ฟังบ่อยๆ _สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  11 ธ.ค. 2564
หมายเลข  41719
อ่าน  988

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



" ฟังบ่อยๆ "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๔




~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ขณะที่ได้เข้าใจธรรม

~ อะไรจะเกิด ต้องเกิดแน่นอน เพียงแต่ว่า รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า

~ ทุกขณะ ต้องเกิดแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า จะมีความรู้ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นหรือเปล่า

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะกำลังทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

~ ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรที่ไหน คือ สิ่งนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด คำจริงนี้ ไม่เปลี่ยนเลย แต่สามารถจะเข้าถึงความจริงถึงที่สุดหรือยัง ของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้?

~ ต้องไม่ลืม ไม่ว่าฟังคำอะไร เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะสิ่งที่มี เกิดดับเร็วมาก ไม่ปรากฏเลย รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็กำลังเกิดดับเร็วมาก แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะรู้ความจริง

~ ทุกคำ กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมี แต่ต้องฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ จึงจะสามารถรู้ได้ว่า เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง

~ ทุกสิ่งที่มีจริง เกิดดับเร็วมาก แต่ก็สามารถจะปรากฏให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ อะไรกำลังมีจริงๆ ซึ่งต้องเกิดขึ้น จึงปรากฏได้

~ ทุกอย่าง เกิดดับเร็วมาก แต่เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ สามารถจะทำให้เข้าใจความจริงนี้ได้ เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรอง ลึกซึ้ง จนสามารถเข้าใจความจริงได้

~ เดี๋ยวนี้ มีเห็นแน่นอน แต่ไม่มีใครคิด ไม่มีใครรู้ว่า เห็นเกิดเป็นเห็น

~ ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น ไม่มีเห็น และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำเห็นให้เกิดขึ้น แต่เห็นเกิดแล้ว ใช่ไหม?

~ ความจริง ต้องค่อยๆ เข้าใจ เห็นเกิดแล้ว เดี๋ยวนี้มีเห็น ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิด แต่เห็นเกิดแล้ว

~ คิดเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้คิดเกิด และ คิดเกิด ไม่มีเห็น เห็นต้องไม่มี มีแต่คิดที่กำลังคิด

~ ได้ยินเกิดแล้ว ไม่มีใครทำให้ได้ยินเกิด แต่ได้ยินเกิดแล้ว มีได้ยินเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ได้ยินเกิดไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิด ได้ยิน จึงไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

~ เดี๋ยวนี้จำ จำเกิดแล้วจึงมีจำ ไม่มีใครไปทำให้จำเกิด แต่จำ มี เพราะ จำ เกิด

~ ศึกษาธรรม ฟังเรื่องธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ที่เห็น เดี๋ยวนี้ที่จำ เดี๋ยวนี้ที่คิด ทุกอย่างที่กำลังมีขณะนี้เป็นธรรม

~ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดง ก็ไม่มีการที่จะรู้จักธรรมได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ไม่เคยเข้าใจถูกต้อง จึงฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ต้องมีความเข้าใจมั่นคง ว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แหละ ที่ใช้คำเรียกสิ่งนั้นว่าธรรม เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ ถ้าไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีจริง จะไม่รู้จักธรรมเลย

~ ต้องมีความละเอียดอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ จึงฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ชื่อว่าศึกษาธรรม

~ การศึกษาธรรมมีหลายระดับ ต้องเริ่มตั้งแต่ฟังเข้าใจจริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเท่านั้น

~ ถ้ายังไม่รู้จริงๆ ว่า ธรรม หนึ่ง เดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ จะไม่ละความเป็นเรา

~ ขณะที่ฟัง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าสามารถจะรู้เพียงหนึ่ง และจนสามารถจะรู้ว่าหนึ่งนั้นเกิดแล้วดับ จึงจะสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พระองค์ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จึงทรงแสดงอย่างนี้

~ ถ้าไม่รู้ว่าการศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเหตุว่า จะไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงที่กำลังเป็นอย่างนี้

~ ใครก็ตามที่พูดเพียงชื่อ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เขาไม่รู้จักธรรม

~ ธรรม มีจริงๆ กำลังมี แต่ไม่รู้จักธรรมเมื่อไม่ได้ฟังคำของผู้ได้ตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

~ กำลังมีเห็น ทุกคนเห็น ศึกษาเรื่องเห็น ว่า เห็นไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่เห็นเกิดกำลังปรากฏว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่อาศัยกันและกันทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นปัจจัย สิ่งนั้นเกิดไม่ได้

~ เห็นเป็นตา หรือเปล่า? ไม่เป็น
ไม่มีตา เห็นเกิดได้ไหม? ไม่ได้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมุ่งหมายให้เราเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ต้องอาศัยคำเพื่ออธิบายให้รู้ความต่างของสิ่งที่มีจริง

~ การรู้จักธรรม ต้องรู้จักธรรมที่ปรากฏและค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นว่าเป็นสภาพรู้หรือไม่ใช่สภาพรู้ นี่คือ รู้จักธรรม

~ ได้ฟังว่าธรรม ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีความรู้ในความเป็นจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นธรรม ก็ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงมาก ตั้งแต่ต้น ที่จะรู้ว่าไม่มีเรา มิฉะนั้น เวลาฟังทุกอย่าง ก็เป็นเรารู้ทั้งหมด

~ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงต้องฟังบ่อยๆ จนกว่าสามารถที่จะไม่ลืม ทำให้บางครั้ง มีการระลึกได้ในลักษณะที่เป็นธรรม

~ ฟังบ่อยๆ เพื่อไม่ลืม เพื่อค่อยๆ เข้าใจ เพราะขณะที่เข้าใจเท่านั้นที่เป็นภาวนาที่สะสมความเข้าใจเป็นปัญญาบารมี

~ อวิชชา (ความไม่รู้) สะสมมานานมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจในขณะที่ฟัง ไม่มีการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นจนกระทั่งรู้ความจริงได้ เพราะมีอวิชชาที่คอยปิดกั้นขณะที่กำลังไม่รู้มากมายมหาศาล

~ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องคิดนึก เรื่องทุกอย่างที่มีจริง บ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจขึ้นและไม่ลืม เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเป็นอัตตา (ตัวตน) ให้ความเข้าใจสามารถเพียงฟังแล้วรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้

~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน

~ ขณะก่อนเกิดแล้วดับแล้ว ขณะเดี๋ยวนี้ก็เกิดดับด้วย ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เลย

~ มีความไม่รู้และความติดข้องในทุกอย่าง ทั้งวัน ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้ขณะที่กำลังได้ฟังแล้วเริ่มเข้าใจ เกิดแทนขณะที่ไม่ได้ฟังและไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีการฟังไม่มีการเข้าใจเลย ก็เหมือนเดิม ทุกอย่างก็เป็นอารมณ์ที่ตั้งของความไม่รู้และความติดข้อง แต่เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น ขณะนั้นเริ่มปลูกฝังความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยในความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่คือ ความหมายของภาวนา คือ การอบรมความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะรู้แจ้งจริงๆ ในแต่ละหนึ่ง

~ ไม่ฟังธรรม ไม่เข้าใจเลย แล้วจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ต้องมีการฟังค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงใช้คำว่าปริยัติ เพราะฉะนั้น รู้เลย คำพูดใดๆ จากใครทั้งหมด ถ้าไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย นั่น ไม่ใช่ความจริง

~ จุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่เพื่อเข้าใจความจริง จนประจักษ์แจ้งตามที่ได้ฟัง

~ ได้ยินคำว่า นามธรรม รูปธรรม ไม่พอ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นนามธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏ และเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ อะไรเป็นรูปธรรม ปะปนกันไม่ได้เลย

~ ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรให้เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดปัญญาที่รู้ความจริงทันทีได้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ ตรง และเพิ่มขึ้นด้วย

~ ท้อง หิวไหม? หัวใจ หิวไหม? ฟัน หิวไหม? ลิ้น หิวไหม? ลมหายใจ หิวไหม? เมื่อเป็นรูปแล้ว ทุกรูปไม่ว่ารูปไหน แม้แต่ชีวิตินทริยรูป ก็ไม่รู้อะไร เพราะเป็นรูป ต้องมั่นคง รูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่รู้อะไร แต่มีรูปหลายรูป ไม่ใช่รูปเดียว

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมทั่วทุกรูปว่าเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ก็ยังคงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นเหตุที่จะต้องรู้จริง จึงจะค่อยๆ ละความเป็นเรา จนกระทั่งสภาพธรรมใดปรากฏก็สามารถรู้ว่า นั่น เป็นรูปหรือเป็นนามธรรม

~ ฟังความจริงของทุกอย่าง จนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรา


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
natthayapinthong339
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sea
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น ขณะนั้นเริ่มปลูกฝังความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยในความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่คือ ความหมายของภาวนา คือ การอบรมความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกว่าจะรู้แจ้งจริงๆ ในแต่ละหนึ่ง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 11 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Sottipa
วันที่ 12 ธ.ค. 2564

ขอบคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
san.ree2990
วันที่ 12 ธ.ค. 2564
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 12 ธ.ค. 2564

ขณะที่ฟัง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าสามารถจะรู้เพียงหนึ่ง และจนสามารถจะรู้ว่าหนึ่งนั้นเกิดแล้วดับ จึงจะสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พระองค์ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จึงทรงแสดงอย่างนี้ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ธีรพันธ์
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

กราบสาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Lai
วันที่ 13 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ