื่อมีความสงสัยอย่างนี้ ก็เป็นเครื่องส่องถึงความข้องใจในการปฏิบัติ และคงจะติดอยู่ที่คำว่า ภวังคจิต เพราะว่านี่เป็นชื่อโดยปริยัติ สภาพของภวังคจิตเป็นจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิต ขณะจิตที่เกิดขึ้นครั้งแรกในภพนี้ที่ทำกิจปฏิสนธิ เป็นจิตชาติวิบาก ไม่ใช่กุศลจิต อกุศลจิต เพราะเหตุว่าถ้าท่านจะศึกษาเรื่องของจิตโดยละเอียด ท่านก็จะทราบว่าจิตมี ๔ ชาติ โดยการเกิด คือ

จิตบางประเภทเป็นกุศล เป็นจิตที่ดีงาม

จิตบางประเภทเป็นอกุศล เป็นจิตที่ไม่ดี

ทั้ง ๒ อย่างนี้จะเป็นเหตุให้เกิดผลข้างหน้า คือ เป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นวิบากเกิดขึ้น อกุศลจิตเป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิด กุศลจิตเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิด

เพราะฉะนั้น ขณะจิตที่เกิด ไม่ใช่เป็นขณะที่ทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมใดๆ แต่การที่จะเกิดที่ใด เมื่อไร เป็นภพใด ชาติใด ภูมิใดนั้น ต้องแล้วแต่กรรมซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตที่เป็นวิบากเกิด ทำกิจปฏิสนธิขึ้นเป็นขณะแรกในชาตินั้น ในภพนั้น

ธรรมดาของสังขารธรรมนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไป ไม่ใช่หมดเพียงแค่นั้น มีปัจจัยแล้วในอดีตที่ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อ ทำภวังคกิจ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นต่อไปจนกว่าจะถึงจุติ ไม่ว่าจะปฏิสนธิเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์พิการตั้งแต่กำเนิด หรือว่าเป็นผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญาสมบูรณ์พร้อม ก็เป็นเรื่องที่ว่า แล้วแต่กรรมในอดีตเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตประเภทใดเกิดขึ้น เมื่อทำกิจปฏิสนธิจิตแล้ว ดับไปแล้ว ก็ยังมีปัจจัย คือ กรรมในอดีตทำให้จิตเกิดต่อ ซึ่งจิตที่เกิดต่อนั้นต้องเป็นประเภทวิบาก เป็นผลของกรรม ทำภวังคกิจ

ในขณะที่เป็นภวังคกิจนี้ ก็นับไม่ถ้วนว่ากี่ขณะ และก็มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการคิดนึก มีการรู้รส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เกิดสลับตามเหตุตามปัจจัย เมื่อมีปัจจัยที่จะให้การเห็นเกิดขึ้น การเห็นก็เกิดขึ้น ไม่ใช่ภวังคจิตแล้ว

วิถีจิตที่เห็น ไม่ใช่ภวังคจิต แต่เมื่อการเห็น วิถีจิตที่เห็นสีนั้นดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดสืบต่อไว้ก่อนที่จะได้ยิน เมื่อมีการได้ยินแล้ว วิถีจิตที่ได้ยินดับไปหมดแล้ว ก็มีภวังคจิตเกิดสืบต่อไว้ ไม่ให้สิ้นสุดภพชาติลงไปได้

เพราะฉะนั้น ขณะที่ทุกท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก็มีจิตทั้งกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบากบ้าง กิริยาบ้าง เกิดดับสืบต่อกัน แล้วแต่ประเภท แล้วแต่วิถีของจิต แต่ให้ทราบว่า ภวังคจิตในขณะนี้ ถึงแม้ว่ามีจริง เกิดขึ้นคั่นในระหว่างวิถีจิตทางตากับวิถีจิตทางหู เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่ภวังคจิตเกิด ท่านไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้กำลังเห็น และก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ก็มีภวังคจิตเกิดคั่นหลายขณะแล้ว

แต่ท่านสามารถที่จะรู้ลักษณะของภวังคจิตได้โดยขั้นปริยัติ เวลาที่หลับสนิท ขณะนั้นไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการรู้รส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก ไม่มีความฝันเกิดขึ้น ในขณะนั้นเป็นภวังคจิต ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีลักษณะที่ต่างกับคนที่สิ้นชีวิตแล้ว คนที่สิ้นชีวิตแล้วยังมีรูป แต่ว่าไม่มีจิต ไม่มีภวังคจิต

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติสามารถที่จะรู้ภวังคจิตได้บ้างไหม ในขณะไหน ท่านที่เจริญสติบ่อยๆ เนืองๆ เวลาที่ตื่น รู้ไหมว่าไม่เหมือนกับที่หลับ เวลาตื่นใครบ้างไม่รู้ว่าตื่นแล้ว ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติทันทีที่ตื่นขึ้น ก็ระลึกถึงขณะก่อนนั้นซึ่งเป็นขณะที่ต่างกันกับขณะที่ตื่นได้ไหม ถ้าท่านเป็นผู้ที่ละเอียด ถ้าสติเจริญเนืองๆ บ่อยๆ และเป็นผู้ที่ระลึกรู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นแต่เพียงลักษณะของนามธรรม ลักษณะของรูปธรรม เพราะฉะนั้น ที่ตื่นนี้อะไรตื่น นามหรือรูป ขณะที่หลับอะไรหลับ นามหรือรูป รู้ได้ไหมถึงลักษณะ สภาพที่ต่างกันเมื่อสักครู่นี้ชั่วขณะหนึ่งว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง สติสามารถที่จะระลึกรู้ได้ แต่ว่าพอถึงชื่อว่า ภวังคจิต ทำให้ท่านคิดว่า ไม่สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของภวังคจิตได้

ภวังคจิตที่กำลังเกิดดับสืบต่อ คั่นระหว่างทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยากแก่การที่จะรู้ได้ เพราะเกิดน้อยขณะกว่าขณะที่ท่านหลับสนิท

การที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามใดรูปใด ละเอียดมากน้อยต่างกัน ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล และเป็นเรื่องที่สามารถจะรู้สภาพความจริงได้ ไม่ใช่ว่า สภาพความจริงปรากฏแล้วรู้ไม่ได้

สภาพที่ตื่น และรู้ความต่างกันของขณะที่ตื่นกับขณะที่หลับ ลักษณะที่หลับในขณะนั้น ที่สติระลึกรู้โดยชื่อ คือ ภวังคจิต

สำหรับท่านที่เจริญสติเป็นปกติ เวลาที่ฝัน สติสามารถที่จะระลึก ปรากฏเหมือนกับว่า เป็นการระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปในขณะที่ฝัน แล้วก็ฝันต่อไป และก็ตื่นขึ้นก็ได้ เป็นเรื่องสภาพธรรมตามปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่พ้นกำลัง พละของสติ และปัญญาไปได้

ผู้ที่เจริญสติแล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสติพละ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาพละเจริญ จนกว่าจะสมบูรณ์ จนกว่าความรู้จะชัด จนกว่าจะรู้ทั่ว จนกว่าจะรู้จริง และสติปัญญาของแต่ละท่านนั้น จะรู้ลักษณะของนามอะไร ของรูปอะไรละเอียดขึ้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่า ท่านจะต้องรู้เท่าท่านพระสารีบุตร หรือว่าเท่าพระมหาสาวกองค์อื่นๆ

การรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แม้จะละเอียดอย่างไร ท่านก็จะต้องเจริญปัญญาให้คมกล้าขึ้น เพื่อที่จะละการยึดถือนามธรรม รูปธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าถ้าท่านระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม รูปธรรมอย่างละเอียดขึ้น อย่างที่คนอื่นอาจจะรู้ไม่ได้ เยื่อใยการยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนที่รู้ก็ย่อมมี ถ้าปัญญาไม่คมกล้าพอที่จะละว่า ถึงแม้ว่าสิ่งที่ระลึกรู้นั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดประณีตสักเท่าไรก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงนามธรรม เป็นแต่เพียงรูปธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของการเจริญความรู้เพื่อละ ไม่ใช่ว่า เพื่อยังมีเยื่อใยยึดถืออยู่

ที่มา ฟัง และ อ่านเพิ่มเติม

จดหมายผู้ฟัง (๒) การศึกษาธรรม เป็นเรื่องตามลำดับขั้น


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ