ฟังบ่อยๆ _สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ฟังบ่อยๆ "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ขณะที่ได้เข้าใจธรรม
~ อะไรจะเกิด ต้องเกิดแน่นอน เพียงแต่ว่า รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า
~ ทุกขณะ ต้องเกิดแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า จะมีความรู้ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นหรือเปล่า
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะกำลังทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรที่ไหน คือ สิ่งนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด คำจริงนี้ ไม่เปลี่ยนเลย แต่สามารถจะเข้าถึงความจริงถึงที่สุดหรือยัง ของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้?
~ ต้องไม่ลืม ไม่ว่าฟังคำอะไร เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะสิ่งที่มี เกิดดับเร็วมาก ไม่ปรากฏเลย รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็กำลังเกิดดับเร็วมาก แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะรู้ความจริง
~ ทุกคำ กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมี แต่ต้องฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ จึงจะสามารถรู้ได้ว่า เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง
~ ทุกสิ่งที่มีจริง เกิดดับเร็วมาก แต่ก็สามารถจะปรากฏให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ อะไรกำลังมีจริงๆ ซึ่งต้องเกิดขึ้น จึงปรากฏได้
~ ทุกอย่าง เกิดดับเร็วมาก แต่เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ สามารถจะทำให้เข้าใจความจริงนี้ได้ เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรอง ลึกซึ้ง จนสามารถเข้าใจความจริงได้
~ เดี๋ยวนี้ มีเห็นแน่นอน แต่ไม่มีใครคิด ไม่มีใครรู้ว่า เห็นเกิดเป็นเห็น
~ ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น ไม่มีเห็น และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำเห็นให้เกิดขึ้น แต่เห็นเกิดแล้ว ใช่ไหม?
~ ความจริง ต้องค่อยๆ เข้าใจ เห็นเกิดแล้ว เดี๋ยวนี้มีเห็น ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิด แต่เห็นเกิดแล้ว
~ คิดเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้คิดเกิด และ คิดเกิด ไม่มีเห็น เห็นต้องไม่มี มีแต่คิดที่กำลังคิด
~ ได้ยินเกิดแล้ว ไม่มีใครทำให้ได้ยินเกิด แต่ได้ยินเกิดแล้ว มีได้ยินเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ได้ยินเกิดไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิด ได้ยิน จึงไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
~ เดี๋ยวนี้จำ จำเกิดแล้วจึงมีจำ ไม่มีใครไปทำให้จำเกิด แต่จำ มี เพราะ จำ เกิด
~ ศึกษาธรรม ฟังเรื่องธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ที่เห็น เดี๋ยวนี้ที่จำ เดี๋ยวนี้ที่คิด ทุกอย่างที่กำลังมีขณะนี้เป็นธรรม
~ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดง ก็ไม่มีการที่จะรู้จักธรรมได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ไม่เคยเข้าใจถูกต้อง จึงฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ต้องมีความเข้าใจมั่นคง ว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แหละ ที่ใช้คำเรียกสิ่งนั้นว่าธรรม เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ถ้าไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีจริง จะไม่รู้จักธรรมเลย
~ ต้องมีความละเอียดอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ จึงฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ชื่อว่าศึกษาธรรม
~ การศึกษาธรรมมีหลายระดับ ต้องเริ่มตั้งแต่ฟังเข้าใจจริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเท่านั้น
~ ถ้ายังไม่รู้จริงๆ ว่า ธรรม หนึ่ง เดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ จะไม่ละความเป็นเรา
~ ขณะที่ฟัง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าสามารถจะรู้เพียงหนึ่ง และจนสามารถจะรู้ว่าหนึ่งนั้นเกิดแล้วดับ จึงจะสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พระองค์ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จึงทรงแสดงอย่างนี้
~ ถ้าไม่รู้ว่าการศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเหตุว่า จะไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงที่กำลังเป็นอย่างนี้
~ ใครก็ตามที่พูดเพียงชื่อ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เขาไม่รู้จักธรรม
~ ธรรม มีจริงๆ กำลังมี แต่ไม่รู้จักธรรมเมื่อไม่ได้ฟังคำของผู้ได้ตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ กำลังมีเห็น ทุกคนเห็น ศึกษาเรื่องเห็น ว่า เห็นไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่เห็นเกิดกำลังปรากฏว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่อาศัยกันและกันทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นปัจจัย สิ่งนั้นเกิดไม่ได้
~ เห็นเป็นตา หรือเปล่า? ไม่เป็น
ไม่มีตา เห็นเกิดได้ไหม? ไม่ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมุ่งหมายให้เราเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ต้องอาศัยคำเพื่ออธิบายให้รู้ความต่างของสิ่งที่มีจริง
~ การรู้จักธรรม ต้องรู้จักธรรมที่ปรากฏและค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นว่าเป็นสภาพรู้หรือไม่ใช่สภาพรู้ นี่คือ รู้จักธรรม
~ ได้ฟังว่าธรรม ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีความรู้ในความเป็นจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นธรรม ก็ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงมาก ตั้งแต่ต้น ที่จะรู้ว่าไม่มีเรา มิฉะนั้น เวลาฟังทุกอย่าง ก็เป็นเรารู้ทั้งหมด
~ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงต้องฟังบ่อยๆ จนกว่าสามารถที่จะไม่ลืม ทำให้บางครั้ง มีการระลึกได้ในลักษณะที่เป็นธรรม
~ ฟังบ่อยๆ เพื่อไม่ลืม เพื่อค่อยๆ เข้าใจ เพราะขณะที่เข้าใจเท่านั้นที่เป็นภาวนาที่สะสมความเข้าใจเป็นปัญญาบารมี
~ อวิชชา (ความไม่รู้) สะสมมานานมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจในขณะที่ฟัง ไม่มีการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นจนกระทั่งรู้ความจริงได้ เพราะมีอวิชชาที่คอยปิดกั้นขณะที่กำลังไม่รู้มากมายมหาศาล
~ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิดนึก เรื่องทุกอย่างที่มีจริง บ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจขึ้นและไม่ลืม เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นอัตตา (ตัวตน) ให้ความเข้าใจสามารถเพียงฟังแล้วรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้
~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน
~ ขณะก่อนเกิดแล้วดับแล้ว ขณะเดี๋ยวนี้ก็เกิดดับด้วย ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เลย
~ มีความไม่รู้และความติดข้องในทุกอย่าง ทั้งวัน ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้ขณะที่กำลังได้ฟังแล้วเริ่มเข้าใจ เกิดแทนขณะที่ไม่ได้ฟังและไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีการฟังไม่มีการเข้าใจเลย ก็เหมือนเดิม ทุกอย่างก็เป็นอารมณ์ที่ตั้งของความไม่รู้และความติดข้อง แต่เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น ขณะนั้นเริ่มปลูกฝังความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยในความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่คือ ความหมายของภาวนา คือ การอบรมความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะรู้แจ้งจริงๆ ในแต่ละหนึ่ง
~ ไม่ฟังธรรม ไม่เข้าใจเลย แล้วจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ต้องมีการฟังค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงใช้คำว่าปริยัติ เพราะฉะนั้น รู้เลย คำพูดใดๆ จากใครทั้งหมด ถ้าไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย นั่น ไม่ใช่ความจริง
~ จุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่เพื่อเข้าใจความจริง จนประจักษ์แจ้งตามที่ได้ฟัง
~ ได้ยินคำว่า นามธรรม รูปธรรม ไม่พอ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นนามธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏ และเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ อะไรเป็นรูปธรรม ปะปนกันไม่ได้เลย
~ ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรให้เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดปัญญาที่รู้ความจริงทันทีได้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ ตรง และเพิ่มขึ้นด้วย
~ ท้อง หิวไหม? หัวใจ หิวไหม? ฟัน หิวไหม? ลิ้น หิวไหม? ลมหายใจ หิวไหม? เมื่อเป็นรูปแล้ว ทุกรูปไม่ว่ารูปไหน แม้แต่ชีวิตินทริยรูป ก็ไม่รู้อะไร เพราะเป็นรูป ต้องมั่นคง รูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่รู้อะไร แต่มีรูปหลายรูป ไม่ใช่รูปเดียว
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมทั่วทุกรูปว่าเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ก็ยังคงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นเหตุที่จะต้องรู้จริง จึงจะค่อยๆ ละความเป็นเรา จนกระทั่งสภาพธรรมใดปรากฏก็สามารถรู้ว่า นั่น เป็นรูปหรือเป็นนามธรรม
~ ฟังความจริงของทุกอย่าง จนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรา
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น ขณะนั้นเริ่มปลูกฝังความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยในความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่คือ ความหมายของภาวนา คือ การอบรมความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะรู้แจ้งจริงๆ ในแต่ละหนึ่ง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ